บทที่ 197 ทดสอบการใช้งานแขนกล

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 197 ทดสอบการใช้งานแขนกล

ยังมีการสอบวัดความรู้อีกหรือ?

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว “อย่าหาว่าข้าคุยโวเลยนะ แต่ถ้าจะแข่งวัดความรู้กันเนี่ย เกรงว่าตำแหน่งผู้รอบรู้อันดับหนึ่งประจำเมือง ก็คงหนีไม่พ้นข้าอีกแล้ว”

แอปในโทรศัพท์มือถือของเขา มีความสามารถโกงข้อสอบได้อย่างดีเลิศ

เยว่เว่ยหยางยิ้มแย้มอ่อนหวานอีกครั้งและกล่าวว่า “ข้าพอจะรู้มาบ้างว่าคุณชายหลินสอบได้คะแนนเต็มในสถาบัน ซึ่งทำให้คนทั้งเมืองตกตะลึงเลยทีเดียว”

ฟังพูดเข้าเถอะ

ขนาดเป็นนักบวชยังรู้จักพูดประจบเอาใจเลยแฮะ

หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ “โชคช่วยมากกว่าน่ะ”

เยว่เว่ยหยางกล่าวว่า “ข้าดูกระดาษคำตอบแล้ว นับว่าข้อสอบค่อนข้างง่าย หากให้ข้าไปทำข้อสอบเหล่านั้น ข้ามั่นใจว่าสามารถทำเสร็จในช่วงเวลา 1 ก้านธูป และแน่นอนว่าต้องได้คะแนนเต็มเช่นกัน…”

หลินเป่ยเฉินเบิกตาจ้องมองนักบวชสาวด้วยความประหลาดใจ

เห็นหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์

ไม่นึกว่าจะขี้โม้เหมือนกันนะเนี่ย

แต่ทักษะในการคุยโวยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ช่างน่าสงสาร

เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของหลินเป่ยเฉิน เยว่เว่ยหยางจึงได้กล่าวเสริมว่า “แต่ถือเป็นโชคดีของคุณชายหลินมากเจ้าค่ะ ที่การแข่งขันรอบ 20 คนสุดท้าย ไม่ได้ยึดคะแนนจากการสอบวัดความรู้เป็นหลัก…”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

ยัยคนนี้เป็นนักบวชหญิงหรือเปล่าเนี่ย?

คำพูดคำจาเหมือนจะเชยชม

แต่นี่มันดูถูกกันชัดๆ

แต่เด็กหนุ่มก็ข่มใจฟังเยว่เว่ยหยางกล่าวต่อไป “ในการแข่งขันรอบสุดท้าย การสอบวัดความรู้จะมีผลเพียง 20 ส่วนเท่านั้นเจ้าค่ะ ดังนั้น ต่อให้ท่านเป็นพวกเบาปัญญาหามีความรู้ไม่ แต่ถ้ามีวิทยายุทธ์เลิศล้ำ ก็ยังมีสิทธิ์ที่จะสอบผ่านได้เช่นกัน”

หลินเป่ยเฉินยังคงไม่พูดอะไร

เขาก็คิดเอาไว้แล้ว

เด็กหนุ่มได้ตัวอย่างมาจากการสอบกลางภาค

ความรอบรู้เป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง แต่สิ่งที่ตัดสินผู้แพ้ผู้ชนะ ยังคงเป็นฝีมือการใช้กระบี่อยู่ดี

เยว่เว่ยหยางรับหน้าที่อธิบายกฎกติกาให้หลินเป่ยเฉินได้เข้าใจต่อไป “ส่วนการทดสอบฝีมือด้านกระบี่นั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนเจ้าค่ะ ส่วนแรกจะเป็นการวัดความสามารถส่วนบุคคล ประกอบไปด้วยทักษะด้านการใช้กระบี่ ทักษะการใช้วิชาตัวเบา ความแข็งแกร่งของร่างกาย ความแข็งแกร่งของระดับพลังลมปราณ แล้วก็อาจจะมีบททดสอบไหวพริบเชาว์ปัญญาที่คำถามในแต่ละปี ก็จะเปลี่ยนไปไม่ซ้ำเดิม ส่วนการทดสอบในส่วนที่สอง เป็นการต่อสู้วัดความแข็งแกร่งของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน ในส่วนนี้จะมีผู้ผ่านเข้ารอบแค่ 10 คนเท่านั้น ต่อมาก็จะเป็นการทดสอบในส่วนที่สาม ผู้เข้าแข่งขันต้องแยกกันเป็นกลุ่มละห้าคน เพื่อแย่งชิงผืนธงมาครอบครองให้ได้…”

“เราต้องแยกกันเป็นกลุ่มอย่างนั้นหรือ?” เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินดังนั้น ก็อดถามออกมาไม่ได้ว่า “แล้วจะตั้งกลุ่มกันอย่างไร? ใครเป็นคนจัดตั้ง?”

เยว่เว่ยหยางตอบว่า “ผู้เข้าแข่งขันที่ทำคะแนนได้ดีที่สุด จะสามารถคัดเลือกเพื่อนร่วมกลุ่มได้เจ้าค่ะ”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว “แล้วแบบนี้ ถ้าคนที่มีคะแนนสูงสุด เลือกเพื่อนร่วมกลุ่มเป็นคนที่มีคะแนนติดอันดับ 1 ใน 5 ทั้งหมดล่ะ อีกกลุ่มหนึ่งไม่แย่เอาหรือ?”

เยว่เว่ยหยางหัวเราะเล็กน้อย “นั่นคือสิ่งที่ผิดกฎเจ้าค่ะ ในหนึ่งกลุ่ม หัวหน้ากลุ่มผู้คัดเลือกสมาชิก จะสามารถเลือกผู้ที่มีคะแนนติดอันดับ 1 ใน 5 ได้ไม่เกิน 2 คน นี่คือกฎที่จะละเมิดไม่ได้เด็ดขาด”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมายาวแรง คิดอยากจะไปเยี่ยมอาจารย์ฉู่เหินขึ้นมาจับใจ

เยว่เว่ยหยางพลันพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แต่ความจริง กฎข้อนี้ก็มีช่องว่างอยู่นะเจ้าคะ ด้วยความที่สามารถเลือกสมาชิกที่มีฝีมือดีได้อย่างจำกัดจำเขี่ย นั่นอาจทำให้สมาชิกในกลุ่มของผู้ที่มีคะแนนเป็นอันดับ 1 อาจจะมีแต่พวกโหลยโท่ยก็ได้เช่นกันเจ้าค่ะถ้าเขาไม่มีสายตาเฉียบแหลมมากพอ…”

หลินเป่ยเฉินคิดตามที่นักบวชสาวบอก ก็พบว่ามันคือความจริง

เด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

แต่การที่กฎเหล็กเหล่านี้มีช่องว่างให้เห็นอย่างเด่นชัด ย่อมมีเหตุผลและที่มาที่ไปอย่างแน่นอน

เยว่เว่ยหยางหรี่ตาลงเล็กน้อยและยิ้มแย้มกล่าวต่อ “หากสังเกตดูเพียงผิวเผิน การทดสอบในส่วนที่สามดูจะไม่ยุติธรรม แต่ความจริงแล้วมันยุติธรรมมากที่สุด นี่คือการจำลองสถานการณ์ในโลกแห่งความจริง ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีฝีมือการต่อสู้ดีเลิศสักเพียงใด แต่สิ่งที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ ก็คือเพื่อนร่วมขบวนการฝีมือดี ที่พร้อมจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เป็นเช่นนั้นจริงๆ”

นี่คือความเป็นจริงที่เด็กหนุ่มเคยได้รับการพิสูจน์มาแล้ว จากภาพยนตร์และละครทีวีหลายเรื่องสมัยที่เขายังอยู่โลกมนุษย์

ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ก็คือ

รวมกันเราอยู่ แยกหมู่ตายหมด

แต่ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองเสียเวลายืนคุยอยู่กับนักบวชสาวนานเกินไปแล้ว เขาจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “นักพรตเยว่ วันนี้ข้าตั้งใจมาร่ำลาอาจารย์ฉู่ คงต้องขอตัวก่อน”

แล้วเขาก็รีบเดินจากมา

เยว่เว่ยหยางยืนอยู่ที่ลานหน้าวิหาร จ้องมองหลินเป่ยเฉินเดินลับสายตาไป

ในไม่ช้า นักบวชสาวรุ่นราวคราวเดียวกันอีกหลายคนก็เดินออกมาห้อมล้อมนาง

“ศิษย์พี่เยว่ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

“หลินเป่ยเฉินหล่อเหลาสมคำร่ำลือจริงๆ ด้วย”

“นับว่าศิษย์พี่เยว่มีวาสนาดีเหลือเกิน”

นักบวชสาวเหล่านั้นมีเจตนาเย้าแหย่เยว่เว่ยหยาง

เยว่เว่ยหยางตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจในตัวเองว่า “งานนี้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน หุหุ ต่อให้ในการแข่งขันรอบสุดท้ายจะเต็มไปด้วยเสือสิงห์กระทิงแรดอย่างไร ท่านอาจารย์ก็บอกว่า สุดท้ายแล้วข้าจะต้องทำให้หลินเป่ยเฉินประทับใจได้แน่นอน”

ณ ร้านจำหน่ายอาวุธหัวค้อนเหล็ก

“ในที่สุดก็เสร็จแล้ว…”

หยางเฉินโจวจ้องมองแขนทองคำที่เพิ่งออกมาจากเตาหลอมสดๆ ร้อนๆ ด้วยดวงตาเป็นประกายตื่นเต้น

พลังปราณธาตุกำลังไหลเวียนลงไปสู่แขนทองคำข้างนั้น พานเว่ยหมินซึ่งเป็นผู้สร้างค่ายอาคมขึ้นมายังอดใจไม่ไหว ต้องชะโงกตัวเข้ามาดู

“เสร็จแล้วใช่ไหม?”

ชายชราถามด้วยน้ำเสียงลุ้นระทึก

ฉู่เหินทนรอคำตอบไม่ไหวแล้ว “สรุปว่าเสร็จแล้วหรือยัง? เราลองใช้งานมันเลยดีหรือไม่?”

แขนทองคำที่บัดนี้ถูกนำมาวางอยู่บนโต๊ะเหล็ก ถูกหลอมขึ้นมาจากทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีกล้ามเนื้อ ไม่มีเส้นเลือด ไม่มีกระดูก ไม่มีเส้นเอ็น มีเพียงข้อต่อบริเวณข้อศอก ข้อมือ ฝ่ามือ และนิ้วมือทั้งห้าเท่านั้นที่พอจะขยับเขยื้อนได้บ้าง…

ถ้าหยางเฉินโจวมีเวลามากกว่านี้ เขาก็สามารถสร้างแขนที่เหมือนกับแขนมนุษย์จริงๆ ได้ทุกประการ และชายหนุ่มก็ตั้งใจว่าจะสร้างให้สำเร็จในอนาคต แต่ตอนนี้ฉู่เหินรีบเร่งอยากได้แขนกลไปใช้งาน เขาจึงต้องรีบสร้างให้ก่อนหนึ่งข้างในสภาพที่แข็งทื่อไม่งามตาสักเท่าไหร่ แต่ก็สามารถใช้งานได้เหมือนแขนจริงไม่มีขาดตกบกพร่อง

ข้อต่อของแขนกลสามารถประกบเข้าไปที่กล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ของฉู่เหินได้อย่างพอดิบพอดี

บริเวณข้อต่อของแขนกลส่วนนี้จะมีทางเดินลมปราณหกช่องสร้างเอาไว้เพื่อรองรับการถ่ายเทพลังลมปราณจากภายในร่างกาย

ฉู่เหินใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

แต่เมื่อประกบแขนกลเข้ากับหัวไหล่ได้สำเร็จแล้ว ชายชราก็ไม่ลังเลที่จะลองโคจรพลังลมปราณลงไปที่แขนข้างขวาโดยทันที

กึก กึก กึก

แขนทองคำสั่นสะเทือนเล็กน้อย

ทันใดนั้น บังเกิดลำแสงสีทองห่อหุ้มแขนกลของเขาเอาไว้

ฉู่เหินพยายามควบคุมพลังลมปราณเพื่อขยับแขน

กริ๊ก! กริ๊ก!

เสียงข้อต่อโลหะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

ข้อศอก ข้อมือและนิ้วมือทั้งห้า…

ทุกอย่างสามารถขยับได้ไม่ต่างจากแขนคนปกติ

ตอนแรกอาจจะมีติดขัดบ้างเล็กน้อย

แต่เมื่อลองขยับดูไม่กี่ครั้ง ฉู่เหินก็สามารถควบคุมแขนกลได้อย่างคล่องแคล่ว

ฉู่เหินก้มหน้ามองฝ่ามือทองคำของตนเอง เขาลองกำมือ แบมือ งอนิ้ว กระดิกนิ้ว ทำทุกอย่างที่จะทำได้กับมือของตนเอง

แล้วชายชราก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น

“สำเร็จแล้ว”

พานเว่ยหมินอุทานออกมาด้วยความดีใจ

หยางเฉินโจวก็ดีใจไม่แพ้กัน นี่คือแขนกลชิ้นแรกที่เขาสร้างขึ้นด้วยมือของตนเอง และมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาโด่งดังไปทั่วจักรวรรดิ

“ใจเย็นก่อนขอรับ ใจเย็นก่อน…”

หยางเฉินโจวพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไปขณะกล่าวว่า “นี่เป็นเพียงแขนกลฉบับทดลองเท่านั้น แต่ในคัมภีร์แขนกลเทพเจ้าดาวเหนือระบุเอาไว้ว่า แขนกลฉบับสมบูรณ์จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับแขนมนุษย์ทุกประการ มีกระดูก มีกล้ามเนื้อ มีผิวหนัง และสามารถใช้ต่อสู้ได้เหมือนแขนคนปกติ…”

พานเว่ยหมินพูดออกมาทันทีว่า “เฒ่าฉู่ ลองทดสอบพลังของแขนเจ้าดูหน่อยสิ”

ฉู่เหินลองควงแขนทองคำดูหนึ่งรอบ ก็หัวเราะออกมาด้วยความพอใจและกล่าวว่า “เฒ่าพาน เตรียมรับหมัด”

วูบ!

ฉู่เหินกระแทกหมัดออกไปข้างหน้า

พลังลมปราณสีทองคำห่อหุ้มแขนกลเป็นชั้นพลังบางๆ

เมื่อเห็นอานุภาพของหมัดนี้ พานเว่ยหมินก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป เขาโคจรพลังลมปราณและกระแทกฝามือออกไปข้างหน้า หมายรับการโจมตีของฉู่เหิน

ผลั่ก!

แต่แล้วพานเว่ยหมินก็ถูกต่อยลอยกระเด็นออกไปเหมือนตุ๊กตากระดาษ