ตอนที่ 123 สิ่งที่ชาวนาร่ำรวยทำกัน

จ้าวเหวินเทาไม่ได้แกล้งภรรยาของเขาแล้ว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผมอยากจะไปดูเมล็ดพันธุ์ที่ในเขตหน่อย แล้วก็ดูอุปกรณ์ การเกษตรอย่างอื่นด้วย”

ช่วงนี้แบ่งที่ดินกันแล้ว เขาและเหล่าชาวบ้านต่างก็วิ่งเต้นอยู่กับที่ดินแต่ละแห่ง จึงเข้าใจสถานการณ์ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นที่ดินบริเวณไหนเหมาะสมกับการปลูกเมล็ดพันธุ์อะไร หรือใช้อุปกรณ์การเกษตรอะไรบ้าง

ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างช่วยเหลือกัน คันไถอะไรพวกนั้นสามารถใช้ร่วมกันได้ แต่ถ้าแยกปลูกกันเองก็ไม่สามารถใช้ของร่วมกันได้อีกแล้ว

นอกจากคันไถก็ยังมีจอบแต่ละชนิด ของชิ้นนี้ไม่เหมือนกับอุปกรณ์การเกษตรที่สามารถทำขึ้นมาด้วยตัวเองได้ จึงจำเป็นต้องซื้อ สำหรับจ้าวเหวินเทาแล้วมันคือเงินทั้งนั้น

เขาเดินทางไปที่สถานีส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรประจำอำเภอ แต่ไม่รู้ว่ายังไม่ถึงเวลาหรือว่าอะไร เพราะที่สถานีส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรทางฝั่งนั้นไม่มีอุปกรณ์การเกษตรใหม่ ๆ เลย สิ่งนี้ทำให้เขาเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจ ดังนั้นจึงตัดสินใจไปดูที่ในเขต

เย่ฉูฉู่ไม่ได้สนใจเขา เธอยังคงเย็บชุดตัวเล็กให้ลูกต่อไป

พี่สะใภ้สี่จ้าวหยิบอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยมาทำงานและพูดคุยกับเธอเป็นพิเศษ เพราะทางบ้านแบ่งที่ดินได้ไม่เลวเลยจริง ๆ พี่สะใภ้สี่จ้าวจึงคิดว่าเป็นผลงานของลูกชาย พรจากลูกชายมาดูแลหล่อนแล้ว

จากนั้นก็ย้อนมามองดูเย่ฉูฉู่แห่งครอบครัวหก

ตั้งแต่ตั้งครรภ์แล้วก็ทำอะไรไม่ราบรื่นสักอย่าง รับประทานของคาวไม่ได้ยังพอทน แต่กลับถึงขนาดแบ่งที่ดินยังได้ที่ดินแห้งแล้ง ทั้งที่น้องสามีเล็กจ้าวเหวินเทาคนนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนโชคดี

คงเป็นเพราะไม่สามารถต้านทานความโชคร้ายที่ลูกสาวในท้องนำมาให้ได้ หลังแบ่งที่ดินจึงได้ที่แห้งแล้งแบบนั้น

พี่สะใภ้สี่จ้าวคิดเช่นนี้อยู่ภายในใจ แต่ไม่ได้กล่าวออกไป ไม่เช่นนั้นเย่ฉูฉู่คงเชิญหล่อนกลับบ้านแน่

หล่อนนั่งพูดคุยกับเย่ฉูฉู่ จึงได้ทราบว่าน้องสะใภ้คนนี้กำลังฟังแต่ไม่ได้พูดอะไร ทว่าพี่สะใภ้สี่จ้าวเองก็พอเข้าใจได้ ถึงอย่างไรหล่อนก็ตั้งครรภ์ได้ลูกชาย ส่วนอีกฝ่ายตั้งครรภ์ได้ลูกสาว ดังนั้นอีกฝ่ายย่อมอิจฉาหล่อนอยู่แล้ว

ดังนั้นคำพูดที่หล่อนมาพูดในวันนี้จึงเป็นคำพูดปลอบใจเย่ฉูฉู่สองสามประโยค

เย่ฉูฉู่แอบรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากแก่การเข้าใจ

เมื่อจ้าวเหวินเทากลับมาบ้านในช่วงค่ำ เย่ฉูฉู่จึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เขาได้ฟังแล้วก็เบะปากกล่าว “คุณอย่าไปสนใจเลย”

อวดถึงพรจากลูกชายในท้องอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน พี่สี่ของเขาฟังจนเลี่ยนแล้ว

จ้าวเหวินเทาเองก็ยุ่งมาก วันรุ่งขึ้นก็เดินทางเข้าเขตพร้อมกับเย่หมิงเป่ย

ตอนนี้แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวต่างก็ยุ่งอยู่กับการย้ายปุ๋ยคอกเข้าไปไว้ในทุ่งนา

ปุ๋ยคอกนี้อันที่จริงก็เหมือนกัน ซึ่งก็คือมูลสัตว์

เป็นเพราะสัตว์ทั้งหมดได้รวมตัวกันอยู่ในทีมผลิต มูลสุกร มูลแกะ มูลล่อและอื่น ๆ จึงเป็นของส่วนรวม

แม้ว่าจะแบ่งที่ดินแล้ว แต่มูลสัตว์เหล่านี้กลับไม่ได้แบ่ง เพราะเลขากล่าวว่ายังมีที่ดินเคลื่อนที่[1] ที่ต้องใช้ ซึ่งที่ดินนั้นไม่สามารถปล่อยร้างได้ ข้าวที่เกี่ยวได้ก็นำมาเป็นค่าใช้จ่ายให้กับทีมใหญ่

ในยุคนี้ปุ๋ยเคมียังไม่เป็นที่นิยม ทุกคนต้องสะสมปุ๋ยคอกไว้ใช้ พวกคนแก่จึงออกไปแบกตะกร้าเก็บมูลสัตว์ไว้ด้านหลัง แล้วใช้คราดเก็บมูลทุกที่ หนึ่งปีสามารถเก็บได้ไม่น้อยเช่นกัน

มูลสัตว์ถูกขนเข้าไปไว้ในทุ่งนา จากนั้นก็ใช้อุปกรณ์ที่เป็นคราดพรวนดินสองแฉกบด เป็นการเตรียมดินไว้รอหว่านเมล็ดพันธุ์

พี่สามจ้าวขนมูลสัตว์เล็กน้อยเหล่านั้นของตนเองไปยังที่ดินติดริมแม่น้ำ เขาให้พี่สะใภ้สามจ้าวไปพรวนดินในทุ่งนา ส่วนตนเองทำหน้าที่เป็นช่างไม้สองสามวัน เพื่อทำรถไม้ลากคันเล็ก

เพราะครั้งนี้โชคดี แบ่งได้ล่อมาหนึ่งตัว เขาจึงทำรถลากผูกกับตัวของล่อ ดังนั้นเกวียนล่อที่ช่วยประหยัดเวลาและแรงงานก็สำเร็จเสร็จสิ้น

ครั้นมีเกวียนล่อแล้ว กิจการเต้าหู้ของเขาก็พร้อมเปิดให้บริการ

“เจ้าหกเข้าไปในเมืองแล้วเหรอครับ?” วันนี้พี่สามจ้าวขายเต้าหู้เสร็จแล้ว พอกลับมาถึงบ้านจึงถามพี่สี่จ้าว

“ไม่รู้สิ นายไปได้ยินมาจากใคร?” พี่สี่จ้าวถาม

“ชุยต้าบอก” พี่สามจ้าวแค่นเสียงเบา “เจ้าหกนี่มีความสามารถนะ ถึงได้จ้างชุยต้าให้มาปรับหน้าดินด้วย!”

ชุยต้าก็คือคนที่จ้าวเหวินเทาจ้างให้ไปแบกฟืนแลกกับข้าว ตอนที่จ้าวเหวินเทาทำใจไม่ได้ที่ต้องเห็นภรรยาของเขาไปแบกฟืน และเขาเองก็ไม่มีเวลาทำ

“อะไรนะ เจ้าหกจ้างให้ชุยต้าไปปรับหน้าดินอีกแล้วเหรอ?” พี่รองจ้าวที่เพิ่งกลับมาได้ยินพอดี จึงประหลาดใจค่อนข้างมาก

“ใช่ ตอนที่เดินผ่านมาผมได้ยินชุยต้าบอกว่ากำลังช่วยปรับหน้าดินอยู่ ก็เลยถามไป ใครจะไปคิดว่าจะเป็นเจ้าหก!” พี่สามจ้าวกล่าว

พี่รองจ้าวขมวดคิ้ว ที่ดินแบ่งมาได้ง่าย ๆ ทุกคนต่างก็แทบจะรอให้พืชผลในทุ่งนาเติบโตไม่ไหวอยู่แล้ว แต่เจ้าหกกลับเรียกให้คนอื่นไปทำ ทั้งยังสบายใจด้วย!

“พี่รอง พี่ต้องไปพูดกับเขาหน่อยนะ ถ้าในหมู่บ้านรู้เข้าคงได้พูดว่าเจ้าหกเป็นคนฟุ่มเฟือยแน่” พี่สามจ้าวกล่าว “คนที่ไม่รู้คงคิดว่าบ้านพวกเราใช้ชีวิตกันไม่เป็น”

“แยกบ้านแล้ว ถึงจะพูดก็ไม่ได้พูดถึงพี่หรอก” พี่สี่จ้าวกล่าวหนึ่งประโยค

พี่สามจ้าวรีบพูด “เจ้าสี่ พูดอะไรของนาย ต่อให้เขียนชื่อยังไงก็มีคำว่าจ้าวนำหน้า ถึงแยกบ้านแล้วคนนอกก็ยังมองว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกันอยู่ดี!”

พี่รองจ้าวพยักหน้า “น้องสามพูดถูก แต่ฉันคงพูดอะไรไม่ได้หรอก”

ปีที่แล้วเจ้าหกก็ไปจ้างคนมาแบกฟืน เขาเองก็พูดไปแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้เป็นอย่างไรล่ะ ไม่ฟังเลยสักนิด

พี่รองจ้าวพ่ายแพ้เต็ม ๆ เขาไม่มีบารมีในฐานะของพี่ชายเลยสักนิด

“บอกพ่อสิ ให้พ่อไปจัดการเขา!” พี่สามจ้าวบอก “ตอนที่ยังไม่แบ่งที่ดินก็เอ้อระเหยลอยชายทั้งวัน ตอนนี้แบ่งที่ดินแล้วยังเป็นแบบนี้อีก พวกเราพูดไปก็หวังดีกับเขาทั้งนั้นแหละ”

พี่รองจ้าวครุ่นคิด “ได้ ฉันจะไปคุยกับพ่อ!”

จนกระทั่งคุณพ่อจ้าวกลับมาจากในทุ่งนา พี่รองจ้าวก็เล่าเรื่องที่จ้าวเหวินเทาจ้างชุยต้าไปปรับหน้าดินให้พ่อฟัง

คุณพ่อจ้าวกล่าว “เอาเถอะ ฉันรู้แล้ว แกไปทำงานของแกเถอะ”

พี่รองจ้าวคิดไม่ถึงเลยว่าพ่อของเขาจะมีทัศนคติแบบนี้ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากได้สติกลับมาก็ยังไม่ได้เดินออกไป เขามองพ่อของตัวเอง พ่อไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ? แค่นี้เหรอ?

“ยังมีอะไรอีกหรือเปล่า?” คุณพ่อจ้าวมองเขา

“เปล่าครับ” พี่รองจ้าวแอบเกิดความสงสัยเกี่ยวกับชีวิต คนแบบพ่อของเขาก็ไม่มีข้อยกเว้นเหรอนี่ เห็นว่าเป็นลูกชายคนเล็กก็ไม่พูดอะไรเลย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าพ่อของเขาจะไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ

คุณแม่จ้าวเองก็รู้สึกเหนือความคาดหมายมาก นางคิดว่าสามีของนางคงตำหนิลูกชายคนเล็กบ้าง แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบจริง ๆ จึงกล่าวว่า “ตั้งแต่แยกบ้านแล้ว เจ้าหกก็ไม่ได้อยู่บ้านปรับหน้าดินแต่กลับวิ่งเข้าเมืองไปแทน ขนาดที่ดินของตัวเองยังจ้างให้คนมาทำให้ คุณไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ?”

“คุณจะให้ผมพูดอะไรล่ะ?” คุณพ่อจ้าวกล่าว “ตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยู่บ้านสักหน่อย”

“งั้นรอเขากลับมา คุณก็พูดกับเจ้าเด็กคนนี้สักหน่อยแล้วกัน” คุณแม่จ้าวกล่าว

คุณแม่จ้าวเข้าใจลูกชายคนเล็กของนางดี และทราบด้วยว่าลูกชายของนางไม่ยินดีที่จะทำงานตั้งแต่เล็ก เรื่องจ้างชุยต้าปรับหน้าดินนั้นมีความเป็นไปได้ 8-9 ส่วนที่จะเป็นเรื่องจริง

แม้ว่านางจะทราบว่าลูกชายได้เงินมา แต่การกระทำที่จ้างคนมาปรับสภาพที่ดินแบบนี้คือสิ่งที่เจ้าของที่ดินที่เป็นชาวนาร่ำรวยทำกัน ส่วนนางเองก็ลำบากมาไม่น้อย ก่อนหน้านี้บ้านของนางเป็นชาวนาร่ำรวยก็เคยจ้างคนมาก่อน

เป็นเรื่องง่ายมากที่จะไม่สนใจถึงอุปสรรคที่เกิดขึ้น แต่ก็อย่าได้ทำพลาดเชียว

นอกจากนี้ ชีวิตของลูกชายในตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีฐานะถึงขั้นจ้างคนได้

คุณพ่อจ้าวทราบดีว่านางเป็นกังวล จึงกล่าวว่า “ตอนนี้การใช้ชีวิตไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว คุณก็อย่าโกรธไปเลย เขากลับมาแล้วเดี๋ยวผมจะคุยกับเขาเอง”

คุณแม่จ้าวจึงพยักหน้า

เรื่องนี้ทำให้คุณแม่จ้าวเดินมานั่งคุยกับเย่ฉูฉู่ทางนี้

เย่ฉูฉู่ทราบเรื่องนี้ดี เพราะจ้าวเหวินเทาคุยกับเธอแล้ว เมื่อเห็นคุณแม่จ้าวเป็นกังวลจึงกล่าวปลอบใจ “คุณแม่คะ คุณแม่ปล่อยใจให้สบายเถอะค่ะ ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไง? พี่สะใภ้สามทางบ้านแม่ของฉันก็บอกแล้ว ว่าเรื่องพวกนั้นที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ในชนบททางฝั่งนี้ของพวกเรายังไม่ได้เห็นโลกภายนอก ตอนนี้พวกเขากำลังสนับสนุนให้ชาวต่างชาติและชาวจีนโพ้นทะเลเข้ามาทำธุรกิจที่ประเทศจีน ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะทำแบบนี้ได้ยังไงกันล่ะคะ?”

“จริงเหรอ?” คุณแม่จ้าวประหลาดใจ

“จริงค่ะ พี่สะใภ้สามฉันบอกว่า เหวินเทาอยากทำอะไรก็ปล่อยให้เขาทำ ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ส่วนเรื่องทำนานี้ จ้างคนได้ก็จ้างไป มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร คุณแม่ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจนะคะ” เย่ฉูฉู่กล่าว

ภายในใจของคุณแม่จ้าวเองก็รู้สึกดีไม่น้อย นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเด็กบ้าเหวินเทาคนนี้บางครั้งก็บ้าสุดโต่ง เธอเองก็ต้องดู ๆ เขาหน่อยนะ”

“ฉันทราบค่ะ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” เย่ฉูฉู่แย้มยิ้ม

……………………………………………………………………………………………………………………

[1] ที่ดินเคลื่อนที่ เป็นที่ดินที่สงวนไว้เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับที่ดินที่เกิดจากสถานการณ์ต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของประชากร ภัยธรรมชาติ และการได้มาซึ่งที่ดินในพื้นที่ชนบท ตัวอย่างเช่น ในช่วงระยะเวลาของสัญญา หากมีผู้หญิงที่แต่งงานเข้าไปในหมู่บ้าน หรือชาวนาบางส่วนสูญเสียที่ดินตามสัญญาเนื่องจากภัยธรรมชาติ พวกเขาสามารถทำสัญญาที่ดินเคลื่อนที่นี้ให้กับคนเหล่านั้นได้

สารจากผู้แปล

เหวินเทาไม่อยากทำงานเหนื่อย ๆ แล้วได้ผลตอบแทนไม่คุ้มเหนื่อยน่ะ เลยจ้างเอาง่ายกว่า

ไหหม่า(海馬)