เนื่องเพราะเหตุผลที่ค่อนข้างเป็นความลับและมีความเกี่ยวข้องกับนิสัยของคนบางอย่าง เจี่ยนหรูอวิ๋นซึ่งเป็นศิษย์อันดับสี่ของยอดเขาเหลี่ยงว่างจึงระแวงในตัวหลิ่วสือซุ่ยมาโดยตลอด
ในอดีตยอดเขาซั่งเต๋อได้เคยสอบสวนหลิ่วสือซุ่ยถึงคดีของจั่วอี้ หลังจากนั้นสิบกว่าปีก็ถูกคนส่วนใหญ่ลืมเลือน แต่เขากลับจำได้อย่างชัดเจน
ด้วยเส้นสายภายในตระกูล เขาสืบพบว่าก่อนตายจั่วอี้เคยไปเจวี่ยนเหลียนเหริน จั่วอี้มีเพื่อนเก่าคนหนึ่งอยู่ในเจวี่ยนเหลียนเหริน ยอดเขาเสินม่อเองก็เหมือนจะเคยสืบคนผู้นั้น
นี่ยิ่งทำให้เขามั่นใจเรื่องที่เขาตัดสินใจที่จะสืบคดีนี้ต่อไป
เรื่องจากกังวลว่าในชิงซานจะมีคนช่วยยอดเขาเสินม่อปกปิดความลับ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกใคร เขาคิดที่จะทำมันด้วยตัวเอง
ร่องรอยของเขาสะดุดตามากเกินไป ดังนั้นสุดท้ายเรื่องนี้จึงกลายเป็นเจี่ยนหรูซานที่เป็นน้องชายแท้ๆ ของเขาเป็นคนจัดการ อันดับในยอดเขาเหลี่ยงว่างของเจี่ยนหรูซานค่อนข้างธรรมดา อย่างน้อยก็ไม่เป็นที่สังเกตในชิงซาน ตอนที่ออกมาก็ไม่ได้ทำให้ใครสังเกตเห็น เขาเดินทางมายังเมืองเจียนลี่ตามเบาะแสที่ตนเองมีอยู่
ถึงแม้ทางเจวี่ยนเหลียนเหรินจะไม่มีผลอะไรให้เขา แต่อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าเจวี่ยนเหลียนเหรินกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่สำหรับเขาแล้ว ข้อมูลแค่นี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เขานึกว่าตนเองคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว ในใจจึงรู้สึกตื่นเต้น ลมหายใจก็ยากที่จะควบคุมให้สงบลงได้
ที่นี่คือวัดร้างที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ด้านในมีกองไฟกำลังลุกไหม้อยู่กองหนึ่ง เขาได้ยินแต่เสียงลมหายใจของตัวเอง
ลมหายใจที่หนักอึ้งดั่งขุนเขา ทำให้เขารู้สึกว่าไหล่ทั้งสองข้างของตนเองพลอยหนักอึ้งตามไปด้วย นี่คือภาระหน้าที่ของศิษย์ชิงซาน
แสงจากกองไฟตกกระทบลงบนใบหน้าเขา วูบไหวไปมา ทำเอาสีหน้าเขายิ่งดูคร่ำเคร่ง
จิ๋งจิ่วจ้างนักฆ่ามาฆ่าคน….
ไม่ว่าจะเป็นเจี่ยนหรูอวิ๋นหรือว่าเขาก็ล้วนแต่ไม่เคยคิดเลยว่าหลิ่วสือซุ่ยจะเป็นคนสังหารจั่วอี้แห่งยอดเขาปี้หูผู้นั้น เพราะตอนนั้นหลิ่วสือซุ่ยเพิ่งจะเข้ามาในสำนักได้ไม่นาน สภาวะยังต่ำต้อย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นเขายังใสซื่อบริสุทธิ์ น่าจะพยายามปกปิดให้ใครบางคนมากกว่า ส่วนคนผู้นั้นเป็นใครนั้น….อันนี้เดาได้ไม่ยาก
พวกเขาก็ไม่คิดว่าจิ๋งจิ่วจะเป็นคนลงมือเอง เพราะตอนนั้นสภาวะของจิ๋งจิ่วก็ต่ำต้อยอย่างมากเช่นกัน ไม่มีทางที่จะสังหารจั่วอี้ที่บรรลุสภาวะขั้นมิประจักษ์ได้เลย เขาจะต้องจ้างมือสังหารมาฆ่าแน่นอน เพียงแต่เขาพามือสังหารคนนั้นเข้าไปในชิงซานได้อย่างไร จนถึงตอนนี้เจี่ยนหรูอวิ๋นและเขาก็ยังคิดไม่ออกเช่นกัน
หลังมาตรวจสอบเรื่องของทางเจวี่ยนเหลียนเหรินแล้ว ตอนนี้เขาสามารถขี่กระบี่บินกลับทางใต้ได้เลย แต่ตอนนี้หลักฐานเหล่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะควบคุมหลิ่วสือซุ่ยได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปหาสหายผู้หนึ่งในสำนักจิ้งจง เพื่อสืบตามเบาะแสนี้ต่อไป
เมื่อคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของหลิ่วสือซุ่ยและยอดเขาเสินม่อ เรื่องที่หลิ่วสือซุ่ยเข้าปู้เหล่าหลินหลังจากนั้น และเรื่องที่เขาสังหารลั่วไหวหนาน เจี่ยนหรูซานรู้สึกว่าเรื่องนี้มันซับซ้อนอย่างมาก ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว จนเขาแทบจะตาลายหน้ามืด — หากมิใช่ว่าตาลาย เหตุใดกองไฟที่อยู่ตรงหน้าถึงกลายเป็นสีฟ้าแปลกๆ ได้?
เจี่ยนหรูซานครุ่นคิดเช่นนี้ ทันใดนั้นพลันคิดถึงวิชาที่เขาได้เรียนหลังจากที่เข้าไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่างในตอนแรกสุดเหล่านั้น และรายละเอียดต่างๆ ที่เหล่าศิษย์พี่คอยใช้น้ำเสียงที่คร่ำเคร่งย้ำเตือนให้เขาต้องจดจำให้ขึ้นใจ
บนโลกมีไฟอยู่ชนิดหนึ่งที่ไม่มีสี แต่ถ้ามันเจอกับเปลวไฟจริงๆ มันจะกลายเป็นสีน้ำเงินคล้ำ!
เจี่ยนหรูซานตกตะลึงเป็นยิ่งนัก บนใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ไหนเลยจะกล้ารีรอ รีบเรียกกระบี่ออกมาด้วยหวังจะหนีไปจากที่นี่
น่าเสียดายที่ไม่ทันการเสียแล้ว เปลวไฟจากกองไฟพวยพุ่งขึ้นมา ม้วนขึ้นไปถึงหลังคา ลุกท่วมไปทั่วทั้งวัดร้าง
เปลวไฟสีน้ำเงินคล้ำเหล่านั้นดูเหมือนกำลังลุกไหม้อย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นคานไม้เก่าๆ บนหลังคาหรือว่าผ้าม่านเก่าๆ ที่อยู่ตรงหน้าพระพุทธรูปก็หาได้ลุกไหม้ไม่ มันยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนก่อน
เปลวไฟสีน้ำเงินคล้ำเหล่านั้นคล้ายไม่มีอุณหภูมิความร้อนจริงๆ
“เพลิงวิญญาณ!”
เจี่ยนหรูซานตะโกนออกมา
กระบี่บินฟันออกไปทุกทิศทุกทาง ลำแสงกระบี่สว่างเจิดจ้า!
เขามั่นใจแล้วว่าศัตรูคือมารเผ่าหมิง ในใจรู้สึกวิตกหวาดกลัวจนถึงขีดสุด
เผ่าหมิงและโลกมนุษย์อยู่อย่างสงบสุขมาสองร้อยกว่าปี น้อยครั้งนักที่จะเห็นเผ่าหมิงปรากฏตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับการต่อสู้แบบนี้
เพลิงวิญญาณไม่มีอุณหภูมิ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญพรตของแผ่นดินเฉาเทียนแล้วกลับอันตรายอย่างมาก เพราะมันสามารถปนเปื้อนและกัดกินจินตานหรือโอสถกระบี่ของผู้บำเพ็ญพรตได้
นี่ยุ่งยากมากกว่านั้นก็คือเพลิงวิญญาณไร้สีไร้กลิ่น ยากที่จะดับลงได้ เวลาผู้บำเพ็ญพรตต้องรับมือกับเพลิงวิญญาณของเผ่าหมิง ปกติจะใช้ลำแสงของอาวุธวิเศษชำระล้างมันออกไป หรือไม่ก็เสี่ยงที่จะถูกเพลิงวิญญาณปนเปื้อนเล็กน้อย ชิงเป็นฝ่ายสังหารร่างของมารเผ่าหมิงก่อน
เจี่ยนหรูซานเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาของสำนักชิงซาน ไม่มีอาวุธวิเศษ วิถีกระบี่ก็ฝึกได้ไม่สูงพอที่จะทำลายเพลิงวิญญาณ ทำได้แค่เพียงหวังว่ากระบี่บินจะสามารถฟันถูกร่างของมารเผ่าหมิงผู้นั้นได้ แต่เขารู้แล้วว่ามารเผ่าหมิงผู้นี้น่าจะเป็นเงาของยอดฝีมือบางคน ร่างจริงน่าจะอยู่ในหลุมลึกที่ไกลออกไป กระบี่บินของตนไหนเลยจะฟันถูกได้?
เจี่ยนหรูซานตะโกนอย่างสิ้นหวัง เรียกกระบี่บินให้กลับมาฟันเปลวไฟสีน้ำเงินคล้ำเหล่านั้น
เพลิงวิญญาณเมื่อเจอกับลมกระบี่ก็กระจายตัว แต่หลังจากนั้นก็ลอยกลับมาอีกครั้ง เป็นเหมือนม่านพลังสีน้ำเงินที่โปร่งแสงตกลงมาบนร่างกายของเขา
เจี่ยนหรูซานกัดฟัน นั่งลงขัดสมาธิ หลับตาลง รักษาใจแห่งเต๋าของตัวเอง ทำให้ลมกระบี่อันรุนแรงปกคลุมร่างกายของตัวเองเอาไว้ เผื่อป้องกันการกัดกินของเพลิงวิญญาณ
กระบี่บินแหวกอากาศออกไป ส่องแสงสว่างเจิดจ้าไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน นี่คือสัญญาณขอความช่วยเหลือ
ซู่ๆๆๆๆ!
ภายในวัดร้างถูกเสียงน่ากลัวเข้าปกคลุม คล้ายกับหนอนนับหมื่นๆ ตัวกำลังแทะใบไม้ แล้วก็คล้ายเหล็กที่ถูกเผาไฟจนร้อนค่อยๆ จุ่มลงไปในน้ำเย็น
เพลิงวิญญาณสีน้ำเงินคล้ำตกลงมาไม่หยุด พายุกระบี่ที่ปกคลุมร่างกายเอาไว้เบาบางลงเรื่อยๆ ดูแล้วเหมือนจะทนได้อีกไม่นาน
เจี่ยนหรูซานลืมตาขึ้น ภายในดวงตาเผยให้เห็นถึงความดิ้นรนและสิ้นหวัง
ในเวลานี้เขาเผชิญหน้ากับสองทางเลือก หนึ่งคือละทิ้งพายุกระบี่แล้วฝืนฝ่าออกไปจากวัดร้าง สองคืออดทนต่อไปแบบนี้
แต่ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกไหน สุดท้ายเขาก็ต้องตาย นอกเสียจากเขาจะฝึกร่างกระบี่แต่กำเนิดได้สำเร็จ ถึงจะมีโอกาสที่จะใช้ร่างกายตอบโต้เพลิงวิญญาณแบบตรงๆ ได้
ลังเลอยู่เพียงชั่วครู่เดียว ทุกอย่างก็ได้ข้อสรุปออกมา เพลิงวิญญาณทำลายพายุกระบี่ของเขา ก่อนจะตกลงบนเสื้อผ้าและใบหน้าของเขา จากนั้นทะลวงเข้าไปในร่างของเขา
เจี่ยนหรูซานส่งเสียงร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ยากจะรักษาใจแห่งเต๋าเอาไว้ได้อีก เพลิงวิญญาณกัดกินอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็แผดเผาเขาจนกลายเป็นควัน หลงเหลือเศษเถ้าถ่านอยู่เล็กน้อย
ลำแสงกระบี่สายหนึ่งแหวกทะลวงท้องฟ้ายามค่ำคืนมาถึงหน้าวัด นำพาความหนาวเย็นที่เสียดกระดูกมาด้วย
หิมะเล็กๆ ตกลงมาจากฟ้า กองไฟภายในวัดร้างมิได้อ่อนแรงลง หากแต่ยิ่งโหมกระหน่ำแรงขึ้น เพลิงวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่เหล่านั้นค่อยๆ จางลง จนกระทั่งหายไปจนหมด
ต้วนเหลียนเถียนเดินเข้ามาในวัดร้าง สีหน้าเคร่งเครียด
เขาเป็นผู้อาวุโสที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นขึ้นมาใหม่ของยอดเขาซั่งเต๋อ ขึ้นชื่อเรื่องความเย็นชาไร้หัวใจ ตอนนั้นเรื่องที่หลิ่วสือซุ่ยแอบกินตานปีศาจและฝึกวิชาลับของพรรคมาร ก็เป็นเขาที่เป็นคนสอบสวน
แล้วก็เป็นเพราะการสืบสวนครั้งนั้น ทำให้เขาพบว่าหลิ่วสือซุ่ยมีความเกี่ยวข้องกับการตายของจั่วอี้แห่งยอดเขาปี้หู
ช่วงนี้ในยอดเขาทั้งเก้ามีข่าวลือบางอย่าง ต้วนเหลียนเถียนคิดถึงคดีนี้ที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว จึงรื้อคดีขึ้นมาใหม่ สืบหาจนพบเบาะแสบางอย่างเหมือนเจี่ยนหรูอวิ๋น
พูดให้ถูกกว่านั้นก็คือเขาสืบจนรู้แล้วว่าเพื่อนเก่าของจั่วอี้ผู้นั้นเคยเป็นเจวี่ยนเหลียนเหรินในเมืองเจียนลี่
วันนี้เขามาถึงเมืองเจียนลี่ แต่กลับพบว่ามีคนชิงตัดหน้าตัวเองไป
ในขณะที่กำลังระแวดระวังและสงสัย เขาพลันมองเห็นลำแสงกระบี่สายหนึ่งอยู่ทางด้านนอกเมือง
ลำแสงกระบี่สายนั้นสว่างเจิดจ้า ส่องสว่างท้องฟ้ายามค่ำคืนไปแถบหนึ่ง
นั่นคือสัญญาณของความช่วยเหลือของศิษย์ชิงซาน!
ต้วนเหลียนเถียนไม่ลังเล ใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดรุดไปนอกเมืองจนมาเจอวัดร้างแห่งนี้ แต่กลับพบว่าที่นี่ไม่มีอะไรอยู่เลย นอกจากกองไฟเพียงกองเดียว
มีกองไฟก็หมายความว่ามีคน อย่างนั้นคนหายไปไหน? กำแพงและเสาคานภายในวัดพังทลาย มีคนต่อสู้กันที่นี่อย่างนั้นหรือ?
ต้วนเหลียนเถียนหยิบเอาคันฉ่องขึ้นมาบานหนึ่ง ส่องไปรอบๆ วัดร้าง
คันฉ่องนี้มีชื่อว่าคันฉ่องเรืองรอง มาจากฝีมือช่างใหญ่ของจิ้งจง เจวี่ยนเหลียนเหรินของทุกเมืองจะมีอยู่บานหนึ่ง
เนื่องเพราะผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์ของยอดเขาซั่งเต๋อต้องใช้ในการสืบสวน พวกเขาจึงมักจะพกติดตัวเอาไว้เช่นกัน
เมื่อมองดูภาพเลือนรางที่สะท้อนออกมาจากคันฉ่องเหล่านั้น ต้วนเหลียนเถียนตกตะลึงเป็นอย่างมาก สีหน้าแปลเปลี่ยนเป็นดูแย่
มารเผ่าหมิง!
ในตอนที่เขาเตรียมจะสืบหาร่องรอยและเบาะแสเพิ่มเติม บนท้องฟ้าพลันมีหิมะตกลงมาอีก
หิมะที่ตกลงมาในเวลานี้ ตกลงมาหนักกว่าหิมะตอนที่เขาขี่กระบี่มาถึง
ลำแสงกระบี่หายไป ฉือเยี่ยนปรากฎตัวขึ้นในวัดร้าง
ต้วนเหลียนเถียนรู้สึกตกใจ สืบเท้าเข้าไปคารวะ “คารวะศิษย์พี่”
ฉือเยี่ยนมองรอบๆ คิ้วขมวดเล็กน้อย
ต้วนเหลียนเถียนกล่าว “มีศิษย์ตายไปคนหนึ่ง ไม่รู้เป็นศิษย์ยอดเขาไหน”
ฉือเยี่ยนกล่าว “กลับไปค่อยว่ากัน”
ต้วนเหลียนเถียนสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย มองดูเขา มิได้กล่าวกระไร
…………………………………