“ถึงว่า ที่แท้ก็ภาควิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงนี่เอง” จิ่งเหวินพยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของฉินซิวเฉิน เธอผงกหัวพูดยิ้มๆ ว่า “ฉันก็ว่าแล้วเชียวทำไมเธอถึงรู้ว่าคำตอบผิด ทั้งที่ไม่ได้อ่านโจทย์มากมายเลยด้วยซ้ำ…”
ขณะที่พูด จู่ๆ เสียงของจิ่งเหวินก็หายไป เธอจ้องฉินซิวเฉินอยู่อย่างนั้น คำพูดด้านหลังหยุดชะงักกะทันหัน พูดอะไรไม่ออกเลย
ผู้กำกับที่กำลังชูป้ายกับทีมงานในกองถ่ายต่างก็มองจิ่งเหวินไม่วางตา…
เธอพูดว่า ‘ที่แท้ก็ภาควิชาฟิสิกส์มหาวิทยาลัยเมืองหลวง’ ออกมาหน้าตาเฉยแบบนี้ได้อย่างไร!
กองถ่ายตกอยู่ในความเงียบทันที
ผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อจิ่งเหวินได้สติ เธอก็ชี้ฉินซิวเฉิน “ภาควิชาฟิสิกส์…มหาวิทยาลัยเมืองหลวง?”
ตอนนี้นักศึกษาภาควิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงมีหน้าตาเหมือนนักศึกษาภาคศิลปะกันแล้วเหรอ!
“ใช่แล้ว” ฉินซิวเฉินเบนสายตา รับเสื้อกันหนาวที่จิ่งเหวินยื่นมา เอ่ยเสียงเรียบว่า “แถมเธอยังเป็นเด็กที่เพิ่งสอบเข้ามหา’ลัยปีนี้อีกด้วย อาจเป็นเพราะเพิ่งสอบเสร็จ และเรียนฟิสิกส์พอดี สมองเลยใช้งานได้ดีกว่าคนทั่วไปนิดหน่อย”
ในกองถ่ายล้วนมีแต่คนในวงการบันเทิง ไม่มีใครที่จบจากภาควิชาฟิสิกส์ หลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จใครจะจำเรื่องความต่างศักย์ไฟฟ้า ใครจะจำเรื่องความเร็ววงโคจรของดาวเทียมโลกได้กัน
และไม่มีใครคิดว่า โจทย์ที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ตจะผิดได้
คุณออกโจทย์ผิดแล้วยังแก้โจทย์ต่อไปได้ด้วยเหรอ
อาจารย์ฟิสิกส์มัธยมปลายที่เพิ่งคอลวิดีโอกับผู้กำกับเมื่อครู่นี้ใช้เวลาในการแก้โจทย์หลายนาที ทีมงานในกองถ่ายก็เอะใจแล้วว่า ฉินหร่านตอบสนองไวขนาดนี้ทั้งที่ไม่ได้หยิบปากกาเลยด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ ฉินหร่านเป็นนักศึกษาภาควิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง ทุกอย่างก็กระจ่างแล้ว
ลำพังแค่มหาวิทยาลัยเมืองหลวง ก็ทำให้คนในวงการบันเทิงกว่า 99% ชื่นชมแล้ว นับประสาอะไรกับนักศึกษาภาควิชาฟิสิกส์ สี่คณะใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยเมืองหลวง สาขานี้มีคะแนนสูงจนโด่งดังไปทั่วประเทศ แต่ละปีจะรับนักศึกษาแค่น้อยนิด ถ้าลองสุ่มคนในนั้นออกมาคนหนึ่ง หากไม่ใช่อันดับหนึ่งของที่ไหนสักที่ ก็คงเป็นอันดับที่สอง
เป็นสถานที่ที่อันดับหนึ่งเดินกันให้ควั่ก สุ่มหาอันดับสองได้ตามใจชอบ
ทำโจทย์ฟิสิกส์ตรงหน้าเธอ…
เป็นการขายหน้าประชาชีเสียล่ะมั้ง
“ฉินซิวเฉิน พอได้แล้ว เก็บท่าทางกระหยิ่มใจของเธอไปเลยนะ!” จิ่งเหวินสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็อดมองฉินหร่านอีกไม่ได้ เธอมองไม่ออกเลยจริงๆ
เดินวนรอบฉินหร่านอีกหลายรอบ
ตอนแรกคิดว่าฉินหร่านเป็นนักแสดง ใครจะคิดว่าเธอจะเป็นเด็กเทพตัวจริงกันล่ะ
น้องชายของจิ่งเหวินก็มองฉินหร่านอึ้งๆ
ส่วนไป๋เทียนเทียนยืนอยู่อีกมุม พยายามรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ เมื่อเห็นตากล้องของตัวเองก็เผลอถ่ายฉินหร่าน ในที่สุดเธอก็รักษาสีหน้าที่เรียบเฉยมาตลอดของเธอไว้ไม่ได้
เรื่องที่ทีมงานให้คำตอบกับไป๋เทียนเทียน มีแค่ผู้ช่วยผู้กำกับและอีกไม่กี่คนที่ทราบ ช่างกล้องที่ตามถ่ายและทีมงานภายในไม่มีใครรู้
ตอนนี้ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อแบบนี้ ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ต่างก็รู้กันหมดแล้ว
ใครจะรู้ว่าจะมาแกล้งสวมบทบาทเป็นเด็กเทพต่อหน้าเด็กเทพตัวจริง คราวนี้พังจริงๆ แล้ว…
สายตาของช่างกล้องที่ตามถ่ายไป๋เทียนเทียนไม่ได้นับถือชื่นชมเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ใช่ว่าไป๋เทียนเทียนจะไม่สังเกตเห็นแววตาของทีมงานทุกคน เธอไม่มีอารมณ์จะอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว ทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาเดินไปข้างหน้า ไม่กล้าหยุดแม้แต่ก้าวเดียว ใบหน้าที่ก้มต่ำแดงก่ำ เมื่อเห็นน้องชายของจิ่งเหวินกำลังมองตนด้วยสายตาเคลือบแคลง เธอก็ก้มหัวทันที “เรารีบขึ้นเขากันเถอะ”
รายการยังต้องถ่ายต่อไป ส่วนเรื่องโจทย์ฟิสิกส์ คงต้องถ่ายทำทีหลังแล้ว
หัวหน้าผู้กำกับรายการอดหาโอกาสถามผู้จัดการของฉินซิวเฉินที่ขลุกตัวอยู่กับกลุ่มคนไม่ได้ว่า “เมื่อคืนทำไมคุณไม่บอกผมว่าหลานสาวของซุปตาร์ฉินเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเมืองหลวง”
หากว่าเขารู้ คงไม่ลังเลนานขนาดนี้ ไหนเล่าจะกล้าออกโจทย์ฟิสิกส์ต่อหน้าเธอ
ผู้จัดการมองผู้กำกับด้วยสายแปลกๆ แวบหนึ่ง “ฉันกังวลว่าเธอจะทำผิดพลาดในรายการด้วยซ้ำ ทำไมเรื่องเล็กๆ แบบนี้ต้องบอกคุณโดยเฉพาะด้วยล่ะ”
ผู้กำกับและคนรอบข้าง “…”
ให้ตายสิ
ผู้กำกับจากไปด้วยความโมโห!
…
ระหว่างการถ่ายทำ จู่ๆ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าผู้กำกับก็ดังขึ้นมา
“ฮัลโหล” เขาถือโทรศัพท์มือถือไว้ เป็นสายจากเบื้องบนของบริษัท เขาจึงรีบพูดอย่างนอบน้อมทันที
ภายในสาย เสียงของเบื้องบนกระชับและหยาบคาย “มีบิ๊กบอสคนหนึ่งจะขอดูจอมอนิเตอร์ด้วย”
ผู้กำกับชะงัก “บิ๊กบอสคนไหน”
ตั้งแต่ฉายรายการมาไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนเลย
“ประธานเจียงโทรหากำชับเป็นพิเศษ คุณทำให้ดีก็พอ”
คำพูดของเบื้องบนคลุมเครือ แต่ผู้กำกับกลับเข้าใจว่า คงจะเป็นบิ๊กบอสที่เปิดเผยไม่ได้แม้แต่ชื่อ เขาจึงรีบสั่งการลงไป จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสรรพอย่างรอบคอบ
…
ทางด้านกองถ่าย
“ทีมงานใจดีขนาดนี้เลยเหรอ” นิ้วของฉินซิวเฉินกดการ์ดภารกิจ พลางจ้องวิลล่าที่งามวิจิตรตรงหน้า
เพราะการ์ดภารกิจในมือจิ่งเหวินมีเพียงประโยคเดียว…
‘ลำบากทุกคนเสียแล้ว กรุณาไปทานมื้อเที่ยงอันโอชะที่คฤหาสน์บนยอดเขา’
ตอนแรกต่างก็คิดว่าจะต้องเสียเวลาหาคฤหาสน์บนยอดเขานานมาก ใครจะรู้ว่าเมื่อเดินเลียบขึ้นไปตามทางเดินก็เห็นคฤหาสน์บนยอดเขา มื้อเที่ยงในคฤหาสน์ก็จัดวางอยู่หลังประตูใหญ่นั่นแหละ
บนโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีอาหารเลิศรสวางเรียงราย
ซ้ำยังมีเสียงดนตรีจากไวโอลินดังก้องห้องโถงอีกด้วย
วนเวียนไปมาแค่สองเพลง
จิ่งเหวินนั่งลงตรงมุมหนึ่ง จากนั้นยกมือเรียกให้ฉินหร่านนั่งลงข้างๆ เธอ
สุดท้ายจิ่งเหวินนั่งตรงกลาง ฉินหร่านกับไป๋เทียนเทียนนั่งขนาบข้างเธอ ตรงข้ามทั้งสามคนคือสมาชิกของแต่ละทีม
“ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฉันรู้สึกถึงความไม่ปกติของอาหารมื้อนี้…” จิ่งเหวินมีทักษะทางวาไรตี้ที่ดีมาก สร้างบรรยากาศบนโต๊ะอาหารตลอดเวลา
ฉินซิวเฉินไม่สนใจเธอ แค่เอ่ยถามฉินหร่านที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่า “เธอกินได้ปกติไหม”
ฉินหร่านถือตะเกียบ ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “ปกติดี”
จิ่งเหวินลูบหน้า แสดงสีหน้าเจ็บปวดกับกล้อง “เพื่อนเก่าของฉันเปลี่ยนไปหลังมีหลานสาว เมื่อก่อนเขาไม่ทำกับฉันแบบนี้”
น้องชายที่อยู่ตรงข้ามชะงัก “พี่ มีตอนไหนบ้างที่ไอดอลผมไม่ทำแบบนี้กับพี่ เมื่อก่อนเขาก็ทำแบบนี้เหมือนกัน”
จิ่งเหวิน “…”
ไป๋เทียนเทียนไม่ปริปากพูดอะไรระหว่างกินข้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กลับกันเป็นจิ่งเหวินที่จะชวนเธอร่วมวงสนทนาอยู่หลายครั้ง
ข้าวมื้อนี้ใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมง ทุกคนต่างก็วางตะเกียบลง
น้องชายของจิ่งเหวินเงยหน้าเล็กน้อย “ทำไมทีมงานยังไม่ทำอะไรอีก…”
เขาเพิ่งพูดประโยคนี้เสร็จ พลันเสียงโทรโข่งของทีมงานก็ดังขึ้นภายในห้องโถง “ขณะที่ผู้เล่นกินข้าวอยู่นั้น เจ้าของคฤหาสน์กลับมาแล้ว โชคไม่ดีที่พวกคุณแอบรับประทานอาหารของเจ้าของโดยพลการ เจ้าของคฤหาสน์จึงขังพวกคุณไว้ในคฤหาสน์ ผู้เล่นต้องหนีออกจากห้องลับภายในครึ่งชั่วโมง ไม่อย่างนั้นจะได้รับการลงโทษขั้นสูงสุด ทีมงานรอพวกคุณอยู่ข้างนอกนะ…”
เมื่อสิ้นเสียงของทีมงาน ทุกคนถึงได้รู้ตัวว่าประตูปิดไปนานแล้ว
พรึ่บ…
ไฟเหนือศีรษะที่สว่างที่สุดก็ดับลง เหลือเพียงไฟที่ค่อนข้างสลัวอยู่ไม่กี่ดวง
“หนีออกจากห้องลับเหรอ เล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ” น้องชายของจิ่งเหวินพูดอย่างตื่นเต้น เขาลุกขึ้นอย่างอยากรู้อยากลอง “งั้นเรามาเริ่มหาเบาะแสกันเถอะ!”
เขาเดินไปมองข้างประตู บานประตูเป็นระบบล็อครหัส “พวกเราต้องหารหัสหกหลัก!”
ไป๋เทียนเทียนหยิบรูบิค 6×6 ข้างตัวขึ้นมา “ข้างในนี้จะมีเบาะแสหรือเปล่า”
ดวงตาของจิ่งเหวินเป็นประกาย “ใช่ ใครเล่นรูบิคเป็นบ้าง”
“ฉันเล่นไม่เป็น” น้องชายของจิ่งเหวินกำลังหาเบาะแสจากลิ้นชักใต้โต๊ะทั้งหลาย เมื่อได้ยินประโยคนี้ ก็รีบโบกมือเป็นพัลวัน “ฉันเคยท่องสูตรรูบิค 4×4 มาบ้าง แต่ 6×6 มันเป็นของเซียน”
ฉินซิวเฉินเหลือบมองฉินหร่าน พบว่าฉินหร่านกำลังจ้องเครื่องเล่นเสียงที่บรรเลงเพลงไวโอลินอยู่
ไม่ได้สนใจทางนี้
“ฉันเล่นเป็นนิดหน่อย” ไป๋เทียนเทียนพูดอย่างเก้อเขิน
จิ่งเหวินจึงส่งรูบิคให้ไป๋เทียนเทียน “งั้นเจ้านี่ให้เป็นหน้าที่เธอ”
“ได้” ไป๋เทียนเทียนรีบเล่นรูบิคบนโต๊ะทันที เธอน่าจะเคยเรียนรูบิคมาโดยเฉพาะ เพียงครู่เดียวก็คล่องมือแล้ว
ไป๋เทียนเทียนเพิ่งสับขั้นแรกก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว น้องชายของจิ่งเหวินยืนดูอยู่ข้างๆ พักหนึ่ง อุทานขึ้นมาว่า “เล่นรูบิค 6×6 เป็นซะด้วย สุดยอดไปเลย!”
ไป๋เทียนเทียนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ยิ้มอย่างขัดเขิน “ตอนเด็กๆ ฉันค่อนข้างชอบเล่นเจ้านี่น่ะ”
บนจอมอนิเตอร์ด้านนอก ผู้กำกับจ้องฉินหร่านที่สำรวจโครงสร้างภายในห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉยผ่านกล้อง กดหูฟังถามผู้ช่วยผู้กำกับว่า “ในห้องลับมีปริศนาเกี่ยวกับฟิสิกส์ไหม”
ผู้ช่วยผู้กำกับตอบ “ไม่ต้องห่วง ไม่มีครับ รหัสเลขหกหลักเป็นด้านอื่นหมดเลย”
ผู้กำกับถึงได้โล่งอก โชคดีที่ไม่มี
ห้องลับห้องนี้ไม่ต้องการให้แขกรับเชิญผ่านไปได้แต่แรกอยู่แล้ว การลงโทษหลังจากนี้ก็เป็นจุดสำคัญเช่นกัน
เขาเพิ่งพูดประโยคนี้จบ
เขาก็ได้ยินเสียงของฉินหร่านจากวิดีโอ “ตัวเลขตัวแรกคือ 4”
เพราะสถานะสุดยอดเด็กเทพแห่งมหาวิทยาลัยเมืองหลวง ตอนนี้คนในห้องโถงต่างก็เชื่อเธอ จิ่งเหวินรีบรุดเข้ามา “เธอได้มาได้ยังไง”
มือของฉินหร่านล้วงกระเป๋า อีกข้างชี้ภาพวาดบนผนัง “นี่เป็นลําดับดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ตามระบบการนับวันของบาบิโลนแล้ว อาทิตย์ จันทร์ น้ำ ไฟ ดิน ไม้ ทอง เทียบเป็นวันอาทิตย์ถึงวันเสาร์ ใช้การหมุนรอบตัวเองของโลกคำนวณหาดาวเคราะห์ที่สอดคล้องกับกลุ่มดาวในดาราศาสตร์ เป็นวันพฤหัสบดีของระบบนับวันบาบิโลนพอดี”
ผู้กำกับมองทีมงานแวบหนึ่ง “เธอเจอง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ”
ทีมงานพูดเสียงอ่อยว่า “ผู้กำกับ…มันง่ายเหรอ”
ผู้กำกับ “…” คนทั่วไปจะนึกถึงระบบบาบิโลนกันเหรอ
คนที่ไม่เรียนภูมิศาสตร์จะดูดาวเคราะห์ทั้งหลายไม่ออกด้วยซ้ำ คำนวณหาดาวเคราะห์จากกลุ่มดาวทางดาราศาสตร์ได้ด้วยงั้นเหรอ
ผู้ช่วยผู้กำกับรีบกดหูฟังแล้วพูดว่า “ใจเย็นๆ ตัวเลขสองตัวสุดท้ายยากมาก พวกเขาต้องหาไม่เจอแน่นอน ตอนนั้นพวกคุณยังบ่นผมว่าคิดปริศนายากเกินไปอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”
ผู้กำกับฝืนพยักหน้า ยังดีที่ตัวเลขหลังๆ ยาก ไม่อย่างนั้นหากเจอ bug[1] ร่างมนุษย์ต้องบ้าจริงๆ แน่
ทีมโปรดิวเซอร์บ้าไปแล้ว
ทางด้านคนอื่นๆ ในห้องโถงของคฤหาสน์ก็เงียบไปครู่หนึ่ง จิ่งเหวินมองฉินซิวเฉินด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เด็กเทพสมัยนี้เป็นแบบนี้กันหมดเลยเหรอ”
ฉินซิวเฉินก็มองฉินหร่านด้วยความงุนงงเช่นกัน
น้ำเสียงของฉินหร่านนิ่งเฉยเป็นอย่างมาก เธอขมวดคิ้วกวาดตามองรอบๆ “หากันต่อเถอะ ยังเหลือเลขอีกห้าตัว”
ภายในสิบนาทีต่อมา ก็หาตัวเลขเจอทั้งหมดสี่ตัวแล้ว
ทีมงานคลุ้มคลั่งแล้ว
“พวกเขาคงจะไม่เจอครบทุกตัวจริงๆ หรอกนะ” ผู้กำกับกังวลใจ
ผู้ช่วยผู้กำกับยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ไม่ต้องห่วง ตัวเลขสองตัวสุดท้ายแม้แต่เทพเซียนก็ไขไม่ได้!”
“ดูสินี่อะไร” จิ่งเหวินเจอกระดาษแผ่นหนึ่งในพจนานุกรมเล่มหนา ด้านบนมีจุดเรียงราย เธอหยิบออกมาแล้วยื่นให้ฉินหร่านดู
ฉินหร่านรับมาดูแวบหนึ่ง “รหัสมอร์ส”
จิ่งเหวินรู้จักรหัสมอร์ส เมื่อได้ยินเช่นนี้ เธอก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า “มันใช่ตัวเลขหรือเปล่า”
ฉินหร่านส่ายหน้า
จิ่งเหวินห่อเหี่ยวทันที
“แต่ว่า…” ฉินหร่านฟังเสียงเพลงไวโอลินที่ถูกเปิดวนไปวนมา ก็พูดด้วยท่าทีครุ่นคิด “น่าจะเป็น 3”
“3?” จิ่งเหวินกับสมาชิกของไป๋เทียนเทียนและฉินซิวเฉินกรูเข้ามาอีกครั้ง “3 ตัวนี้ได้มาจากไหนล่ะ”
“เพลงไวโอลินสองท่อนนี้ ใช้โน้ตเพลงตัวเลขบรรทัดห้าเส้นมาแทนพยัญชนะภาษาอังกฤษ ตัวเลขที่ซ้ำกันของเพลงที่สองกับเพลงแรกแบ่งจากการจัดวางรูปแบบรหัสคือ 256 ถ้าเขียนด้วยเลขฐาน 16 ก็เป็น 100 พอดี ตามตารางรหัสมอร์สของคุณ มันตรงกับ 3”
ตัวเลขที่ซ้ำกันของเพลงที่สองและเพลงที่หนึ่งของโน้ตบรรทัดห้าเส้นคือ 256…
เลขฐาน 16…
จิ่งเหวินเงยหน้าขึ้นมองฉินหร่าน “เด็กเทพอย่างพวกเธอ…เรียนเนื้อหาพวกนี้เหรอ”
ฉินหร่านชะงัก แก้ต่างแทนอาจารย์ว่า “เปล่า เวลาเรียนอาจารย์ไม่สอนอะไรไร้สาระแบบนี้หรอก อาจารย์ของพวกเรามีความรับผิดชอบกันมาก”
จิ่งเหวินและคนอื่นๆ “…”
นี่คือไร้สาระหรอ?
ทีมงานต่างก็เงียบกริบ ผู้ช่วยผู้กำกับที่เอาแต่พูดฉอดๆ ก็เงียบลงทันที
ภายในห้องโถง ไป๋เทียนเทียนใช้เวลากว่าสิบห้านาที สุดท้ายก็สับรูบิคจนอยู่ในสภาพเดิม
รูบิค 6×6 นับเป็นรูบิคขั้นสูงที่ค่อนข้างยาก ความยากสูงกว่ารูบิค 4×4 และ 5×5 อยู่ไม่น้อยเลย
คนทั่วไปหากไม่เคยท่องสูตร แม้แต่รูบิค 4×4 ก็เล่นได้ยากมาก
เมื่อเห็นฉากนี้ น้องชายของจิ่งเหวินก็รีบเข้ามาชื่นชมทันที “สุดยอด!”
ไป๋เทียนเทียนโล่งใจสักที เหงื่อกาฬผุดเต็มแผ่นหลัง เธอคลี่กระดาษแผ่นหนึ่งในมือออก “นี่เป็นกระดาษที่หล่นออกมาหลังจากที่ฉันแก้เสร็จแล้ว”
เมื่อเธอเปิดดู ข้างในเป็นตัวอักษร ‘H’ ตัวพิมพ์ใหญ่
ไม่ใช่ตัวเลขแต่อย่างใด
หมายความว่าอย่างไร
จิ่งเหวินมอง ‘H’ ตัวนี้ จู่ๆ ก็มีความคิดอันน่ากลัวผุดขึ้นมาในสมอง “…ทีมงานคงจะไม่ได้ให้เราสับรูบิคให้เป็นตัว ‘H’ หรอกนะ เทียนเทียน เธอทำได้ไหม”
[1] Bug หมายถึงจุดบกพร่องหรือปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่ใช้กับจุดบกพร่องในโปรแกรมหรือตัวเครื่องจักร ซึ่งทำให้การทำงานไม่ถูกต้อง มีข้อผิดพลาด หรือไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ในที่นี่หมายถึงจุดบกพร่องที่ทำให้การถ่ายทำไม่ราบรื่น