ภาคที่ 4 ตอนที่ 11 การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของคดีจั่วอี้

มรรคาสู่สวรรค์

จิ๋งจิ่วหมุนตัวมองดูเจ้าล่าเยวี่ย มิได้กล่าวกระไร

เจ้าล่าเยวี่ยเบิ่งตาโต ยังคงมีความสงสัย

จิ๋งจิ่วกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องบางเรื่อง

มุมมองต่อสรรพสิ่งของเขายังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่เคยมีความคิดที่จะเข้าไปในโลกอันวุ่นวายเพื่อเรียนรู้ให้เกิดปัญญาตระหนักรู้ เพราะแบบนั้นมันจงใจมากเกินไป

ในช่วงเวลาเก้าวันที่อยู่ในหมู่บ้านตอนแรกสุด เขาทำสิ่งต่างๆ ก็เพื่อทำความเคยชินกับร่างกายนี้ และการที่เขาพาเจ้าล่าเยวี่ยขึ้นมาบนยอดเขาเสินม่อ ก็เป็นแค่การทำให้กรรมจากชีวิตก่อนหน้าดำเนินต่อไป

สายตาเขาละจากเจ้าล่าเยวี่ย มองไปทางหยวนฉวี่ที่กำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่กับกู้ชิง

หยวนฉวี่คือกรรมของชาตินี้ มีเพียงกู้ชิงเท่านั้นที่เดินมาอยู่ตรงหน้าเขาด้วยตัวเอง มิได้เป็นเพราะกรรมใดๆ

แน่นอนว่ายังมีปีศาจจิ้งจอกที่มาจากเมืองอิ้งเฉิงตัวนั้นอีก

บนเตาที่อยู่ริมผาวางกาเหล็กเอาไว้ ชาดำภายในกาค่อยๆ ส่งกลิ่นออกมา เสี่ยวเหอนั่งคู้อยู่หน้าเตา ผมที่เปียกชื้นเพราะเหงื่อแปะติดอยู่ตรงขมับ ท่าทางดูน่ารัก

เมื่อมองดูนาง จิ๋งจิ่วก็คิดถึงหลิ่วสือซุ่ยขึ้นมา

หลิ่วสือซุ่ยเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากชีวิตก่อนหน้านี้เหมือนอย่างเจ้าล่าเยวี่ย แล้วก็เป็นสิ่งที่เหนือไปจากความคาดหมายของเขาเหมือนอย่างเจ้าล่าเยวี่ยเช่นกัน

เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดสองคน ไม่คิดที่จะตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่ในชิงซาน กลับคิดแต่จะออกไปสืบคดี ออกไปเป็นไส้ศึก

จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจจริงๆ เด็กพวกนี้คิดอะไรกันอยู่

เจ้าล่าเยวี่ยถือได้ว่าถูกเขาดึงกลับเข้ามาสู่ทางที่ถูกต้องแล้ว มิได้ตามสืบเรื่องบรรลุเป็นเซียนให้เสียเวลาชีวิตอีก แต่หลิ่วสือซุ่ยกลับยังเดินอยู่บนเส้นทางที่ตัวเองเลือก ไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องเจอกับปัญหาอีกมากน้อยเท่าไร

ตอนนี้หลิ่วสือซุ่ยมีปัญหามากมาย

มิใช่เรื่องของยอดเขาซีไหล หากแต่เป็นเรื่องการบำเพ็ญเพียร

วิถีกระบี่ชิงซานของหลิ่วสือซุ่ยเคยถูกทำลายไปแล้ว ก่อนจะอาศัยตานปีศาจและวิชาลับของสำนักเสวี่ยหมัวถึงจะมีชีวิตใหม่ได้ แล้วหลังจากนั้นยังติดตามซีหวังซุนร่ำเรียนเพลงกระบี่ของเกาะหมอกอยู่อีกหลายปี

เหล่านี้ล้วนแต่เป็นวิชาที่ล้ำลึกที่สุดของโลก ปัญหาอยู่ที่ว่าระบบวิชาเหล่านี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เส้นทางที่แตกต่างกันของธรรมะและอธรรมไม่อาจคงอยู่พร้อมกันได้

ตอนนี้สภาวะของหลิ่วสือซุ่ยยังต่ำต้อย ยังไม่อาจรับรู้ถึงข้อเสียได้ เผลอๆ ดูแล้วเหมือนแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญพรตในระดับเดียวกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป สภาวะสูงขึ้น สุดท้ายจะต้องเกิดเรื่องอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นวิชาที่แตกต่างกันเหล่านี้จะเกิดความขัดแย้งขึ้น เส้นลมปราณเขาจะสะบั้นอีกครั้ง เผลอๆ อาจจะเสียชีวิตไปเลยก็ได้

ที่วันนั้นจิ๋งจิ่วบอกว่าหากหลิ่วสือซุ่ยไปฝึกวิชาเจตน์กระบี่หลอมกายาที่เขาอวิ๋นสิง บางทีอาจจะแก้ไขปัญหานี้ได้ นั่นเป็นเพราะเขาไม่อยากให้หลิ่วสือซุ่ยคิดมากเกินไป

หากตอนนี้สภาวะของหลิ่วสือซุ่ยต่ำกว่านี้อีกหน่อย บางทียอดเขากระบี่อาจจะช่วยเขาได้ แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว

เมื่อมองไปทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน สถานที่ที่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการบำเพ็ญเพียรให้แก่หลิ่วสือซุ่ยได้มีอยู่เพียงห้าที่

เขาอวิ๋นเมิ่งย่อมไม่มีทางให้กิเลนลงมืออย่างแน่นอน วัดไท่ฉางในเมืองเจาเกอก็มีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นต้องทำ เรือนอี้เหมาเขาก็ไม่คุ้นเคย อย่างนั้นก็เหลือแค่สองที่

ตอนนี้ฟางจิ่งเทียนใช้เรื่องจั่วอี้มาสร้างความลำบากให้ เช่นนั้นก็ใช้โอกาสนี้ส่งหลิ่วสือซุ่ยเข้าไปได้พอดี

จิ๋งจิ่วครุ่นคิดเช่นนี้ เขามองไปทางเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าว “จดหมายกระบี่ว่าอย่างไร?”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ผู้อาวุโสมั่วฉือแห่งยอดเขาเทียนกวงอยากจะเปิดประชุมยอดเขา จึงสอบถามความเห็นของแต่ละยอดเขา”

เวลาส่วนใหญ่ของผู้บำเพ็ญพรตล้วนแต่ใช้ไปกับการเก็บตัวบำเพ็ญเพียร แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยสนใจเรื่องการประชุม

การประชุมยอดเขาเป็นการประชุมที่มีระดับสูงสุดของชิงซาน เรื่องที่จะทำการประชุมย่อมต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน ปกติแล้วจะเป็นเจ้าสำนักหรือไม่ก็หยวนฉีจิงเป็นคนเรียกประชุม มักจะจัดขึ้นหลายปีครั้งหนึ่ง ผู้อาวุโสธรรมดาอย่างมั่วฉืออย่างจะเปิดประชุม จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าแห่งยอดเขาทั้งหมดก่อน นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก

เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อสามร้อยกว่าปีที่แล้ว ปีนั้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ทำศึกกับแคว้นเสวี่ยบนที่ราบหิมะหลานหลิง หลิ่วฉือพายอดฝีมือของยอดเขาทั้งเก้าไปช่วยจนหมด หมิงซือล่วงรู้ความลับบางอย่างมาจากเจวี่ยนเหลียนเหริน จึงฉวยโอกาสนี้พาลูกน้องแอบเข้ามาในชิงซานด้วยหวังจะช่วยคนผู้นั้น ผลสุดท้ายถูกนักพรตจิ่งหยางสังหารไปจำนวนนับไม่ถ้วน ภายหลังผู้อาวุโสคนหนึ่งของยอดเขาซั่งเต๋อเสนอให้เปิดประชุมยอดเขาโดยอ้างว่าเพื่อทำการสรุปเรื่องราวนี้ แต่ความจริงแล้วเป็นการแอบเล่นงานยอดเขาเทียนกวง โดยคิดอยากจะถามหาความรับผิดชอบจากหลิ่วฉือ

ครั้งนี้มั่วฉืออยากจะเรียกประชุมยอดเขา โดยอ้างว่าเพื่อพูดคุยถึงเรื่องปู้เหล่าหลิน แต่ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วต้องการพูดเรื่องหลิ่วสือซุ่ย

อย่างนั้นเป้าหมายของยอดเขาเทียนกวงคือยอดเขาซีไหล?

จิ๋งจิ่งรู้ว่ามั่วฉือเป็นคนซื่อ คนซื่อที่ไม่ค่อยโกรธต่างหากที่น่ากลัว แต่เขาไม่คิดว่าเรื่องนี้มันจะง่ายดายเช่นนี้

เรื่องของหลิ่วสือซุ่ยเป็นเรื่องเล็ก ถึงแม้จะใช้ปู้เหล่าหลินมาเป็นข้ออ้าง แต่เจ้าแห่งยอดเขาเหล่านั้นก็ไม่มีทางเห็นด้วยที่จะให้เปิดประชุมอย่างแน่นอน

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ทุกคนเห็นด้วยหมดแล้ว รวมไปถึงนักพรตกว่างหยวนที่เก็บตัวอยู่ด้วย”

ยอดเขาเสินม่ออยู่ในอันดับสุดท้าย จดหมายกระบี่ถูกส่งมาถึงมือเจ้าล่าเยวี่ย ก็แสดงว่าคนอื่นๆ ต่างลงนามกันหมดแล้ว

เรื่องนี้จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน

จิ๋งจิ่วไม่ได้รู้สึกแปลกใจ

เรื่องของหลิ่วสือซุ่ยเป็นเรื่องเล็ก แต่เมื่อมีคนเกี่ยวพันเยอะ มันก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่

มีบางคนอยากจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่

เจ้าล่าเยวี่ยพลันกล่าวขึ้นมา “มีคนกำลังสืบเรื่องจั่วอี้่ผ่านทางเจวี่ยนเหลียนเหริน”

ในตอนที่กลับมาจากที่ราบหิมะ บทสนทนาแรกที่เขาคุยกับเจ้าล่าเยวี่ยก็คือยอดเขากระบี่กับจั่วอี้สองคำนี้

พวกเขาเจอกันครั้งแรกที่ยอดเขากระบี่ คืนนั้นพวกเขาสังหารจั่วอี้

นี่เป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ นอกจากหลิ่วสือซุ่ย

แต่หลิ่วสือซุ่ยเองก็ไม่รู้รายละเอียด

จิ๋งจิ่วรู้มาตลอดว่าเจ้าล่าเยวี่ยมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ในยอดเขาทั้งเก้า

คนผู้นั้นน่าจะเป็นสายที่เมืองเจาเกอหรือราชสำนักส่งเข้ามาในชิงซาน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางไปสนใจ

“การประชุมเริ่มเมื่อไร?”

“อีกสิบวันหลังจากนี้”

“พวกเราก็ไปดูกันเถอะ”

“ได้”

……

……

เมืองเจียนลี่ในจังหวัดชีไห่นั้นมีขนาดไม่ใหญ่ มีประชากรประมาณแสนกว่าคน แต่ก็เพียงพอที่จะมีโรงหมออยู่สิบกว่าโรง

แม่น้ำที่แยกตัวออกมาจากแม่น้ำจั๋วสายหนึ่งไหลผ่านเมือง ใบไม้ร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ที่ตั้งอยู่สองริมฝั่งแม่น้ำ ดูสวยงามเป็นยิ่งนัก ใบไม้สีเหลืองกระจายเต็มพื้น มีโรงหมอที่ดูธรรมดาอยู่แห่งหนึ่ง

บนป้ายของโรงหมอไม่มีดอกไห่ถัง หากแต่เป็นใบแปะก๊วยใบหนึ่ง

ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินเข้าไปในโรงหมอ มิทันรอให้เจ้าหน้าที่ในโรงหมอเข้ามาต้อนรับ เขาก็หยิบป้ายไม้ชิ้นหนึ่งออกมาแล้วกล่าวว่า “ข้ามาเอาผล”

ป้ายไม้ทำมาจากไม้ตระกูลสน มีสีดำเมื่อม บนป้ายสลักรูปกระบี่เล็กๆ เอาไว้เล่มหนึ่ง กลิ่นอายดูมืดมนอึมครึม นี่คือป้ายกระบี่ชิงซานที่ไม่สามารถปลอมแปลงขึ้นมาได้

ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้นี้ชื่อเจี่ยนหรูซาน เป็นศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง มิรู้เพราะเหตุใดเขาจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่เมืองเจียนลี่ที่อยู่ทางเหนือได้

ผลที่เขาจะเอาย่อมมิใช่ผลการรักษา

ประตูหน้าของโรงหมอปิดลง ข่ายพลังถูกเปิดออกเพื่อตัดขาดเสียงและไอพลังไม่ให้เล็ดลอดออกไป

เจี่ยนหรูซานจ้องมองดวงตาของหมอพลางกล่าวว่า “คนผู้นั้นคือคนของพวกเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าผ่านมานานขนาดนี้ พวกเจ้ายังจะสืบไม่ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”

หมอคนนั้นหรี่ตาลงพลางกล่าว “คนที่ท่านต้องการหาได้ตายไปแล้ว”

เจี่ยนหรูซานสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “ข้าต้องการรู้ว่าทำไมเขาถึงตาย”

หมอมองดูเขาเงียบๆ “นี่เป็นเรื่องภายในของเจวี่ยนเหลียนเหริน ทำไมต้องอธิบายให้ท่านฟังด้วย?”

เจี่ยนหรูซานกล่าวถามต่อว่า “เป็นเพราะอาจารย์อาจั่วอี้ใช้เขาไปสืบใครบางคนจนเจอปัญหา เขาเลยถูกฆ่าปิดปากใช่หรือไม่?”

หมอไม่อยากจะสนใจเขาอีก จึงกล่าวว่า “หากท่านไม่มีเรื่องอื่นจะถามแล้ว เช่นนั้นก็เชิญออกไป”

เจี่ยนหรูซานกล่าวอย่างโมโหเล็กน้อยว่า “เจ้ากล้าเสียมารยาทเช่นนี้งั้นหรือ?”

หมอกล่าวอย่างเฉยชาว่า “เจวี่ยนเหลียนเหริยย่อมไม่กล้าเสียมารยาทต่อท่านอาจารย์เซียนของชิงซาน หากแต่เป็นคำขอและคำถามของท่านต่างหากที่เสียมารยาทก่อน”

ประตูหน้าโรงหมอเปิดออกอีกครั้ง

พนักงานคนนั้นเดินมาข้างกายหมอ เมื่อคิดถึงท่าทีโมโหก่อนที่จะเดินจากไปของศิษย์ชิงซานผู้นั้น จึงกล่าวถามขึ้นมาอย่างกังวลสองสามประโยค

“ชิงซานยิ่งใหญ่มาเป็นเวลานาน แต่มิใช่ว่าจะไร้เหตุผล ตอนนี้ดูเหมือนแต่ละรุ่นจะแย่ลงเรื่อยๆ จริงๆ ทว่าพวกเรามีคนอยู่ในชิงซาน ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจ”

หมอยกพู่กันขึ้นมาเริ่มเขียนอะไรบางอย่าง พลางก้มหน้าแล้วกล่าวว่า “จัดอยู่ในระดับสาม แต่ต้องส่งกลับไปยังเมืองเจาเกอให้เร็วที่สุด”

พนักงานไม่ค่อยเข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าจริงอยู่ที่ข่าวระดับสามนั้นสำคัญ เพียงแต่เหตุใดต้องรีบถึงเพียงนี้?

หมอไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ว่า ตอนนั้นฟางจิงเทียนที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลต้องการฆ่าจิ๋งจิ่ว ตอนนี้ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างยังมาสืบเรื่องของจิ๋งจิ่วอีก ความขัดแย้งภายในของชิงซานมาถึงขั้นนี้แล้วหรือนี่?

……………………………..