ตอนที่ 124 จางหมิงยุวปัญญาชน

จ้าวเหวินเทายังไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้าน ตอนนี้เขาและเย่หมิงเป่ยขับรถสามล้อเครื่องยนต์อยู่บนถนนภายในจังหวัด มองร้านค้าที่เป็นตึกสูงและต่ำทางซ้ายขวา มีเยอะแยะจนไม่มีเวลาให้หยุดพัก

สรุปแล้วภายในจังหวัดก็ยังดูมีการพัฒนามากกว่าในอำเภอ

จ้าวเหวินเทามองสิ่งปลูกสร้างภายในจังหวัด และพูดเช่นนี้ภายในใจ

แม้จะเทียบกับยุคหลังไม่ได้ตรงที่สิ่งปลูกสร้างในตอนนี้สูงสุดเพียงเจ็ดชั้น แถมห้างสรรพสินค้าก็ยังมีไม่มาก แต่ในสายตาของคนในชนบท นี่ก็ถือว่าเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากแล้ว

“พวกเราไปที่ตลาดเกษตรกรกันก่อนไหม?” เย่หมิงเป่ยถาม

“ครับ ไปหาอะไรกินที่นั่นก่อน” จ้าวเหวินเทาตอบ

ทั้งสองคนตื่นตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่าง ตอนเช้าได้กินแค่แผ่นไข่ทอด ตอนนี้จึงรู้สึกหิวแล้ว

เย่หมิงเป่ยเองก็เช่นกัน เขาถามทางไปพลางขับรถมายังตลาดเกษตรไปพลาง เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ใหญ่โตมาก

ตลาดเป็นแบบเปิดโล่ง ปูแผงลอยนั่งอยู่บนพื้น ผู้คนเดินขวักไขว่ ดูคึกคักเป็นอย่างมาก

สถานีส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรก็อยู่ทางนี้เช่นกัน ประตูทางเข้าเป็นเหล็กบานใหญ่เปิดกว้างทีเดียว

ในนั้นมีตึกขนาดเล็กสีขาวสามชั้น ด้านหน้ามีแปลงดอกไม้ ด้านข้างมีลานจอดจักรยาน บริเวณลานกว้างขวางมาจนถึงประตูใหญ่ ซึ่งตอนนี้มีคนๆ หนึ่งกำลังจอดจักรยานอยู่

ตอนที่รถของจ้าวเหวินเทาและเย่หมิงเป่ยขับผ่าน คนๆ นั้นก็เงยหน้ามองโดยไม่ได้ตั้งใจ ตะโกนขึ้นมาว่า

“เย่หมิงเป่ย!” คนๆ นั้นพูดพลางวิ่งตามออกมา

จ้าวเหวินเทาหันไปมอง เอ่ยถาม “คนนั้นใครน่ะครับ? พี่สามมีคนรู้จักอยู่ในเมืองด้วยเหรอ?”

เย่หมิงเป่ยไม่เห็น เพียงแต่ได้ยินเสียง เขาจึงจอดรถไว้ข้างทาง เมื่อได้หันไปมองจึงยิ้มออกมา “จางหมิง?”

ชายหนุ่มที่วิ่งตามหลังมา ชกหมัดใส่บ่าของเย่หมิงเป่ย กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นายจริง ๆ ด้วย ฉันนึกว่าจำผิดคนซะอีก นายมาทำอะไรในเมืองเนี่ย? จริงสิ คนนี้คือ?” เขาหันมองจ้าวเหวินเทา

จ้าวเหวินเทาเองก็ลงมาจากรถแล้ว ทั้งยังมีรอยยิ้มจาง ๆ ประดับบนใบหน้า

เย่หมิงเป่ยแนะนำทั้งสองฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “จ้าวเหวินเทาน้องเขยฉันเอง ส่วนคนนี้คือจางหมิง จะว่าไปก็พ่อสื่อฉันนี่แหละ”

จางหมิงเองก็เป็นยุวปัญญาชนคนหนึ่งที่ออกจากหมู่บ้านกลุ่มเดียวกันกับโจวหมิ่น

แม้ว่าจะไม่ใช่ยุวปัญญาชนที่ศึกษาที่เดียวกัน แต่ยุวปัญญาชนก็คือคนที่เรียนหนังสือ ถ้าเทียบกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ดังนั้นความสัมพันธ์ในกลุ่มจึงนับว่าไม่เลวเลย

ภายหลังจางหมิงก็ได้รู้จักกับเย่หมิงเป่ย และกลายเป็นสหายกัน จากนั้นจึงแนะนำโจวหมิ่นให้เย่หมิงเป่ย ตอนนั้นก็เป็นสหายกัน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท้ายที่สุดทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกัน

ดังนั้นถ้าจะพูดว่าจางหมิงคือพ่อสื่อของเย่หมิงเป่ยและโจวหมิ่นก็ไม่ผิดแม้แต่น้อย

จางหมิงยิ้ม “ไม่ขนาดนั้น ๆ พูดได้แค่ว่าพวกนายสองคนมีวาสนาต่อกันต่างหากล่ะ จริงสิ พวกนายมาทำธุระในเมืองเหรอ?”

“ปีนี้จัดการเรื่องที่ดินส่วนบุคคลแล้ว พวกเราก็เลยมาดูพวกอุปกรณ์การเกษตรกับเมล็ดพันธุ์อะไรพวกนั้น นายล่ะ ทำงานอยู่นี่เหรอ?” เย่หมิงเป่ยมองไปยังทิศทางของสถานีส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตร

“ใช่ ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ที่สถานีส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตร” จางหมิงจึงนึกขึ้นได้ เขามองดูเวลา กล่าวว่า “ไม่ได้การแล้ว ใกล้ถึงเวลาแล้ว ตอนเที่ยงพวกนายมารอฉันที่นี่นะ ฉันจะเลี้ยงข้าวเอง!”

“ถ้านายยุ่งก็ไม่ต้องเลี้ยงหรอก!” เย่หมิงเป่ยรีบกล่าว

“ยุ่งกว่านี้ก็ต้องกินข้าว ตกลงตามนี้นะ ฉันเลิกงาน 11.30 น. พวกนายมารอฉันที่ประตูนะ!” ยังไม่ทันที่เย่หมิงเป่ยจะตอบ จางหมิงก็วิ่งกลับไปทันที

“พี่สาม เขาก็เป็นยุวปัญญาชนเหรอ?” จ้าวเหวินเทากล่าว

“ใช่ เป็นยุวปัญญาชนในหมู่บ้านของพวกเรา” เย่หมิงเป่ยกล่าว

ทั้งสองคนขึ้นรถ จากนั้นก็ขับรถมาถึงตลาดเกษตร หาร้านขนมขบเคี้ยวเล็ก ๆ ซื้อซาลาเปาลูกใหญ่มาสองลูกและแกงจืดไข่ ระหว่างที่รับประทานก็พูดคุยไปพลาง

“นายอย่ามองว่าจางหมิงดูเป็นพวกไร้มารยาทนะ ตอนที่เพิ่งมาถึงหมู่บ้านของพวกเราหมอนั่นร้องไห้ขี้มูกโป่งทั้งวัน ถูกคนด่าถูกผู้หญิงต่อว่าฉอด ๆ แถมยังถูกคนรังแกด้วย ฉันทนดูไม่ไหวก็เลยช่วยเหลือไปหลายครั้ง ก็ได้รู้จักกันนี่แหละ ที่ได้แต่งกับพี่สะใภ้สามของนายเองก็เป็นเพราะเขาแนะนำให้รู้จัก” เย่หมิงเป่ยพูดถึงอดีตแบบง่าย ๆ

จ้าวเหวินเทากินซาลาเปาพลางพูดด้วยความประหลาดใจ “ร้องไห้ขี้มูกโป่ง? ดูไม่ออกเลยนะ”

เย่หมิงเป่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนแรกก็คงไม่ชินกับชีวิตในชนบทแหละ แถมยังกลับไปไม่ได้ด้วย ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บ้านก็ถูกประคบประหงม พอรู้สึกหดหู่ใจก็ร้องไห้ แต่ตอนนั้นยังเด็ก เป็นแค่หนุ่มน้อยอายุ 16-17 เอง”

“บ้านเขาอยู่ในเมืองนี้เหรอ?” จ้าวเหวินเทาถาม

“ใช่ อยู่นี่แหละ ได้ยินว่าพ่อของเขาก็มีเส้นสายนิดหน่อย ก็เลยพาเขากลับมา จางหมิงนิสัยไม่เลวเลยนะ” เย่หมิงเป่ยกล่าว

จ้าวเหวินเทาเองก็รู้สึกได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่วิ่งตามออกมา ในทางตรงกันข้ามตอนนั้นเย่หมิงเป่ยมองไม่เห็นเขาด้วยซ้ำ จางหมิงจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นก็ยังได้

ทั้งสองคนรับประทานซาลาเปาลูกใหญ่เสร็จแล้ว ก็เริ่มเดินเตร็ดเตร่ภายในตลาด ที่นี่ใหญ่กว่าในอำเภอมาก สินค้าก็มีครบครันกว่า เมื่อทั้งสองคนถามข้อมูลและราคาเสร็จ นำสินค้ามาเทียบกันสามร้าน จากนั้นจึงซื้ออุปกรณ์การเกษตรและเมล็ดพันธุ์

หลังใช้เงินไปพอสมควรแล้วจึงออกมาจากด้านใน เมื่อดูเวลาก็ใกล้จะถึงช่วงเที่ยงแล้ว พวกเขาจึงมารอที่ประตูสถานีส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตร

จางหมิงกำลังรอพวกเขาอยู่จริง ๆ

“ฉันนึกว่าพวกนายจะไม่มาแล้วซะอีก” จางหมิงเข็นรถจักรยานพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กำลังคิดว่าจะไปหาพวกนายที่ตลาดอยู่พอดี”

“จะไม่มาได้ไงล่ะ ไม่ได้เจอนายมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย?” เย่หมิงเป่ยเอ่ย

“ไปเถอะ” จางหมิงยิ้ม ก่อนจะขึ้นรถจักรยาน

จ้าวเหวินเทารีบกล่าว “พี่สาม พวกพี่สองคนไปเถอะ เดี๋ยวฉันหาอะไรกินข้างนอกก็ได้ บนรถมีของเยอะแยะขนาดนี้ ไม่มีคนเฝ้าไม่ได้หรอก”

จางหมิงมองบนรถปราดหนึ่ง “ไม่เป็นไร เอารถไปจอดที่บ้านฉันก็ได้ ไม่ไกล อยู่ข้างหน้านี้เอง”

“แบบนี้ไม่สะดวกเท่าไรมั้ง?” เย่หมิงเป่ยแอบลังเล

“ไม่สะดวกอะไรกันล่ะ ฉันเองก็เคยไปอยู่บ้านนายมาก่อน แม่ของนายเคยเย็บกางเกงบุฝ้ายให้ฉันด้วย!” จางหมิงกล่าว ตอนนั้นที่ไปอยู่ในชนบทก็ได้รับการดูแลจากตระกูลเย่ไปไม่น้อยเลยจริง ๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงรู้สึกว่าตัวเองคงทนไม่ไหวไปแล้ว

จางหมิงชวนอย่างจริงใจ เย่หมิงเป่ยก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เขาจึงขับรถตามจางหมิงมา

จ้าวเหวินเทาเองก็ไม่ได้คัดค้าน มีคนคุ้นเคยในจังหวัดนี่แหละถึงจะดี ถึงอย่างไรหลังจากนี้เขาอาจจะมาอีกหลายครั้งก็ได้

บ้านของจางหมิงมีลานกว้าง ลานบ้านมีขนาดใหญ่มาก สามารถจอดรถเข้าไปด้านในได้ทั้งคัน ส่วนบ้านเป็นบ้านชั้นเดียว

“ฉันแต่งงานแล้ว ไม่อยากนอนเบียดเสียดอยู่ในบ้านเดียวกับพ่อแม่ อีกอย่างฉันก็ไม่ชอบอยู่แบบตึกอาคารด้วย อึดอัดน่ะ ฉันก็เลยซื้อบ้านชั้นเดียวเป็นของตัวเอง อยู่ใกล้กับที่ทำงานด้วย” จางหมิงปลดล็อคประตูใหญ่ เรียกให้เย่หมิงเป่ยนำรถเข้าไปจอดด้านในลาน “ภรรยาของฉันกลับชนบทไปแล้ว ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียว พวกนายเข้าไปในบ้านก่อน ฉันจะไปซื้อกับข้าวให้สักสองสามอย่าง”

เขาเปิดประตูบ้านให้เย่หมิงเป่ยและจ้าวเหวินเทาเข้ามารอด้านใน จากนั้นก็ขี่จักรยานออกไป

ช่างไว้ใจเย่หมิงเป่ยจริง ๆ ถึงขนาดให้พวกเขาเข้ามารอด้านในบ้าน ไม่กลัวเลยสักนิดว่าของจะหาย

ลานเล็ก ๆ ในบ้านของจางหมิงเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ทั้งยังปลูกไม้ผลอีกสองสามต้นด้วย เพียงแต่ฤดูกาลในตอนนี้ จึงทำให้ต้นไม้ดูโล่งเตียน

ภายในบ้านก็เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกับชนบท มีสามห้อง ห้องตรงกลางถูกกั้นฉากแยกไว้ ด้านหลังเป็นห้องครัว ห้องทางตะวันออกเป็นห้องรับแขก ติดกับหน้าต่างทางทิศใต้มีโซฟาหนึ่งชุดที่ไม่ได้ใหม่และไม่ได้เก่า รวมถึงโต๊ะน้ำชากระจกอีกหนึ่งตัว

จ้าวเหวินเทาเห็นเครื่องทำความร้อนใต้หน้าต่าง ในบ้านของพี่สาวใหญ่จ้าวและพี่สาวห้าจ้าวก็มีของแบบนี้เช่นกัน เขาที่คุ้นชินกับมันแล้วจึงเข้าไปสัมผัส ก็พบว่ายังมีความร้อนเหลืออยู่นิดหน่อย

“ผมสร้างบ้านขึ้นมาได้เมื่อไรก็จะติดตั้งมันไว้เหมือนกัน!” จ้าวเหวินเทานั่งหน้าเครื่องทำความร้อนพลางกล่าว

เย่หมิงเป่ยกล่าว “ของชิ้นนี้เปลืองถ่านหิน ฤดูหนาวถ้ามีถ่านหินไม่ถึงสองสามตันก็คงไม่พอ”

“ไม่มั้ง ในบ้านมีเตาไฟ เปิดวันละสองครั้งก็พอแล้ว จะใช้สักเท่าไรกันเชียว” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยความประหลาดใจ

“สองครั้งไม่ได้หรอก ของแบบนี้ถ้าไม่เผาเป็นประจำมันจะแข็งจนแตกเลยล่ะ” เย่หมิงเป่ยเองก็ได้ยินที่โจวหมิ่นพูดมา

“ของชิ้นนี้แข็งจนแตกได้ด้วยเหรอ?” จ้าวเหวินเทาเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก เครื่องทำความร้อนที่ดูเหมือนจะแข็งแรงและทนทาน จะเปราะบางแบบนี้ได้อย่างไรกัน?

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ผูกมิตรกับคนนี้เข้าไว้เหวินเทา ในภายภาคหน้าอาจเป็นคอนเนคชันให้ตัวเองได้นะ เพราะดูจางหมิงก็รู้เรื่องเชิงลึกเกี่ยวกับวงการเกษตรอยู่

ไหหม่า(海馬)