ตอนที่ 631

Elixir Supplier

631 บังเอิญจริงๆ!

 

“ผมคิดถึงวันที่ผมต้องทรมานเพราะความเจ็บปวดจริงๆ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “อย่างน้อยในตอนนั้น ผมก็ยังรู้สึกว่าร่างกายเป็นของผม แต่ตอนนี้ มันราวกับว่า ผมเป็นแค่ไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้น”

 

“แต่แล้ว ที่คุณคิดแบบนั้นได้” หวังเย้าพูด

 

“หมอหวัง ตอนเที่ยงคุณว่างไหม? คุณอยู่ทานข้าวเที่ยงกับเราได้ไหมครับ?” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

“ไม่ดีกว่า ขอบคุณนะครับ ผมบอกที่บ้านไปแล้ว ว่าจะกลับไปกินข้าวด้วย” หวังเย้าพูด

 

“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นไว้คราวหน้านะครับ” เจิ้งชื่อฉงพูดในตอนที่เขาเดินไปส่งหวังเย้าที่ประตู หลังจากกลับเข้ามาด้านในเขา เขาก็ถามออกมาว่า “ลุงหวู เหว่ยจวินเป็นยังไงบ้างครับ?”

 

“ฉันยังไม่เห็นว่ามีปัญหาอะไรนะ” คุณหวูที่ตรวจดูอาการของเจิ้งเหว่ยจวินอย่างละเอียดแล้วพูดขึ้นมา

 

“หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไรนะ” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

เจิ้งเหว่ยจวินที่ใบหน้ายังคงซีดเซียว เขานอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสายตาที่พล่ามัว เขารู้สึกราวกับว่า เขากำลังลอยอยู่ท่ามกลามหมอกหนา เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ชัดเจนนอกจากแสงและเงาเท่านั้น สีสันที่สดใสและความงดงามของทิวทัศน์ล้วนถูกบดบังไปจนหมด

 

เขายังไม่ถึงกับตาบอด แต่ก็เกือบแล้ว เขาอยู่ในความฝันไร้ที่สิ้นสุดด้วยอาการเซื่องซึม บางครั้งเขาก็ฝันว่า เขาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ทุกอย่างล้วนพล่ามัวและไม่มีอะไรเลย แม้แต่เสียง เขายืนอยู่เงียบๆ ราวกับติดอยู่ในความสับสน เขาอยากมองเห็น, อยากพูด, และอยากฟัง แต่เขากลับทำไม่ได้ มันเป็นความทรมานที่เจ็บปวดสำหรับเขา

 

เจิ้งเหว่ยจวินไม่ต้องการนอนหลับอีกแล้ว บางครั้ง เขายังถึงขั้นอยากจะตายๆไปซะ การมีชีวิตอยู่ไปแบบนี้เป็นสิ่งที่ทรมานเกินไปสำหรับเขา แต่ตอนนี้ เขาตื่นขึ้นมาแล้ว เขานอนนิ่งๆและเอ่ยถามออกไปว่า “ลุงหวูครับ?”

 

“เหว่ยจวิน ลุงหวูออกไปข้างนอก แต่ลุงอยู่นี่” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

“ลุงสามเหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม

 

“ใช่ ลุงเอง” เจิ้งชื่อฉงพูด “เธอรู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า?”

 

“ไม่ครับ ผมแค่อยากจะคุยกับใครสักคนเท่านั้นเอง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด

 

“เธอจะพูดก็ได้ แต่อย่าพูดมากนักล่ะ ลุงหวูบอกเอาไว้ว่า ตอนนี้เธอต้องพักผ่อนให้มากๆ” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

“ลุงสามครับ ผมไม่ได้เห็นลุงมานานแล้ว ไม่คิดเลยว่าลุงจะอ้วนขึ้นด้วย” เจิ้งเหว่ยจวินพูด

 

“ลุงน้ำหนักขึ้นแค่ไม่กี่โลเอง” เจิ้งชื่อฉงมองดูหลานชายของเขาที่กำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก

 

“เสี่ยวรุ่ยยังซนเหมือนเดิมไหมครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม

 

“เขายังซนเหมือนเคยนั่นแหละ แต่ลุงก็ไม่ได้เจอเขามาพักหนึ่งแล้ว” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

“มันเป็นความผิดของผมเอง ที่ทำให้ลุงต้องมาอยู่แต่กับผมแบบนี้ ผมมันก็แค่คนที่กำลังจะตายเท่านั้นเอง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “ความจริง ผมไม่ได้อยากจะมีชีวิตอยู่แบบนี้เลย”

 

“เหว่ยจวิน อย่าพูดแบบนั้นสิ” เจิ้งชื่อฉงพูด

 

“ผมอยากจะมองดูโลก และดูญาติพี่น้องที่ผมรักอีกครั้ง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด

 

แกร๊ก! ประตูค่อยๆเปิดออก

 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” คุณหวูที่เดินเข้ามาในห้อง พบว่าชายหนุ่มกำลังนอนร้องไห้อยู่บนเตียง “เธอรู้สึกไม่สบายตรงไหนเหรอ?”

 

“เปล่าหรอกครับ ลุงหวู ผมแค่คิดถึงเรื่องบางอย่าง แล้วเกิดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อยน่ะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด

 

“อาการของเธอตอนนี้ เธอจะปล่อยให้อารมณ์ขึ้นๆลงๆมากไม่ได้นะ” คุณหวูพูด

 

“ลุงหวูช่วยพูดกับหมอหวังเรื่องอาการของผมได้ไหมครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม “ผมอยากจะเห็นหน้าลุงกับลุงสามเร็วๆน่ะครับ”

 

“ลุงจะลองถามเขาดูให้นะ” คุณหวูพูด

 

บ้านหลังเล็กๆในหมู่บ้านกลางเขาอีกหลังหนึ่ง ซูเสี่ยวซวีกำลังนั่งมองท้องฟ้าอยู่เงียบๆ “ท้องฟ้าที่นี่ฟ้ามากเลย!”

 

“ใช่ค่ะ มันยังสูงกว่าและกว้างกว่าที่ปักกิ่งด้วย” ชูเหลียนพูด

 

“น้าคิดว่ายังไงคะ ถ้าเราจะลองเช่าบ้านเหมือนพี่เฉินหยิง หรือจะซื้อเอาไว้หลังหนึ่งไปเลย เวลาเราว่างก็จะได้มีที่อยู่?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

คำถามทำให้ชูเหลียนรู้สึกอึดอัด “การจะซื้อบ้านที่นี่ มันไม่มีปัญหาหรอกค่ะ จะให้ฉันจัดการตอนนี้เลยก็ยังได้ แต่เรื่องจะอยู่ที่นี่ ฉันคงจะตัดสินใจไม่ได้”

 

“พอเรากลับไป หนูจะไปคุยกับคุณแม่เองค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

ชูเหลียนไปหาเฉินหยิงเพื่อปรึกษาเรื่องนี้

 

“จะซื้อบ้านที่นี่เหรอคะ?” เฉินหยิงถาม

 

“ใช่ มันเป็นความคิดของเธอน่ะ” ชูเหลียนพูด

 

“เรื่องนี้ง่ายมากค่ะ ปล่อยให้ฉันจัดการเอง” เฉินหยิงพูด

 

ตอนกลางวัน หวังเจ๋อเชิงมาที่คลินิก สีหน้าของเขาดีขึ้นกว่าครั้งก่อนมาก

 

“ขอโทษที่ต้องมารบกวนหมออีกแล้วนะ” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“มีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม เขาเห็นความกังวลฉายชัดอยู่บนใบหน้าของหวังเจ๋อเชิง ที่มุมปากของเขายังมีแผลเปื่อยจากโรคปากนกกระจอกติดอยู่ด้วย

 

“ใช่ เป็นเรื่องด่วนมากด้วย” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

เขาไม่ได้ทำงานมาหลายวันแล้ว ซึ่งหมายถึงการไม่มีรายได้เข้ามา โชคดี ที่ภรรยาของเขามีงานทำอยู่ในเมืองงานหนึ่ง ชายที่ร่างกายแข็งแรงต้องมาเลี้ยงลูกและทำความสะอาดบ้าน ในขณะที่ภรรยาของเขาต้องมากลายเป็นเสาหลักของบ้านแทน เขาไม่รู้ว่า มันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

 

“ผมขอตรวจหน่อยนะครับ” หวังเย้าตรวจดูร่างกายของเขาอย่างละเอียด “ไม่ต้องกังวลไปนะครับ”

 

“ทุกอย่างปกติดีใช่ไหม?” หวังเจ๋อเชิงถาม

 

“ให้พักอยู่ที่บ้านต่ออีกหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“เฮ้อ!” หวังเจ๋อเชิงมองมาด้วยสายตาว่างเปล่า “พอจะมี…มียาที่ทำให้ฉันดีขึ้นบ้างไหม? ฉันรอต่อไปไม่ไหวแล้ว”

 

“ไม่มีครับ แต่ตอนนี้ จิตใจของพี่กำลังมีปัญหา” หวังเย้าพูด “ผมมีหนังสืออยู่ ลองเอาไปอ่านดูนะครับ”

 

“หนังสืออะไรเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถาม

 

“รับไปสิครับ” หวังเย้าหยิบหนังสือมาจากโต๊ะและส่งให้เขาไป

 

“มันคือ…หื้ม คัมภีร์หวงจิง?” หวังเจ๋อเชิงพูด อารมณ์ของเขาไม่ค่อยดีนัก เขาคิดในใจ ใครจะไปมีเวลาอ่านคัมภีร์เต๋าที่บ้านกัน? แล้วฉันยิ่งไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้วด้วย

 

“เชื่อผมนะครับ อย่าเพิ่งรีบร้อนไปทำงานเลย” หวังเย้าพูด “ปีนี้ พี่อายุเท่าไหร่เหรอครับ?”

 

“34” หวังเจ๋อเชิงตอบ

 

“กลับบ้านไปเถอะครับ” หวังเย้าพูด

 

หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปอย่างฉับไว มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย หวังเจ๋อเชิงทำให้เพียงแค่ถอนหายใจและเดินกลับออกไป

 

ไม่นาน เฉินหยิงก็มาถึงที่คลินิก

 

“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“คุณหนูซูอยากจะซื้อบ้านที่นี่สักหลังน่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

“ซื้อบ้านเหรอครับ?” หวังเย้ารู้สึกแปลกใจ ที่มีคนคิดอยากจะซื้อบ้านในหมู่บ้านขึ้นมาอีกคนแล้ว “เอ่อ ผมจะถามดูให้นะครับ”

 

เขารู้ดีว่า การหาซื้อบ้านสักหลังไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย

 

“ขอบคุณค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

 

ปักกิ่ง…

 

“แน่ใจนะ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม

 

“เธอไปที่นั่นแน่นอนครับ” ชายคนหนึ่งพูด

 

“จริงเหรอ? ไปเพื่อแสดงความขอบคุณที่เขาช่วยชีวิตไว้หรือไงกัน?” กั๋วเจิ้งเหอจิบไวน์และมองท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอก ดวงจันทร์ดูคล้ายกับตะขออันหนึ่ง

 

 

วันต่อมา หวังเย้ามีแขกมาเยี่ยม ซึ่งมันทำให้เขาต้องประหลาดใจมาก

 

“หมอหวัง ผมขอเรียกคุณหว่าพี่หวังได้ไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม

 

“ได้สิ เอาตามที่นายชอบได้เลย” หวังเย้ายิ้ม เขานั้นมีอายุมากกว่าทายาทตระกูลกั๋วอยู่หลายปี

 

“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้นะครับ ผมจะไม่เรียกพี่ว่าหมอแล้ว นี่เป็นชาที่ผมนำมาจากหูหนานครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ถึงจะไม่ใช้ชาที่มีชื่อเสียง แต่มันรสชาติดีมากเลยล่ะครับ”

 

“ขอบคุณนะ” หวังเย้ามองกั๋วเจิ้งเหอ ที่ยิ้มแย้มราวกับแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิ “แล้วนายมาที่นี่เพราะเรื่องงานเหรอ?”

 

“ถึงจะไม่มีงาน ผมก็อยากจะมาที่นี่อยู่ดีครับ เพราะพี่คือคนที่ช่วยชีวิตของผมเอาไว้” กั๋วเจิ้งเหอพูด

 

“เลิกพูดถึงเรื่องนั้นได้แล้ว ผมได้รับเงินจากการช่วยชีวิตนายมา ก็ถือว่าเราไม่ได้ติดค้างอะไรกันอีก” หวังเย้าพูด

 

“มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด

 

“เชียนเชิงคะ” น้ำเสียงสดใสดังมาจากด้านนอก ซูเสี่ยวซวีเดินเข้ามาในคลินิกพร้อมกับรอยยิ้ม “อ้าว เจิ้งเหอก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกันเหรอเนี่ย”

 

“สวัสดี เสี่ยวซวี บังเอิญจริงๆเลยนะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด

 

“อืม บังเอิญจริงๆ” เธอตอบ

 

“ผมไม่คิดเลย ว่าเธอจะมาอยู่ที่นี่ได้” กั๋วเจิ้งเหอพูด

 

“อยู่แต่ปักกิ่งมันน่าเบื่อเกินไปน่ะ ฉันก็เลยมาเยี่ยมหมอหวังที่นี่ แล้วก็ได้ออกมาเที่ยวข้างนอกด้วย” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ผมก็แวะมาหาหมอหวังเหมือนกัน” กั๋วเจิ้งเหอพูด

 

“เจิ้งเหอ ช่วงนี้งานของคุณไม่ยุ่งเหรอ?” ซูเสี่ยวซวีถาม “ฉันได้ยินมาว่า ตอนนี้คุณเป็นรองของเขตแล้วนี่”

 

“อ้อ ไม่ใช่หรอก ผมแค่ได้รับการเสนอชื่อเท่านั้นเอง” กั๋วเจิ้งเหอพูด

 

หวังเย้าถอนหายใจ มันแน่นอนอยู่แล้ว เรื่องการเลื่อนตำแหน่งจะง่ายขึ้นมาก ถ้ามีเรื่องของความสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แม้ว่าเขาอายุยังน้อย แต่เขาก็ได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงๆได้แล้ว อนาคตของเขาสดใสไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง

 

“ไหนๆเราก็บังเอิญมาเจอกันที่นี่แล้ว งั้นเราก็ไปกินข้าวด้วยกันดีกว่า ผมเลี้ยงเอง” กั๋วเจิ้งเหอพูด

 

“ทั้งสองเป็นแขก ดังนั้น คนเลี้ยงก็ควรจะเป็นฉันสิ” หวังเย้าพูด

 

ไม่นาน ชูเหลียนก็ตามมา เธอรู้สึกประหลาดใจที่เห็นกั๋วเจิ้งเหออยู่ที่นี่ด้วย “คุณก็อยู่ที่นี่เหมือนกันเหรอคะเนี่ย คุณเจิ้งเหอ บังเอิญจริงๆ!”

 

“ครับ มันเป็นเรื่องบังเอิญมากเลยล่ะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด

 

ในตอนเที่ยง พวกเขาพากันไปที่ร้านอาหารที่ตั้งไม่ไกลจากหมู่บ้าน พวกเขานั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งพร้อมสั่งไวน์มาสองขวดและอาหารอีกหลายอย่าง

 

“โอ้โห มันอร่อยมากเลยนะครับ!” กั๋วเจิ้งเหอเอ่ยชมรสชาติอาหาร

 

“ที่นี่เป็นแค่ร้านอาหารเล็กๆในหมู่บ้านกลางเขาเท่านั้น รสชาติคงเทียบกับร้านอาหารใหญ่ๆในเมืองไม่ได้หรอก แค่อาหารของที่ร้านเป็นของสดใหม่ทุกอย่างเลยนะ” หวังเย้าพูด

 

“พี่หวัง ช่วงนี้พี่ยุ่งมากไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม

 

“ช่วงนี้ไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่” หวังเย้าพูด

 

“ด้วยฝีมือของพี่ตอนนี้ หมู่บ้านในภูเขาแบบนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะกับพรสวรรค์ของพี่เท่าไหร่นะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “พี่ควรจะไปที่เมืองใหญ่เพื่อพัฒนาฝีมือของพี่ให้ดีขึ้นไปอีก พี่สนใจอยากจะไปทำงานที่ปักกิ่งบ้างไหมครับ?”

 

“ฉันชอบอยู่ที่นี่” หวังเย้าพูด เขาให้คำตอบเดิมกับคำถามเดิมที่กั๋วเจิ้งเหอเคยถามเขามามากกว่าหนึ่งครั้ง

 

หลังมืออาหาร กั๋วเจิ้งเหอยังไม่ได้กลับไป เขายังอยู่คุยเป็นเพื่อนซูเสี่ยวซวีอีกพักหนึ่ง

 

“เธอคิดจะอยู่ที่นี่เหรอ?” เขาถาม

 

“ใช่ ฉันอยากจะอยู่ที่นี่” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ในหมู่บ้านน่ะนะ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม

 

“ใช่ บ้านที่พี่เฉินหยิงเช่าอยู่มีห้องว่างมากพอ ที่จะให้เรายืมใช้ได้” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“เอ้อ ช่วงสองสามวันนี้ ผมไม่มีอะไรทำพอดี ผมอยู่เป็นเพื่อนเธอที่นี่ได้นะ” คำพูดของกั๋วเจิ้งเหอ ได้แสดงเจตนาของเขาออกมาอย่างชัดเจน