ตอนที่ราธบันมาถึงหน้าที่พัก เหล่านักบวชทั่วไปที่ทำหน้าที่เฝ้าที่นั่นต่างก็มีสีหน้าไม่รู้จะทำอย่างไร เขาย้อนนึกถึงภาพที่นักบุญหญิงวิ่งออกมาจากห้องหนังสือ เมื่อนึกถึงสีหน้าที่ดูคล้ายจะร้องไห้ทั้งที่ใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย หัวใจฝั่งหนึ่งก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา

 

นางออกไปทั้งสภาพแบบนั้น การที่เหล่านักบวชจะทำตัวไม่ถูกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก

 

พอราธบันปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกพลางมองตากัน ราธบันแสร้งทำเป็นไม่รู้ท่าทีของพวกเขาและกล่าวขึ้น

 

“ข้าอยากพบท่านนักบุญหญิง”

 

นี่ก็ดึกมากแล้ว อีกทั้งแม้ว่าเขาจะแต่งกายเรียบร้อยแต่ก็ยังไม่อาจปกปิดผมที่เปียกชื้นและยุ่งกระเซอะกระเซิงได้หมดจด แม้จะคิดว่าควรกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อน แต่หากไม่พบนักบุญหญิงตอนนี้ก็คงจะไม่ได้จริงๆ

 

เขาอยากพบนางแล้วยืนยันความรู้สึกของตนและความรู้สึกของนางให้ชัดเจน

 

เป็นอย่างที่คิด คำพูดของเขาทำให้เหล่านักบวชมีสีหน้าวุ่นวายใจ

 

“ไม่ได้ค่ะ ท่านล็อกประตูทุกบานเลย”

 

ใบหน้าราธบันเคร่งเครียดขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าล็อกประตู เหล่านักบวชพิจารณาสีหน้าของเขาอย่างระมัดระวังแล้วกล่าว

 

“ไม่จำเป็นกังวลก็ได้ค่ะ ท่านราธบันเองก็รู้ว่าเมื่อก่อนท่านก็เป็นแบบนี้ออกจะบ่อย พวกเราเพียงแค่ทำตัวไม่ถูกเพราะมันผ่านมานานแล้ว บางที…”

 

นักบวชใบหน้าแดงขึ้นคล้ายว่าเขินอาย ก่อนที่น้ำเสียงจะเบาลงเรื่อยๆ

 

“สุดสัปดาห์นี้ท่านคงอยากจะใช้เวลาส่วนตัว”

 

ราธบันรู้ดีว่าคำพูดเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร ก่อนที่นักบุญหญิงจะหมดสติไป นางมักจะลงกลอนประตูอยู่เสมอ เขาไม่มีทางไม่รู้ว่าด้านในเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะนางเข้าไปในห้องพร้อมกับเหล่าชายหนุ่มที่ไม่มีทางเป็นนักบวช และไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในช่วงเวลาเหล่านั้นราวกับห้ามรบกวน เหล่านักบวชที่เข้าไปในห้องหลังจากประตูเปิดออกเมื่อเวลาผ่านพ้นไปยังสามารถเห็นร่องรอยยุ่งเหยิงที่นักบุญหญิงกับเหล่าชายหนุ่มทำทิ้งไว้ มีบางครั้งที่เหล่าชายหนุ่มออกจากห้องไปทันทีและบางคราวที่เหล่าชายหนุ่มค้างในห้องนั้นเช่นกัน

 

วินาทีที่นึกถึงตอนนั้นได้ ราธบันก็แทบจะทิ้งประตูออกมาทั้งอย่างนั้น

 

โชคดีที่เขาควบคุมความขุ่นเคืองได้ก่อนจะทำเช่นนั้น เพราะเขาตระหนักได้ว่าหากตนทำแบบนั้นคนที่อยู่ที่แห่งนี้จะมองอย่างไร

 

หลังจากลองผลักประตูดูครั้งหนึ่ง เขาก็รู้ว่าประตูถูกล็อกอย่างแน่นหนาจริงๆ จากนั้นก็หมุนตัวกลับอย่างไม่ติดใจ แม้เหล่านักบวชด้านหลังจะร้องเรียกเขาแต่ราธบันก็ไม่นำมาใส่ใจ

 

ผ่านไปสักพัก เขายืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของสวน

 

ตัวอักษรสีฟ้าครามพลันปรากฏทันทีที่เขายกมือขึ้นเหนือจุดหนึ่งของผนังและทางเข้าโถงทางเดินก็เปิดเผยออกมา ราธบันเข้าไปด้านในอย่างไม่ลังเล ความมืดที่ไม่มีแสงแม้แต่จุดเดียวเข้าต้อนรับเขา

 

แม้รู้สึกเหมือนจะเสียสติแต่มุมหนึ่งในสมองของเขาก็ยังครุ่นคิดอย่างสุขุม

 

เขาย้อนนึกถึงภาพที่นักบุญหญิงเข้ามาตะครุบและน้ำตาคลอเอ่ยถามว่าเขาเกลียดตนหรือ และยังคิดถึงคำพูดของคาร์ลที่ถามว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับนักบุญหญิงหรือไม่ไปพร้อมกัน

 

ถ้าหากว่า ‘เรื่องอะไร’ ที่คาร์ลพูดถึงคือท่าทางที่ไม่เรียบร้อยของนักบุญหญิงล่ะ

 

เสียงขบฟันดังออกมาจากปากของเขาที่คลำทางท่ามกลางความมืด จากนั้นราธบันก็รู้สึกถึงความเกลียดชังที่เขามีต่อตนเองอย่างลึกซึ้ง

 

เขาคือผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแห่งวิหาร หน้าที่ของเขาคือการศรัทธาพระเจ้าและนับถือนักบุญหญิงผู้เป็นตัวแทนของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเขาจึงรู้สึกว่าตนไม่มีสิทธิพอที่จะเป็นห่วงในเรื่องของนักบุญหญิงและถึงกับรู้สึกโกรธเมื่อคิดว่าการกระทำที่นางทำกับเขาในห้องหนังสืออาจจะไม่ได้มาจากใจจริง

 

นี่เขากลายเป็นมนุษย์ที่มีความเห็นแก่ตัวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

 

แต่ถึงอย่างนั้นการก้าวเดินของเขาที่มุ่งเข้าไปด้านในกลับกำลังเร็วขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะรีบเร่ง เขาจึงมาถึงปลายทางเดินอย่างรวดเร็วกว่าแต่ก่อน ห้องที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นในสายตา เขาเดินไปบนทางเดินราวกับกำลังวิ่ง

 

“…!”

 

ชั่วขณะที่เห็นประตูห้องของนักบุญหญิงที่อยู่ปลายทางเดินจากที่ไกลๆ ราธบันก็หยุดฝีเท้าลงโดยสัญชาตญาณ หลังคอตั้งตรง ขนทั่วร่างกำลังลุกขึ้น มือจับดาบที่เอวออกมาราวกับเป็นเรื่องสมควร ผิวหนังเจ็บแสบเพราะอากาศที่พัดผ่าน

 

เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยสำหรับราธบัน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจสัมผัสได้ในวิหารหลวงแห่งนี้เป็นอันขาด

 

‘พลังเวท’

 

วิหารหลวงเป็นสถานที่แบบใดน่ะหรือ สถานที่ที่นักบุญหญิงพำนักอยู่แห่งนี้ เป็นดินแดนที่ปลอดภัยที่สุดในแผ่นดิน ดังนั้นที่นี่จึงมีพลังศักดิ์สิทธิ์ล้นหลาม พลังเวทและพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ดังนั้นปีศาจจึงทำไม่ได้กระทั่งเข้ามาใกล้รอบๆ วิหารหลวง จอมเวทที่ใช้พลังเวทเหมือนปีศาจเองก็เช่นกัน

 

ทว่าสิ่งที่เขาสัมผัสได้จากห้องของนักบุญหญิงตอนนี้คือพลังเวทอันแกร่งกล้า และเจ้าของพลังเวทที่อยู่ในห้องนั้นก็กำลังโกรธ

 

ราธบันกระโจนออกไป นั่นเป็นการกระทำที่เขาไม่มีวันทำแม้อยู่ในสงคราม เพราะควรจะเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง จนกว่าจะตรวจตรารอบข้างและเข้าใจเป้าหมายอย่างถ่องแท้ หลังจากจับดาบ เขาก็ไม่เคยลืมความระมัดระวังและความรอบคอบเลย ทว่าวินาทีที่คิดว่าภายในนั้นมีนักบุญหญิงอยู่เขาก็คิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

 

โครม!

 

แรงถีบแทนการเคาะทำให้ประตูเปิดออกพร้อมกับเสียงดัง

 

“อึก…!”

 

อากาศอุ่นๆ ที่ลอยฟุ้งเข้ามาทำให้ราธบันกัดฟัน กลิ่นเหม็นคาวเข้าโอบล้อมรอบตัวเขา มันทำให้เขานึกถึงกลิ่นในความทรงจำที่ตนได้กลิ่นตอนมาหานักบุญหญิงที่ห้องกับองค์ชายรัชทายาทเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน

 

‘หรือว่า’

 

เขานึกถึงท่าทางของนักบุญหญิงที่ยกมือขึ้นมาปกปิดร่องรอยบนคออยู่หลายครั้ง

 

‘ไอ้คนตอนนั้น…!’

 

ดวงตาของราธบันปราดไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องตามหา เพราะชายที่นั่งอยู่บนเตียงของนักบุญหญิงกำลังประสานสายตากับราธบันราวกับกำลังรออยู่แล้ว

 

“…”

 

“…”

 

ชายทั้งสองจ้องมองกันโดยมิพูดอะไรทั้งสิ้น แม้เป็นคนที่เพิ่งเคยพบกันครั้งแรก แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองกลับมีแม่น้ำแห่งความเป็นศัตรูที่ไม่ทราบความลุ่มลึกกำลังไหลหลาก

 

และอารมณ์ที่มุ่งเข้าหากันก็ระเบิดขึ้นทันที

 

แอสรันขยับมือ ราธบันหันดาบเข้าหาเขา

 

เคร้ง!

 

ดาบที่พุ่งเข้าใส่แอสรันปะทะเข้ากับประกายแสงจนเกิดเสียงดังพร้อมกับการเคลื่อนไหวที่หยุดลง เสียงแตกร้าวดังขึ้นพร้อมกับกระจกหลายบานที่แตกจากแรงกระแทกของพลังที่ระเบิดออกมาจากการปะทะกันของคนทั้งสอง

 

“…!”

 

“…!”

 

ทั้งสองไม่เก็บซ่อนความประหลาดใจ ราธบันไม่อยากเชื่อว่าดาบของตนถูกสกัดไว้ได้ด้วยพลังเวท แอสรันไม่อยากเชื่อว่ามีคนที่สามารถสกัดกั้นพลังเวทของเขาได้

 

ไม่มีการสอบถามข้อมูลของอีกฝ่ายแต่แรกเริ่ม การโจมตีที่บรรจุไปด้วยเจตนาที่จะฆ่าทิ้งจากใจจริงต้องมาล้มเหลวลงอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยกับทั้งคู่

 

ราธบันออกแรงที่มือที่รู้สึกชาพลางพิจารณาชายหนุ่ม เส้นผมสีแดงที่ยาวลงมาถึงไหล่ ดวงตาสีแดงที่กำลังจ้องเขาเขม็ง สีของดวงตาที่มนุษย์ไม่มีวันครอบครองกำลังเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธที่มีต่อตน

 

ของแบบนี้เข้ามาด้านในวิหารหลวงได้อย่างไรกันแน่?

 

ไม่มีทางเข้ามาคนเดียวตามอำเภอใจได้ คงต้องมีใครบางคนในวิหารหลวงพามันเข้ามา

 

“…พอได้เห็นก็รู้แล้ว”

 

ผู้ที่เป็นคนทำลายความเงียบที่ดูเหมือนจะมีต่อไปคือแอสรัน

 

“เจ้าคงเป็นสุนัขที่บังอาจสัมผัสปากของเจ้าของ”

 

คำพูดนั้นทำให้ราธบันผงะเบาๆ เพราะเขาตระหนักได้ทันทีว่าสิ่งที่แอสรันพูดคืออะไร

 

“เคยได้ยินมาบ้าง ว่าในวิหารหลวงที่สุนัขตัวหนึ่งที่มีความสามารถปรากฏตัวขึ้น เจ้าคงเป็นสุนัขล่าเนื้อตัวนั้น”

 

แม้จะจำชื่อของราธบันได้ แต่แอสรันก็ยังคงเรียกราธบันว่าสุนัขต่อไป

 

เขาย้อนนึกถึงกลิ่นของสุนัขตัวนั้นที่หลงเหลืออยู่บนปากของนักบุญหญิง

 

ดูจากท่าทางของนักบุญหญิงที่ต้องการชายหนุ่มราวกับติดสัด นางจะต้องดึงสุนัขตัวนั้นที่อยู่ใกล้ๆ มาเป็นแน่ แต่ก็หยุดแค่นั้น นักบุญหญิงมิได้ยอมให้เจ้าสุนัขตัวนั้นทำอะไรไปมากกว่านี้ ความจริงข้อนั้นทำให้แอสรันพึงพอใจและรู้สึกหงุดหงิดไปพร้อมกัน

 

หากดูจากสภาพของนาง อันที่จริงควรจะต้องมัวเมามันจนสุดเหวี่ยง แต่นางกลับไม่ทำไปมากกว่านั้นและกลับมารอคอยตน ความเป็นไปได้มีอยู่สองอย่าง เป็นเพราะไม่อยากทำกับเจ้าสุนัขตัวนั้น…หรือไม่ก็ยอมไม่ทำเพราะคิดกับสุนัขตัวนั้นเป็นพิเศษ

 

ดวงตาของแอสรันพินิจพิจารณาราธบัน บนริมฝีปากที่เม้มเกร็งยังมีรอยฟันเล็กๆ อยู่ ไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนทิ้งรอยนั่นไว้ มุมปากของแอสรันบิดเบี้ยว เขายื่นมือไปพับผ้าห่มที่คลุมอยู่ด้านข้างตนขึ้น

 

ทันใดนั้น ภาพของนักบุญหญิงที่นอนหลับอยู่ใต้นั้นราวกับไร้สติพลันปรากฏ

 

แม้จะมองอีกครั้งก็ยังเป็นภาพที่ถูกใจเสียจริง ภาพที่นางกำลังพักผ่อนอยู่ข้างกายเขาด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยร่องรอยของตน

 

แอสรันยืดแขนไปโอบเอวนางมาอยู่ในอ้อมอก ช่วงเอวขาวที่ไม่มีอะไรปกปิดไว้เลยเต็มไปด้วยรอยฟันที่แอสรันทำทิ้งไว้เข้ามาในตาของราธบันจนทำให้หน้ามืด

 

“…เจ้า”

 

ชั่วพริบตาที่ได้ยินเสียงแหบต่ำของราธบัน แอสรันจุมพิตลงบนหน้าผากของนักบุญหญิงที่ยังคงหลับตาอยู่

 

แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่ แต่เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่านักบุญหญิงมัวเมากับเจ้าสุนัขตัวนั้นด้วยความรู้สึกเช่นไร แต่สิ่งที่มั่นใจคือนางอยู่ในอ้อมกอดของเขา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว มองดูท่าทางที่กำลังจ้องตนเขม็งแล้ว เจ้าสุนัขตัวนั้นคงไม่รู้แน่ว่านางรับตัวผู้เข้าไปด้วยใบหน้าแบบไหน ด้วยน้ำเสียงแบบไหน

 

มือของแอสรับจับเอวของนักบุญหญิงดึงเข้ามาอย่างแรง สัมผัสของหน้าอกขาวนวลที่กดบนผิวสีเข้มของเขาทำให้แอสรันรู้สึกได้ว่าส่วนล่างกำลังแข็งตัวอีกครั้ง

 

‘พากลับไปแบบนี้เลยดีไหม’

 

หากทำแบบนั้นก็คงไม่ต้องเห็นเจ้าสุนัขล่าเนื้อที่น่ารำคาญนั่นวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เมื่อคิดถึงภาพที่นักบุญหญิงกลับไปเกาะของเหล่าจอมเวทแล้วอยู่ในที่พักของเขา รอคอยเพียงแต่เขาทั้งวัน มองแค่เขา อยู่แต่ในอ้อมกอดเขา ความพึงพอใจที่มากล้นจนทำให้มือสั่นก็เข้าโอบล้อมรอบแอสรัน

 

ขณะที่แอสรันดึงนักบุญหญิงเข้ามากอดแบบนั้น ราธบันเอ่ยถามขึ้น

 

“เจ้าเป็นใคร”

 

ก่อนที่จะฆ่าอีกฝ่าย อัศวินแห่งวิหารจะถามชื่อเป้าหมาย เพราะจะสามารถสวดไถ่บาปให้ได้หลังจากฆ่าตายแล้ว

 

“แอสรัน”

 

“…เคยได้ยินมาบ้าง ไอ้คนที่ถูกเรียกว่าเป็นจักรพรรดิของเหล่าจอมเวท มีชื่อแบบนั้นสินะ”

 

ราธบันจับดาบอีกครั้ง คราวหน้าไอ้เจ้านั่นจะต้องตาย อาจเป็นเพราะตระหนักถึงความคิดนั่นได้ แอสรันจึงยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเริ่มเตรียมพลังเวทกลางอากาศเช่นกัน

 

ในตอนนั้นเอง

 

 “ฮึก…”

 

เสียงเล็กๆ หลุดออกมาจากปากของนักบุญหญิงที่ถูกกอดอยู่ในอ้อมแขนของแอสรันราวกับตายไปแล้ว เสียงนั่นทำให้สายตาของทั้งสองคนหันไปทางนักบุญหญิงทันที

 

เสียงที่ทำให้คิดว่าเป็นเพียงเสียงร้องครางสั้นๆ ในคราแรกกลับยังคงดังขึ้นต่อไป แอสรันจ้องมองนักบุญหญิงในอ้อมแขนของตนโดยที่ไม่รู้เลยว่าราธบันเข้ามาใกล้ ขนตาใต้ดวงตาที่ปิดสนิทกำลังเปียกชื้น

 

แหมะไม่ช้าหยดน้ำตาใสที่ไหลมาตามพวงแก้มก็ร่วงหล่นลงบนผ้าปูเตียง

 

การสะอื้นเบากลายเป็นร้องไห้ในไม่ช้า แม้จะไม่หนักหน่วงแต่เสียงร้องไห้ที่เปี่ยมไปด้วยความรันทดใจก็ทำให้แอสรันและราธบันต่างก็ทำได้เพียงมองไปที่นางโดยไม่อาจทำอะไรได้เลย

 

***

 

“ยินดีต้อนรับกลับ ท่านนักบวชคาร์ล”

 

ทันทีที่เข้าประตูใหญ่ของวิหารหลวง เหล่านักบวชที่รอคาร์ลก็มารวมตัวและเอ่ยทักทายอย่างยินดี คาร์ลทักทายและกล่าวขอบคุณแก่พวกเขาทีละคน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นชั่วครู่ สายตาของคาร์ลมุ่งยังไปที่พักของนักบุญหญิงที่อยู่ไกลออกไป

 

“นั่นสิ…”

 

ใบหน้าของคาร์ลมีรอยยิ้มนุ่มนวล

 

“ข้าเองก็ดีใจมากเช่นกันที่ได้กลับมาเจอท่านเช่นนี้”

 

คำพูดของเขาที่หันไปหาที่ไกลๆ หายไปพร้อมกับสายลม

 

***

 

ฉันลืมตาขึ้น

 

กะพริบซ้ำๆ อยู่หลายครั้งก็ตระหนักได้ว่าเบื้องหน้าคือความมืดที่คุ้นเคย

 

“เฮ้อ…”

 

แต่ถึงจะคุ้นเคยแต่ก็ใช่ว่าจะยินดี ฉันจึงถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

‘นี่ครั้งที่สามแล้วหรือเปล่า?’

 

ความมืดนี่อยู่ในจิตสำนึกของอีเบลลีน่า สถานที่ที่นางจะพาฉันมาเมื่อเรียกหาฉัน ฉันยิ้มเย้ยหยันและปิดตาลงอีกครั้ง รอคอยเสียงของอีเบลลีน่าที่จะเรียกหา แต่ทว่ารออยู่สักพักแล้วก็ยังไม่ได้ยินของอีเบลลีน่าเลย ทั้งยังไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของใครทั้งสิ้น

 

ฉันลืมตาขึ้นเล็กน้อยแล้วกวาดตามองรอบข้าง ยังคงมีแต่ความมืดมิด ไม่เห็นตัวของอีเบลลีน่าที่ไหน

 

‘ไม่น่าเป็นแบบนี้นี่’

 

อีเบลลีน่าไม่ได้เรียกฉันมาหรอกเหรอ?

 

‘แต่ถึงอย่างนั้น….’

 

ฉันคิดว่าที่นี่อยู่ภายในจิตสำนึกของอีเบลลีน่า ดังนั้นจึงคิดว่านางสามารถดึงฉันมาได้ตามใจ แต่นี่ฉันกลับเข้ามาในนี้ได้ทั้งที่นางไม่ได้เรียกหาด้วยซ้ำ

 

ต้องขอบคุณที่อีเบลลีน่าไม่ได้อยู่ที่นี่ เลยทำให้ฉันได้จ้องมองที่แห่งนี้ได้อย่างเยือกเย็นเป็นครั้งแรก อาจเพราะอยู่ในจิตสำนึกจึงไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิใดๆ เลย เมื่อจ้องมองพื้นที่ซึ่งไม่มีอะไรเลยอยู่สักพัก ความทรงจำที่หลงลืมไปชั่วขณะก็หวนกลับคืนมา เป็นเรื่องราวก่อนที่ฉันจะสลบไป

 

“อา…”

 

เสียงร้องสั้นๆ ดังขึ้นพร้อมกันมือเลื่อนไปทางหน้าท้องโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่ฉันจำได้เป็นเรื่องสุดท้ายคือภาพของแอสรันที่ดูเหมือนกำลังโกรธ สัมผัสที่น้ำกามหลั่งออกมาไม่หยุดและส่วนนั้นของเขาที่สอดใส่อยู่ในส่วนล่าง คงเพราะอยู่ในจิตสำนึก บนร่างกายถึงได้ไม่มีร่องรอยพวกนั้นหลงเหลืออยู่

 

‘แต่คิดดูแล้ว…’

 

ฉันจ้องมองมือของตนเอง ตอนที่เข้ามาในความมืดนี้เป็นครั้งแรก ฉันมาด้วยร่างกายเดิมของฉันที่อ่อนแอจากโรคต่างๆ และในครั้งที่สองที่เข้ามา มือที่ฉันเห็นเป็นครั้งสุดท้ายขณะที่ตื่นขึ้นมาราวกับถูกผลักออก…

 

“เห็นได้ชัดว่า…”

 

ผิวขาวที่เกลี้ยงเกลาซึ่งไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อยเข้ามาในสายตา เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ร่างกายนี้คือร่างกายของอีเบลลีน่า บัดนี้ฉันคงกลมกลืนกับร่างของอีเบลลีน่าอย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่รู้เพราะอะไรความจริงที่ว่าฉันยังอยู่ในร่างของนางแม้กระทั่งในจิตสำนึกของนางถึงทำให้ฉันรู้สึกผิดปกติ

 

หลังจากลูบคลำมือ ฉันก็ยกชายเสื้อขึ้นเล็กน้อย รอยทรงกลมสามรอยยังคงอยู่ที่นั่นเช่นเดิม แม้ลองยื่นมือไปกดรอยพวกนั้น แต่โชคดีที่ตอนนี้ไม่เกิดความรู้สึกอะไรขึ้น

 

‘ต้องเป็นเพราะรอยนี้แน่’

 

ความใคร่ที่ไม่อาจอดกลั้นซึ่งเข้ายึดครองจิตสำนึกโดยสมบูรณ์อย่างกะทันหัน มันจะต้องเริ่มต้นขึ้นจากรอยพวกนี้เป็นแน่

 

‘อีเบลลีน่าถึงได้ขอให้ลบมันออกไป’

 

เรื่องราวต่างๆ ที่อีเบลลีน่าเคยทำจนถึงตอนนี้แวบผ่านในหัว ในความทรงจำของอีเบลลีน่าที่ฉันเห็น ฉันไม่เข้าใจเลยว่า ‘ทำไม’ นางถึงต้องพาเหล่าชายหนุ่มมาเช่นนั้น นางเสพสุขกับเหล่าชายหนุ่มถึงเพียงนั้นทั้งที่ไร้ความรักใคร่ ในบรรดาชายหนุ่มพวกนั้นไม่มีเลยสักคนที่ได้สนทนาเป็นการส่วนตัวกับอีเบลลีน่า กระทั่งการกินข้าวก็ยังไม่มีสักคนที่ได้ทำร่วมกับนาง หลังจากกอดครั้งแล้วครั้งเล่า นางเพียงมอบค่าตอบแทนที่พอเหมาะพอดีให้เท่านั้น

 

‘หรือว่าที่อีเบลลีน่าต้องใช้เวลายามค่ำคืนแบบนั้นกับเหล่าชายหนุ่มเป็นเพราะรอยนี่?’

 

คำถามยิ่งมากขึ้นหากเป็นเช่นนั้น

 

‘แอสรันเคยบอกเอาไว้’

 

เขาบอกว่านี่เป็นคาถาในสมัยโบราณกาล และตราบใดที่ฉันไม่เห็นชอบด้วยก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้ขณะที่ของสิ่งนี้กำลังสลักขึ้นบนร่าง เขาบอกให้ฉันรีบบอกเขาทันทีหากจำได้แม้เพียงสักนิดว่ารอยพวกนี้มาอยู่บนร่างได้อย่างไร

 

‘ไม่มีใครสามารถทำอันตรายแก่นักบุญหญิงได้’

 

แม้ตอนนี้ฉันเองก็สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ในการป้องกันตนเองได้ระดับหนึ่ง แต่สำหรับอีเบลลีน่าแล้วมันคงเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งกว่า ไม่มีใครคนไหนที่สามารถบีบบังคับอะไรนางได้ อีกทั้งจากคำอธิบายของแอสรัน รอยพวกนี้ไม่ใช่รอยที่จะเสร็จสมบูรณ์ในวันสองวัน

 

ดังนั้นรอยนี่จะต้องได้รับการยินยอมจากอีเบลลีน่าและถูกสลักขึ้น แต่ทว่าตอนนี้อีเบลลีน่ากำลังพยายามที่จะกำจัดมัน

 

‘ไม่สามารถเห็นความทรงจำเกี่ยวกับมันได้สักหน่อยเลยเหรอ?’

 

ไม่จำเป็นต้องเป็นความทรงจำที่เกี่ยวกับรอยพวกนี้โดยตรงก็ได้ หากได้เข้าใกล้ความทรงจำที่นางแอบซ่อนเอาไว้สักหน่อยก็คงจะดี

 

ขณะที่กำลังคิดแบบนั้น

 

“เอ๋?”