บทที่ 196 คุณชายหลินช่างมีอารมณ์ขัน
เหลือเวลาอีก 3 วันกว่าจะถึงกำหนดการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบ 20 คนสุดท้าย
เมืองหยุนเมิ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง
นอกจากที่ทำการจวนผู้ว่า กระทรวงศึกษา กองทัพ หน่วยมือปราบ คณะบริหารแห่งวังหลวง และวิหารเทพกระบี่แล้ว ขณะนี้บริเวณจัตุรัสกลางเมือง ทางด้านสถานศึกษากระบี่ชื่อดังก็ได้นำจอถ่ายทอดสดขนาดใหญ่มาติดตั้ง โดยที่การแพร่ภาพสัญญาณการแข่งขันนั้นจะดำเนินไปด้วยการถ่ายเทพลังลมปราณจำนวนมหาศาล
นั่นหมายความว่าการแข่งขันครั้งนี้จะมีการถ่ายทอดสดให้คนทั้งเมืองได้รับชม
นอกจากจะเปิดโอกาสให้มือกระบี่รุ่นเยาว์คนอื่นๆ ได้รับชมความสามารถของผู้ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายแล้ว การถ่ายทอดสดยังทำให้การแข่งขันมีความยุติธรรมมากขึ้น และหลีกเลี่ยงที่จะมีการเล่นสกปรกได้อย่างรัดกุม
สิ่งสำคัญก็คือเหล่าเชื้อพระวงศ์จะมารับชมการแข่งขันด้วยตนเอง ว่ากันว่าไม่เคยมีครั้งใดเลยที่พวกท่านจะพลาดความสนุกประจำปี
ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษากระบี่ สำนักกระบี่อิสระ สำนักยุทธ์อิสระ ต่างก็เฝ้ารอให้ถึงโอกาสนี้ เพราะใน 1 ปีจะมีโอกาสแค่ครั้งเดียวที่พวกเขาจะสามารถสร้างชื่อเสียงขึ้นมาได้ในชั่วเวลาข้ามคืน
ยิ่งใกล้ถึงวันแข่งขันมากเท่าไหร่ บรรยากาศในตัวเมืองก็ยิ่งคึกคักมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน ก็จะได้ยินแต่ผู้คนพูดคุยกันถึงการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้น
มีการนำธงมาติดตั้งตามเขตต่างๆ ในตัวเมือง เพื่อกระจายข่าวการแข่งขัน
สำหรับหลินเป่ยเฉิน นี่คือความรู้สึกของการอยู่ในเทศกาลตรุษจีนบนโลกมนุษย์ไม่มีผิด
แน่นอนว่าเริ่มมีร้านรับแทงพนันอ้าแขนต้อนรับเหล่าผู้อยากเสี่ยงโชค
บ่อนพนันเหล่านี้ได้รับอนุญาตจากทางการให้เปิดได้อย่างถูกกฎหมาย โดยที่มีเจ้าหน้าที่ของทางจักรวรรดิควบคุมอย่างใกล้ชิด
ในเวลาเดียวกันนี้ บรรดาลูกศิษย์จากสถาบันต่างๆ ก็พร้อมใจกันฝึกฝนอย่างหนัก เพราะทุกคนต่างก็หวังจะเป็นอันดับ 1 เป็นผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองหยุนเมิ่งทั้งสิ้น
พ่อค้าหัวหมอบางคนก็ติดต่อกับเหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ได้เข้ารอบ 20 คนสุดท้าย ให้มาลงนามในสัญญาการเป็นตัวแทนโฆษณาสินค้า ซึ่งสินค้าแต่ละประเภทนั้นจะถูกพิมพ์สัญลักษณ์ติดลงไปบนเสื้อ ซึ่งลูกศิษย์คนนั้นจะใส่ตลอดการแข่งขัน
ต้องอย่าลืมว่านี่คือการแข่งขันที่จะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วเมือง การโฆษณาเช่นนี้ย่อมทำให้สินค้าชิ้นนั้นๆ โด่งดังมากยิ่งขึ้น
หลินเป่ยเฉินไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
เด็กหนุ่มไม่คิดเลยว่ากลยุทธ์การตลาดและการโฆษณาจะรุกรานเข้ามาถึงโลกจอมยุทธ์แห่งนี้
ทุกอย่างไม่ต่างจากโลกมนุษย์เลยสักนิดเดียว
หนึ่งวันก่อนเริ่มการแข่งขัน สถานศึกษากระบี่ที่สาม ก็ได้รับข่าวดี
ปรากฏว่าฮันปู้ฟู่กับไป๋ชินหยุนต่างก็สามารถเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุได้สำเร็จ
แต่เดิมนั้น ฮันปู้ฟู่มีพลังเกือบจะเทียบเท่าขั้นระดับปรมาจารย์อยู่แล้ว หลังผ่านประสบการณ์ต่อสู้ในหุบเขาชายแดนเหนือ ระดับกำลังภายในของเขาก็เพิ่มพูนมากขึ้น ทำให้เด็กหนุ่มสามารถเลื่อนระดับพลังจากการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 10 ขึ้นสู่ขอบเขตปรมาจารย์ระดับที่ 1 ได้สำเร็จ
แม้ว่าฮันปู้ฟู่จะมีพลังปราณธาตุดิน ไม่ค่อยส่งเสริมเรื่องพลังการต่อสู้เท่าไหร่ แต่มันก็ช่วยทำให้เด็กหนุ่มมีร่างกายที่แข็งแกร่งและอดทนต่อความเจ็บปวดได้มากยิ่งขึ้น
ทางด้านไป๋ชินหยุน นางถูกยกย่องให้เป็นมือกระบี่ดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในสถาบัน ซ้ำยังเคยสามารถรับเทียบเชิญจากเฉาพั่วเถียนได้สำเร็จ นับเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าไป๋ชินหยุนมีความสามารถไม่เป็นสองรองใครในกลุ่มคนรุ่นอายุเดียวกัน
และตอนที่ประสบเหตุร้ายในหุบเขาชายแดนเหนือ ไป๋ชินหยุนก็สามารถช่วยเหลือฮันปู้ฟู่ที่สลบไสลไม่ได้สติหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย นี่แสดงให้เห็นว่าเด็กสาวมีร่างกายแข็งแกร่งมากกว่าที่ตาเห็น และระดับพลังของนางก็เพิ่มพูนมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด สุดท้าย ไป๋ชินหยุนก็สามารถเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นปรมาจารย์ได้สำเร็จ และพลังปราณธาตุที่เด็กสาวเปิดมาได้นั้นก็คือพลังปราณธาตุน้ำแข็ง
พลังปราณธาตุน้ำแข็งมีความคล้ายคลึงกับพลังปราณธาตุน้ำ เพียงแต่ว่าพลังปราณธาตุน้ำแข็งจะมีพลังทำลายล้างมากกว่าพลังปราณธาตุน้ำ และมันก็ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในห้าพลังปราณธาตุที่ช่วยส่งเสริมพลังโจมตีได้ดีมากที่สุด
ไป๋ชินหยุนจึงมีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
ในกลุ่มตัวแทนลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สาม นับได้ว่าเยว่หงเซียงเป็นผู้ที่รั้งท้ายสุดอย่างแท้จริง ด้วยจนถึงบัดนี้ นางก็ยังไม่สามารถเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุได้เลย
แต่ด้วยความที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่อสู้จากหุบเขาชายแดนเหนือมาพอสมควร เยว่หงเซียงจึงสามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเก้าได้ในพริบตาเดียว และอีกไม่นาน นางจะต้องเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นปรมาจารย์สำเร็จอย่างแน่นอน
โดยรวมแล้ว หลินเป่ยเฉินกลายเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้มีพลังเพิ่มพูนมากขึ้นสักเท่าไหร่
แต่ฮันปู้ฟู่ ไป๋ชินหยุนและเยว่หงเซียงรู้ดีว่าในจำนวนตัวแทนทั้งสี่คนของสถานศึกษากระบี่ที่สาม ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังคงเป็นหลินเป่ยเฉิน
ทว่า ในช่วงเวลา 3 วันนี้ พวกเขาแทบไม่เคยได้พบหน้าหลินเป่ยเฉินเลยสักครั้ง
นั่นเป็นเพราะว่าเด็กหนุ่มกำลังได้รับทราบข่าวดี
เจ้าอากวง ราชันย์หนูอสูรผู้สูญหายถูกพบเจอตัวแล้ว
หรือถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ มันถูกจับตัวกลับมาให้เขาแล้วต่างหาก
ปรากฏว่า ราชันย์หนูอสูรตัวนี้เดินทางหลบหนีกลับไปที่รังของมันจริงๆ แต่มีกลุ่มนักล่าอสูรไปเจอตัวมันเข้าโดยบังเอิญ หลังจากเสียแรงต่อสู้กันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเจ้าอากวงก็ถูกจับตัวส่งกลับมาหาหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินต้องจ่ายค่าจ้างเป็นเงินหนึ่งเหรียญทองคำ
“จี๊ด!”
ทันทีที่เจ้าหนูเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน มันก็มีน้ำตาคลอเต็มเบ้า วิ่งเข้ามากอดขาเด็กหนุ่มแน่นไม่ยอมปล่อย ส่งเสียงครางเหมือนพยายามสื่อสารว่า “นายท่าน ข้านึกว่านายท่านเสียชีวิตไปเสียแล้ว”
เมื่อพ่อบ้านหวังเห็นดังนั้น ดวงตาก็เกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมาทันที
“เจ้าหนูเวรตัวนี้ท่าทางจะไม่ได้การ มันรู้จักประจบประแจงนายน้อยถึงขนาดนี้ คิดจะแย่งชิงบัลลังก์สุนัขรับใช้ของข้าหรืออย่างไร?”
หวังจงมองหน้าเจ้าหนูอากวงด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
แต่ในทางกลับกัน สองสาวรับใช้ประจำตำหนักไม่ไผ่มีดวงตาเป็นประกายแวววาว พวกนางเห็นว่าเจ้าหนูอสูรมีหน้าตาน่ารักน่าชัง จึงเข้ามาโอบอุ้มมันด้วยความหมั่นเขี้ยว
หลินเป่ยเฉินสั่งให้พวกนางนำตัวอากวงไปอาบน้ำให้สะอาดเอี่ยมอ่อง
ในเมื่อราชันย์หนูอสูรจะต้องเป็นคู่หูของเขาในอนาคต ความสะอาดของมันจึงต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง
เจ้าหนูเคยได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ป่า ร่างกายเต็มไปด้วยเชื้อโรคและความสกปรก จำเป็นต้องขัดสีฉวีวรรณร่างกายให้สะอาดทุกซอกทุกมุม เพื่อที่จะได้ปรับตัวเป็นสัตว์เลี้ยงของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
“เราไม่รู้ด้วยสิว่าที่นี่มีพวกปรสิตหรือโรคระบาดจากสัตว์ป่าเหมือนโลกมนุษย์หรือเปล่า” หลินเป่ยเฉินครุ่นคิดด้วยความสงสัย
บ่ายวันสุดท้ายก่อนถึงวันแข่งขัน หลินเป่ยเฉินโดดเรียนเพื่อไปเยี่ยมฉู่เหิน
เมื่อเขาไปถึงวิหารเทพกระบี่ เด็กหนุ่มกลับไม่พบตัวฉู่เหิน แต่เขาได้พบกับนักบวชสาวที่มีนามว่าเยว่เว่ยหยางอีกครั้ง
นักบวชสาวหน้าตาสะสวยออกมาต้อนรับเขาอย่างกระตือรือร้น “คุณชายหลิน ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน ข้าได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการแข่งขันรอบ 20 คนสุดท้ายเช่นกัน ถ้าเราเจอกันระหว่างแข่งขัน รบกวนท่านช่วยออมมือให้ข้าด้วยเถิด”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
หลังจากเยว่เว่ยหยางอธิบายทุกอย่างแล้ว เด็กหนุ่มถึงได้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
แม่ง
เด็กเส้นนี่หว่า
คนอื่นต้องเหนื่อยกันแทบตาย กว่าจะได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน
แต่นักบวชในวิหารเทพกระบี่ แค่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้านักบวช ก็ได้เข้าร่วมการแข่งขันหน้าตาเฉย โดยจะเข้าร่วมการแข่งขันในฐานะ ‘ตัวแทนพิเศษ’
แต่ด้วยความที่เทพีกระบี่เป็นเทพเจ้าที่ชาวจักรวรรดิเป่ยไห่กราบไหว้บูชา สถานะของวิหารเทพกระบี่จึงสูงส่งเทียบเท่ากับราชวงศ์ประจำจักรวรรดิ นักบวชหญิงเหล่านี้จึงได้รับสิทธิพิเศษมากมาย และไม่มีผู้ใดสามารถคัดค้านได้
“ถ้าข้าโชคดีพอที่จะเข้าสู่รอบตั้งกลุ่มชิงธง ตอนที่คุณชายหลินต้องเลือกเพื่อนร่วมกลุ่ม อย่าลืมนึกถึงข้าบ้างนะเจ้าคะ”
เยว่เว่ยหยางยิ้มหวานหยาดเยิ้ม
ความงดงามของนักบวชสาวทำให้หลินเป่ยเฉินเคลิบเคลิ้มอยู่อึดใจใหญ่
“ตั้งกลุ่มชิงธง?” หลินเป่ยเฉินทวนคำด้วยความสงสัย “มันหมายความว่าอย่างไร?”
เยว่เว่ยหยางมีสีหน้าประหลาดใจสุดขีด ถามกลับมาว่า “คุณชายหลินไม่รู้กติกาการแข่งขันรอบ 20 คนสุดท้ายหรือเจ้าคะ?”
“เรื่องนั้น…”
เด็กหนุ่มแสร้งเป็นเงยหน้ามองท้องฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นฉู่เหิน พานเว่ยหมิน หรือว่าหลิงไท่ซวี ต่างก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขาเลย
ไป๋ชินหยุนกับฮันปู้ฟู่ก็ไม่เคยพูดถึงให้ได้ยินเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินเข้าใจว่ามันคงเป็นความรู้ระดับสามัญที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีใครบอก เขาก็น่าจะรู้ดี
แต่เขาจำกฎกติกาเหล่านั้นไม่ได้เลยสักนิด
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่น่ะ” หลินเป่ยเฉินทำท่าเป็นใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย ก็กล่าวออกไปด้วยสีหน้าเยือกเย็น “สำหรับข้าแล้ว มันไม่สำคัญหรอกว่าข้าจะรู้กฎกติกาหรือไม่ เพราะสุดท้ายข้าก็จะเป็นผู้ชนะอยู่ดี”
“อิอิ คุณชายหลินช่างมีอารมณ์ขันเหลือเกิน”
เยว่เว่ยหยางยิ้มแย้มหยาดเยิ้ม หรี่ตาลงเล็กน้อย ทำให้ดวงตาของนางกรีดตัวเหมือนดวงจันทร์เสี้ยว แพขนตางามงอนขยับขึ้นลงเหมือนพยายามจะสะกดจิตหลินเป่ยเฉินด้วยความงดงามทั้งหมด
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
แม่นางนักบวชท่านนี้กำลังโปรยเสน่ห์ใส่เขาอยู่หรือไง?
เยว่เว่ยหยางยังคงพูดต่อไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “การแข่งขันรอบ 20 คนสุดท้ายจะแบ่งออกเป็นสองส่วนเจ้าค่ะ ส่วนแรกคือการสอบวัดความรู้ และส่วนที่สองก็คือการทดสอบความสามารถด้านการใช้กระบี่…”