เสียงระฆังดังขึ้นระหว่างที่ฉันออกห่างจากราธบันและจ้องมองคาร์ล เป็นเสียงระฆังแจ้งให้ทราบว่าการประชุมจะเริ่มขึ้นแล้ว เหล่านักบวชที่ยืนล้อมรอบคาร์ลรีบกลับไปยังที่นั่งของตนเองอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่การสวดภาวนาสั้นๆ และการร้องเพลงสรรเสริญจบลง นักบวชระดับสูงที่รับหน้าที่เป็นประธานก็เริ่มดำเนินการประชุม
“มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ต้องแจ้งให้ทุกท่านทราบก่อนที่จะประกาศข้อมูลเกี่ยวกับการคัดเลือกผู้อาวุโส ก่อนอื่น มีผู้ที่ประสงค์จะถอนตัวออกจากการขึ้นทะเบียนเป็นผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโส”
นักบวชระดับสูงที่กล่าวเช่นกันหยิบกระดาษที่อยู่ในอกออกมา
แม้จะดูจากที่ไกลๆ แต่ฉันก็เห็นว่ารายชื่อที่เขียนในนั้นไม่ได้มีแค่ชื่อสองชื่อ
‘คงไม่ใช่ว่าถอนตัวกันหมดใช่ไหม?’
ฉันเทียบจำนวนรายชื่อที่เขียนในกระดาษกับผู้เข้าคัดเลือกที่นั่งอยู่แล้วก็ต้องบีบสองมือใต้โต๊ะแน่น
“เนื่องมาจากมีจำนวนมากที่ประสงค์จะถอนตัว ข้าจึงคิดว่าควรประกาศว่ามีผู้เข้าคัดเลือกท่านใดบ้างที่ยังหลงเหลืออยู่ หากขานชื่อแล้วกรุณายืนขึ้นด้วย”
ไม่ช้า นักบวชระดับสูงก็เริ่มเอ่ยเรียกรายชื่อที่ถูกเขียนอยู่อีกฝั่ง นักบวชยืนขึ้นจากตรงนั้นตรงนี้ตามลำดับการเรียก
“คนสุดท้าย นักบวชทั่วไปคาร์ล”
ทันทีที่ชื่อของตนถูกเรียก คาร์ลก็ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างโซเซ นักบวชคนอื่นที่นั่งอยู่ด้านข้างเข้ามาประคองอย่างเร่งรีบ แต่เขาก็ปฏิเสธและยืนขึ้นราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร ทันใดนั้น เสียงปรบมือก็เริ่มดังขึ้นจากเหล่านักบวชคนอื่นที่นั่งอยู่ ในตอนแรกทุกคนปรบอย่างลังเล ทว่าพอใครคนหนึ่งเริ่มปรบเสียงดัง จู่ๆ เสียงปรบมือก็กระหึ่มขึ้นมาราวกับปะทุขึ้น เป็นเสียงปรบมือที่ยิ่งใหญ่เสมือนการต้อนรับแม่ทัพที่กลับมาพร้อมชัยชนะ
“พอ พอได้แล้ว”
คาร์ลโบกมือห้ามปรามทุกคนอย่างวุ่นวาย ทว่าสีหน้าแบบนั้นของเขากลับทำให้เหล่านักบวชถึงกับยืนขึ้นปรบมือ
จนถึงขนาดที่หากใครเห็นตอนนี้คงคิดว่าในขณะนี้เขาถูกเลือกเป็นผู้อาวุโสแล้ว
ฉันมองดูผู้เข้าคัดเลือกคนอื่นที่เหลืออยู่ บนใบหน้าของพวกเขามีประกายแห่งการล้มเลิกปรากฏขึ้นมา มันแน่อยู่แล้ว ในบรรยากาศแบบนี้ ใครจะยังอยากเป็นผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโสและแข่งขันกับคาร์ลกัน ทำไปก็คงได้สภาพซอมซ่อและน่าอับอายกลับมาเท่านั้น
‘ไม่ได้’
ฉันนั่งมองคาร์ลอยู่แบบนั้น หากบรรยากาศเป็นแบบนี้ เขาก็คงกลายเป็นผู้อาวุโสโดยไม่จำเป็นต้องมีการประชุมหรืออะไรด้วยซ้ำ
‘หากเขากลายเป็นผู้อาวุโสล่ะก็…’
เขาก็จะได้แบกรับหน้าที่มากมาย รวมถึงยังกำอำนาจที่ยิ่งใหญ่ไว้ในมือ
‘ต้องขวางเอาไว้’
ฉันเป็นคนเรียกเขากลับมาเพื่อใช้ต่อต้านอีเบลลีน่า แต่ตอนนี้ฉันกำลังพยายามที่จะขวางเขาไว้
ย้อนนึกถึงภาพของเขาที่ได้เห็นในความทรงจำของอีเบลลีน่า นักบวชผู้สมบูรณ์แบบ ผู้ที่ใช้ชีวิตตามหลักคำสอนของพระเจ้า ผู้ที่ทะนุถนอมรักใคร่อีเบลลีน่าวัยเด็กและสั่งสอนหลักคำสอนของพระเจ้าให้แก่นาง
ทว่าความทรงจำเพียงอย่างเดียวที่ฉันไม่เห็นกำลังจับฉันและยับยั้งเอาไว้ ราวกับเสียงทุกข์ทรมานของอีเบลลีน่าและเสียงหายใจหอบถี่ของคาร์ลกำลังร้องตะโกนว่าเขาจะกลายเป็นผู้อาวุโสไม่ได้เป็นอันขาด
‘แต่ต้องทำยังไง?’
ตอนนี้ฉันต้องทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนทิศทางนี้และขัดขวางไม่ให้เขากลายเป็นผู้อาวุโสได้
แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่มีคำตอบ แม้ว่าฉันจะโกยความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับวิหารหลวงที่ฉันจำได้ออกมามันก็ยังไม่หลักแหลมมากพอ
‘อย่างน้อยถ้าตอนนี้ฉันสามารถเลื่อนการประชุมออกไปได้…’
ขณะที่ฉันกำลังวุ่นวายใจเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดีอยู่นั่นเอง
“ท่านไม่อยากให้นักบวชคาร์ลเป็นผู้อาวุโสหรือขอรับ?”
“…!”
ราธบันเอ่ยถามราวกับอ่านความคิดของฉันได้ ทันทีที่ฉันมองกลับไปด้วยแววตาประหลาดใจ เขาก็กล่าวขึ้นอย่างแรงประหนึ่งว่าสายตาแบบนั้นของฉันทำให้ได้รับการยืนยัน
“เช่นนั้น ได้โปรดท่านออกคำสั่งด้วย”
ราวกับว่าหากฉันออกคำสั่ง ก็จะเอาชนะทุกอย่างได้
ควรทำอย่างไรดีนะ
ราธบันยืนรอคำสั่งของฉันอยู่ด้านข้าง ระหว่างนั้นเอง เสียงปรบมือยังคงดังก้องอยู่ภายในห้องประชุมจนแสบหู ฉันรับรู้ได้โดนสัญชาตญาณ คาร์ลจะได้กลายเป็นผู้อาวุโสหากเสียงที่ดังอยู่ตอนนี้จบลง
แม้จะบอกว่ายังหลงเหลือขั้นตอนอีกมากกว่าจะถึงตอนที่ผู้อาวุโสถูกเลือก แต่ฉันมั่นใจว่าท้ายที่สุดมันจะไม่เป็นไปตามรูปแบบพิธี ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้จะต้องรีบจัดการขั้นตอนต่างๆ แทนคาร์ลแน่
ฉันมองราธบัน
ต่างกับฉันที่นึกวิธีการอะไรไม่ออกเลย เขากำลังมองฉันด้วยใบหน้าราวกับถามว่าทำไมถึงไม่ออกคำสั่งเสียที
‘…เขาบอกให้ออกคำสั่ง’
ไม่สิ นี่ไม่ใช่คำสั่ง ฉันแค่ไหว้วานเขา
ทว่าราธบันพูดว่ามันคือคำสั่ง แล้วมันต่างกันอย่างไร แต่ก็แน่ล่ะ พอนึกถึงคำแหน่งของเขาผู้เป็นอัศวินแห่งวิหารและฉันผู้เป็นนักบุญหญิง การร้องขอของฉันที่ขอให้เขาทำก็คงเป็นคำสั่งตามที่เขาพูด แต่ฉันกลับรู้สึกได้ว่าคำสั่งที่ราธบันพูดถึงตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งนั้น
การไหว้วานก็เหมือนหนี้ประเภทหนึ่ง ฉันได้รับการช่วยเหลือและต้องคืนค่าตอบแทนให้แก่ฝ่ายที่ให้ความช่วยเหลือในสักวันหนึ่ง ทว่าคำสั่งนั้นต่างออกไป นั่นเป็นการกระทำโดยฝ่ายเดียว และไม่จำเป็นต้องตอบแทน
แม้ฉันจะไม่รู้ว่าเขาจะใช้วิธีอะไรในการเปลี่ยนทิศทางนี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรมันก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ว่าราธบันพยายามจะทำมันเพื่อฉันและพยายามที่จะไม่ให้มันเป็นภาระแก่ฉัน
ฉันจ้องมองคาร์ลที่ยืนอยู่ตรงที่ไกลๆ หากเขาได้กลายเป็นผู้อาวุโส เขาจะมายืนข้างฉันที่ใกล้ยิ่งกว่าราธบัน หลังจากคิดถึงภาพนั้นได้ ฉันก็เปิดปาก
“ราธบัน ได้โปรดช่วยข้าด้วย”
แม้เขาจะบอกให้ฉันออกคำสั่ง แต่ฉันปฏิเสธสิ่งนั้น ฉันร้องขอความช่วยเหลือจากเขาแทน
“…”
เขาปิดตาลงอย่างเชื่องช้าไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน ฉันกลั้นหายใจมองเขา ตั้งแต่นี้ไป ฉันไม่รู้เลยว่าเขาจะทำอะไร เสียงปรบมือที่ดังอยู่ทั่วห้องประชุมกำลังเบาลงเรื่อยๆ ไม่นาน ราธบันก็ลืมตาขึ้นและดึงดาบที่อยู่ตรงเอวของตนออกมา หรือพูดให้ชัดคือทั้งฝักดาบ จากนั้นก็นำมันมาวางลงตรงหน้าฉันราวกับเขวี้ยงทิ้ง
โครม!
เสียงไม้และเหล็กกระทบกันจนเกิดเสียงดังสนั่นในห้องประชุม เสียงปรบมือหยุดลงในชั่วพริบตา ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมหันกลับมามองทางฉันและราธบันด้วยสีหน้าตกใจ
แม้จะรู้อยู่แล้วว่าดาบนั้นหนักแค่ไหนเพราะเคยถือมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ฉันก็ยังตกใจจนตัวแข็งเมื่อได้ยินเสียงนั้น ฉันมองดาบของราธบันที่วางอยู่ตรงหน้า
ทั้งการหยุดเสียงปรบมือ ทั้งการรวบรวมทุกสายตาที่มองคาร์ล สำเร็จ
ตอนนี้เขาคิดจะทำอย่างไรต่อไป?
หากเขาตั้งใจแค่ส่งเสียงดังล่ะก็ มันมีวิธีที่ง่ายดายยิ่งกว่านี้อีก ทันทีที่ทุกคนส่งสายตาถามหาคำตอบว่าทำไมราธบันถึงทำเช่นนี้ เขาก็หันไปกล่าวกับเหล่านักบวช
“ขออภัยที่ขัดขวางการประชุม ทว่าข้าอยากให้จัดการปัญหาก่อนที่จะเกิดเรื่องดีๆ ขึ้น จึงขอให้ทุกท่านอภัยให้กับการเสียมารยาทครั้งนี้ด้วย”
หลังจากพูดแบบนั้น ราธบันคุกเข่าลงตรงหน้าฉัน
“ราธบัน ผู้บัญชาการอัศวินแห่งวิหาร เนื่องด้วยไม่อาจปฏิบัติภารกิจและหน้าที่ที่ได้รับมาได้ จึงขอร้องการปลดออกจากตำแหน่งขอรับ”
ปลดออกจากตำแหน่ง
วินาทีที่คำพูดนั้นออกมาจากปากของราธบัน ห้องประชุมที่อึกทึกครึกโครมก็ปกคลุมไปด้วยความเงียบอันหนักหน่วงจนน่าขนลุก มนุษย์จะไม่อาจตอบสนองออกมาได้เมื่อได้รับการกระทบกระเทือนมากเกินไป บางทีตอนนี้คงเป็นช่วงเวลานั้น ความตกใจกำลังมารวมตัวกันภายในห้องประชุมที่เสียงปรบมือจางหายราวกับระลอกคลื่นที่เกิดจากพายุ
ไกลออกไปตรงนั้น ฉันมองเห็นรอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของคาร์ลเป็นครั้งแรก
******
แอสรันกวาดตามองรอบข้าง สถานที่ที่เขายืนอยู่คือบนอาคารของจัตุรัสกลาง เส้นผมสีแดงของเขาปลิวไสวจนยุ่งเหยิงเพราะลมที่พัดแรงเมื่อขึ้นมายืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุด
“พวกอ่อนแอเข้ามาไม่ได้สินะ”
น้ำเสียงที่แฝงความชื่นชมเล็กน้อยดังออกมาจากปากเขา
ตอนนี้ในสายตาของแอสรันเต็มไปด้วยพลังที่มนุษย์มองไม่เห็น พลังศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าครามที่สีเข้มยิ่งกว่าสีท้องฟ้าทอดยาวจากกลางวิหารหลวงไปจนถึงจุดที่สายตามองเห็น พลังนั่นไหวปลิวอย่างนุ่มนวลราวกับม่านที่ปกคลุมท้องฟ้าในทุกครั้งที่สายลมพัดผ่าน
แอสรันเดาะลิ้นสั้นๆ พลางปัดไหล่ตนเอง พลังศักดิ์สิทธิ์สีครามที่เกาะอยู่บนนั้นถอยออกไปด้านหลังอย่างแรงเมื่อสัมผัสได้ถึงมือของเขา จากนั้นมันก็ค่อยๆ เข้ามาใกล้เขาราวกับจะไม่ปล่อยไปอีกครั้ง แอสรันหมุนไหล่ที่หนักอึ้งจนถึงเมื่อครู่ก่อนเบาๆ
เขาเคยรู้สึกถึงความหนักหน่วงเช่นนี้ในชีวิตหรือไม่นะ
“สมกับเป็นวิหารหลวง”
สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของพลังที่เป็นปฏิปักษ์กับพลังของตน เขาเอ่ยชมเชยอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงกำลังที่พลังนั้นครอบครอง พลังอันยิ่งใหญ่นี้กำลังเคลื่อนไหวโดยมีมนุษย์ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เรียกว่านักบุญหญิงเป็นศูนย์กลาง
มนุษย์อาจไม่รู้ แต่แผ่นดินนี้เป็นสถานที่ที่ไม่มั่นคงเอาเสียเลย สถานที่ที่ซ้อนทับกันระหว่างโลกสองใบ ดังนั้นจึงมีหลายที่ที่ปริร้าวและแตกหัก เขาเองก็มายังที่นี่ผ่านรอยร้าวเหล่านั่นเช่นกัน ทว่ารอยร้าวนั่นถูกปิดลงก่อนที่เขาจะได้กลับไปโลกใบเดิม
‘เป็นเพราะนักบุญหญิง’
ทันทีที่นักบุญหญิงคนแรกปรากฏตัวขึ้น แผ่นดินที่ไม่สงบสุขก็กลับเข้าสู่ความปลอดภัยในชั่วพริบตา นั่นหมายความว่าประตูที่จะพาเขากลับไปได้หายไปแล้ว แน่นอนว่านักบุญหญิงเป็นเพียงตัวแทนของพระเจ้าเท่านั้น และเพราะไม่ได้เป็นตัวพระเจ้าเอง จึงไม่สมบูรณ์แบบ ชายแดนของแผ่นดินจึงยังมีรอยร้าวเล็กๆ เกิดขึ้นและสูญสิ้นสลับกันไป ปีศาจที่ปรากฏขึ้นในหลายๆ พื้นที่ก็คือหลักฐาน
พวกปีศาจที่ค้นพบรอยร้าวและข้ามมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น รวมถึงพวกที่ข้ามมาหาของกินแล้วกลับไปไม่ได้
ในจำพวกนั้น ปีศาจที่โชคดีจะกินมนุษย์หรือสัตว์และอดทนรอวันกลับไปยังโลกของตนเองผ่านรอยร้าวที่ถูกเปิดออกอีกครั้งก่อนที่พลังของตนเองจะเหือดหาย และแอสรันเป็นปีศาจที่ค่อนข้างไม่มีโชคเสียเลย
‘กลับไปด้วยรอยร้าวประเภทนั้นไม่ได้’
เขามองมือตนเอง เขาอยู่ในร่างของมนุษย์มานานเกินไปจึงทำให้ตอนนี้ร่างเดิมของเขาก็เริ่มเลือนรางแล้ว แอสรันมองท้องฟ้า ท้องฟ้าสีครามทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดบนที่ราบโล่งที่ไม่มีภูเขา บางทีอาจต้องฉีกท้องฟ้าจนหมดจึงจะเกิดรอยร้าวให้เขาสามารถข้ามกลับไปได้
‘ตอนนี้คงทำไม่ได้’
นี่ไม่ใช่โลกของเขา หมายความว่ายิ่งเขาอยู่ที่นี่นานมากเท่าไร พลังของเขาก็ยิ่งหายไปมากเท่านั้น
ตอนแรกเขาก็เคยพยายามฉีกพื้นที่อย่างบ้าคลั่ง ทว่าพื้นที่ที่ฉีกขาดจากเล็บเท้าของเขามีขนาดไม่เพียงพอที่จะให้เขาข้ามกลับไป กลับทำให้ปีศาจจากโลกอื่นหลั่งไหลเข้ามาแทนเท่านั้น อีกทั้งรอยร้าวต่างๆ ที่เขาทำขึ้นก็ถูกปิดไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงหมดแล้ว
ยิ่งเขาโลดแล่น ก็ยิ่งสิ้นเปลืองพลังไปโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น ดังนั้นแอสรันจึงได้วางแผนอื่น
‘ต้องมีลูก’
ลูกเป็นการดำรงอยู่ที่พิเศษสำหรับปีศาจ เพราะเป็นการดำรงอยู่ที่สืบทอดรูปโฉมและพลังของตนไป ไม่ใช่ทายาทเหมือนที่เหล่ามนุษย์คิด แต่เป็นเหมือนตัวเราเองอีกคน แต่แน่นอนว่าเพราะความเป็นเอกเทศต่อกัน เราจึงมีบุคลิกแตกต่างแม้จะมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมากในทุกด้านก็ตาม
หากมีคนที่เหมือนตนเพิ่มขึ้นมาอีกคน ตอนนั้นเขาก็คงจะสร้างรอยร้าวที่ใหญ่พอจะให้ร่างเดิมของเขาข้ามกลับไปได้
ทว่าในโลกใบเดิม ลูกยังเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้ยาก ดังนั้นการจะสร้างขึ้นมาในโลกใบนี้ที่เชื้อชาติไม่ตรงกับเขาเลยสักอย่างเดียวจึงเป็นไปไม่ได้ เขาก็เคยลองทำอะไรที่เปล่าประโยชน์มาหลายครั้ง ทว่าก็จบลงด้วยความล้มเหลวโดยไม่จำเป็นต้องดูผลด้วยซ้ำ มันไม่มีสายรกที่พอจะอดทนลูกของปีศาจซึ่งเป็นดั่งกลุ่มก้อนพลังอันยิ่งใหญ่ตั้งแต่วินาทีที่ถือกำเนิดขึ้นได้ ไม่มีทางมีคนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นอยู่ในโลกใบนี้
แต่แล้วแอสรันก็ตระหนักได้
มีอยู่หนึ่งคน เพียงแต่เขาไม่ได้คิดถึงเพราะเป็นคนที่ต่างจากเขาสุดขั้ว
นักบุญหญิง
แต่ไม่ใช่แค่พอรู้ว่ามีคนที่มีความเป็นไปได้แล้วทุกอย่างจะได้รับการแก้ไข เพราะการส่งลูกของเขาออกมาโลกภายนอกอย่างครบถ้วนเป็นปัญหาที่ขึ้นอยู่กับนักบุญหญิงทั้งสิ้น เพราะการต้องอดทนตัวเขา และโอบอุ้มลูกของปีศาจไว้ในร่างนั้นขึ้นอยู่กับความตั้งใจของนาง ในตอนแรกเขาเคยคิดว่าจะใช้พลังเวทเพื่อให้ยอมจำนนดีหรือไม่ แต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้
อย่างแรกเลย พลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงไม่ใช่สิ่งที่เขาจะกดขี่ได้โดยง่าย อีกทั้งต่อให้บังคับให้นางจำนนได้สำเร็จ แต่หากพลังเวทของเขาล้มเหลวในการควบคุมสติของนาง นักบุญหญิงคงพยายามฆ่าลูกของปีศาจที่ได้รับบาดแผลสาหัสในโลกใบนี้ทันที
เช่นนั้นแล้วเขาควรต้องทำอย่างไรดี
วันเวลาที่ครุ่นคิดแบบนั้นผ่านไป แล้วแอสรันก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังศักดิ์สิทธิ์ จู่ๆ พลังศักดิ์สิทธิ์ก็อ่อนแอลงและกำลังเริ่มสั่นคลอนอย่างบ้าคลั่ง แต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็มิใช่ว่าพลังมหาศาลนั่นจะหายไปทั้งหมด มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่
ระหว่างที่เขากำลังสงสัย ก็มีจดหมายข้ามน้ำทะเลอันไกลโพ้นมายังเกาะของเหล่าจอมเวท เขารู้ได้ทันทีที่มันมาถึงแม้ไม่ได้ถามว่าเป็นของที่ใครส่งมา
จดหมายที่มองภายนอกแล้วไม่มีอะไรพิเศษ แต่มันถูกมัดอยู่อย่างแน่นหนาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หากไม่ใช่คนที่ครอบครองพลังเวทระดับเดียวกับแอสรันแล้วก็ไม่มีทางแกะออกได้
ขณะที่เปิดจดหมายอ่าน แอสรันก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
นักบุญหญิงเขียนมาว่าต้องการความช่วยเหลือจากตนและพร้อมจะตอบแทนทุกอย่าง
“เพราะฉะนั้นถึงได้มาหาจนถึงที่นี่…”
เหมือนมีบางอย่างที่น่ารำคาญตามติดและทำให้เรื่องราวซับซ้อนอย่างน่าประหลาด ยิ่งไปกว่านั้น นักบุญหญิงผู้ที่ทำสัญญากับเขากลับจำเรื่องนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
‘ดีจริงที่ขอให้เซ็นชื่อในกระดานชนวนไว้’
ไม่เช่นนั้นคงได้กลายเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นแล้ว
แอสรันยื่นมือออกไปหลังจากแหงนมองท้องฟ้า พลังเวทสีแดงทะลักออกมาจากมือของเขาราวกับระเบิดและเข้าปกคลุมผืนฟ้า มันทะลุผ่านพลังศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าครามขึ้นไปด้านบน ผ่านเลยก้อนเมฆขึ้นไปสูงกว่านั้น ก่อนจะกระจายหายไปรอบทิศทางอย่างรวดเร็ว
เขาสัมผัสได้ว่าด้านล่างกำลังแตกตื่น แน่ล่ะ สถานที่ที่มีแต่พวกมีพลังศักดิ์สิทธิ์ยั้วเยี้ยอยู่คงไม่มีทางที่จะสัมผัสไม่ได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังเวทปริมาณมหาศาลแบบนี้
เขาย้อนนึกถึงคำพูดของไอ้ลูกหมาขนดำที่พูดเล่นลิ้นสั่งให้เขาอยู่อย่างสงบเสงี่ยมตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ทั้งยังไอ้ลูกหมาขนเหลืองที่พูดเสริมอยู่ด้านข้างว่าอย่าไปรบกวนนักบุญหญิง พอคิดว่าพวกมันคงกำลังด่าตนและวิ่งพล่านไปทั่วอยู่ด้านล่าง แอสรันก็อารมณ์ดีขึ้น
การที่เขาแผ่ขยายพลังเวทออกไปตอนนี้ไม่ได้เป็นเพียงการกระทำเพื่อให้พวกมันอารมณ์เสีย
‘ต้องไปตามหา’
เขายืนยันแล้วว่ารอยนั่นมันกำลังดูดกลืนพลังของนักบุญหญิงไป ถ้าอย่างนั้นแล้วพลังที่หายไปของนักบุญหญิงจะไปอยู่ที่ไหนกัน เขาไม่รู้สึกถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงว่าอยู่ที่นักบวชคนที่ห่มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์คนนั้น คนนี้จนน่าสะอิดสะเอียนแบบที่หมาสองตัวนั้นเห่าหอนว่าแปลก
บัดนี้พลังเวทของเขากำลังข้ามขอบฟ้าไป พลังเวทที่บางเฉียบแต่ไม่ขาดสะบั้นกำลังขยายไปทั่วทั้งแผ่นดินนี้ และออกตามหาพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หายไป
******
กลับตาลปัตร
การประชุมวันนี้สามารถอธิบายได้ทุกอย่างในคำเดียว หลังจากจบการประชุมที่ไม่รู้ว่าจบลงอย่างไร คาร์ลก็มานั่งอยู่คนเดียวในห้องของเขา
กรอด
เสียงขบฟันดังขึ้นภายในห้องแคบที่ดวงตาเห็น
“ทำไม”
เป็นไปไม่ได้ ใบหน้าของนางที่มองราธบันควรจะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ไม่ใช่เพียงเท่านั้น สายตาที่มองทุกอย่างในวิหารควรจะเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ส่วนสายตาที่มองมาที่ตนก็ควรจะอัดแน่นไปด้วยความหวาดผวา
ทว่านักบุญหญิงกลับไม่มีท่าทีเช่นนั้นเลย บนหน้าของนางมีเพียงความตกใจที่บริสุทธิ์เท่านั้น
“…เปลี่ยนไปแล้วสินะ”
มุมปากของคาร์ลบิดเบี้ยว จะเป็นแบบนี้ไม่ได้ ทั้งที่เขาพยายามไว้ถึงเพียงนั้น
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะช่วยทำให้มันกลับมาอีกครั้งแล้ว”
ต้องทำให้นักบุญหญิงจดจำคำสอนของตนให้ได้อีกครั้ง เขาม้วนแขนเสื้อ ด้านในแขนของเขามีรอยที่เหมือนกับรอยที่นักบุญหญิงมีอยู่ คาร์ลลูบไล้มัน ก่อนจะคิดว่าครั้งหน้านักบุญหญิงออกมาพบผู้คนอีกวันไหนกัน