ตอนที่ 950 เขากำลังถูกบังคับหรือ

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

เดิมทีถังหนิงเป็นคนเตรียมการแสดงสุดท้ายเอาไว้ แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะเริ่มฉายเร็วขนาดนี้ ท้ายที่สุดเฝิงจิ้งก็ตกเป็นที่รังเกียจของทุกคน

 

 

ในขณะเดียวกันหลังจากลัวอิงหงอดรนทนไม่ไหวก็ทำร้ายลูกชายของตัวเองลงไป หมายมั่นว่าจะลืมลูกชายไม่รักดีไปเสีย ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจโหมงานหนักเพื่อลืมความเจ็บปวดของตัวเอง

 

 

โชคดีที่สุดท้ายผู้เห็นเหตุการณ์ได้เอาคืนให้เธอ!

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเองต้นสังกัดของเฝิงจิ้งได้ฟ้องร้องเฝิงจิ้งเพื่อฉีกสัญญา หมายความว่าเฝิงจิ้งกำลังจะทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต และแน่นอนว่าลูกชายของลัวอิงหงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน

 

 

หลังจากความสัมพันธ์ของเขากับเฝิงจิ้งถูกเปิดเผย เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากตัดขาดทุกช่องทางจากโลกภายนอก

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่ลัวอิงหงบอกเขาว่าทำตัวน่าขายหน้าแค่ไหน เขาไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย หากเขายังเป็นอย่างนี้อยู่ ดูเหมือนว่าคงต้องใช้คนอีกเป็นหมื่นคนมาพูดกรอกหูเขาว่าตัวเองเป็นคนที่น่าละอายและอกตัญญูถึงจะทำให้เขาตาสว่าง

 

 

หากแต่มันสายไปเสียแล้ว ลัวอิงหงได้ขายบ้านของพวกเขาและไม่ได้ทิ้งสิ่งใดไว้ให้เขาสักอย่าง ไม่แม้แต่เสื้อผ้าสักชิ้นเดียว

 

 

ต่อไปนี้ทุกคนจะตราหน้าเขาว่าร่วมมือกับคนนอกทำร้ายแม่ของตัวเอง

 

 

และไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ทั้งใบหน้าและชื่อของเขาจะได้รับแต่ความเกลียดชัง…

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสารลัวอิงหงและแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อเธอ ทว่าเธอกลับไม่ได้แสดงความอ่อนแอให้เห็นขณะเดินหน้าทำงานในวงการแฟชั่นอย่างสง่าผ่าเผยต่อไป สำหรับชีวิตที่เหลืออยู่ อย่างน้อยเธอก็ต้องการใช้ชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง

 

 

โชคดีที่เธอได้มาเป็นศิลปินของจู้ซิงมีเดียและมีถังหนิงคอยสนับสนุน…

 

 

เหตุการณ์นี้เป็นอีกครั้งที่ทำให้คนให้การยอมรับว่าจู้ซิงมีเดียได้คัดเลือกคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง แม้ว่าเธอจะอายุเข้าวัยสี่สิบ แต่ไม่อาจปฏิเสธความสามารถของเธอได้เลย

 

 

ในตอนนี้ถังหนิงจึงมีทั้งนักแสดง นักร้อง และนักออกแบบแฟชั่นอยู่ในมือ เดิมทีเธอคงจะมีพิธีกรด้วย แต่เมื่อนึกถึงซย่าหันโม่… ทุกคนต่างทำได้แต่ถอนหายใจออกมา

 

 

มันเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ยาก หากแต่กลับนำมาซึ่งความหวังครั้งใหม่

 

 

หลังเรื่องของเฝิงจิ้งจบลง ถังหนิงกับโม่ถิงก็พาเจ้าตัวแสบทั้งสองไปบ้านตระกูลถัง ความสัมพันธ์ระหว่างถังจิ้งเซวียนกับสวี่ชิงเหยียนเป็นไปด้วยดี ในขณะที่ลูกสาวของถังเซวียนค่อยๆ เติบโตขึ้นด้วยหน้าตาที่ละม้ายคล้ายแม่

 

 

ในขณะเดียวกันถังอี้เฉินยังคงวนเวียนอยู่ในโรงพยาบาลทั้งวันและไม่ค่อยได้กลับบ้านนัก

 

 

“เมื่อไหร่พวกเธอสองคนจะแต่งงานกันล่ะ” ถังหนิงถามพลางเลิกคิ้วไปทางถังจิ้งเซวียน “ถึงเวลาที่นายต้องทำให้เป็นเรื่องเป็นราวสักทีแล้วนะ”

 

 

เขาเหลือบมองสวี่ชิงเหยียนก่อนที่ทั้งสองจะไหวไหล่ พวกเขายังไม่ได้ตั้งใจจะเริ่มสร้างครอบครัวและลงหลักปักฐาน คบกันต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็ไม่ได้เสียหายไม่ใช่หรือ

 

 

“ครั้งล่าสุดที่พี่กลับมา พี่เป็นนักแสดงชื่อดัง ครั้งนี้พี่กลายมาเป็นผู้จัดการมือเพชรซะแล้ว ผมละสงสัยว่าครั้งต่อไปพี่จะมาเยี่ยมเราในฐานะอะไร…” เขาเอ่ยเย้าขณะที่มองหน้าถังหนิง

 

 

“โปรดิวเซอร์ชั้นนำไงล่ะ!” ถังหนิงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

 

 

“ชิ…”

 

 

ถังจิ้งเซวียนไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับความคิดที่ถังหนิงจะกระโดดเข้ามาวงการภาพยนตร์นัก แม้เขารู้ว่าเธอเอาจริงเอาจังกับทุกอย่างที่ทำขนาดไหน หากแต่สถานการณ์ตลาดภาพยนตร์ภายในประเทศปัจจุบันก็ไม่เอื้ออำนวยให้ถังหนิงเอาชนะในระดับนานาชาติได้ ไม่ว่าเธอจะประสบความสำเร็จเพียงไหนก็ตาม เขาไม่ได้ตั้งใจจะดับความหวังของพี่สาวตัวเองเสียหน่อย…

 

 

…ทว่าเขาไม่เคยเห็นเวลาที่ถังหนิงทำงานสักครั้ง…

 

 

ถังหนิงจึงได้แต่ยิ้มและไม่ได้ตอบโต้อะไร ทว่าประธานโม่ปรายตามองเขาก่อนว่าขึ้น “นายคิดว่ากำลังมีข้อกังขาในตัวใครอยู่กันล่ะ”

 

 

อีกฝ่ายยกมือขึ้นเกาท้ายทอยก่อนพับความคิดของตัวเองกลับไป…

 

 

เมื่อเห็นดังนั้นถังหนิงจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

 

 

 

 

เดิมทีทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น ทว่าอยู่ๆ มื้อเย็นที่ลัวเซิงเข้าร่วมก็ทำเรื่องยุ่งให้กับจู้ซิงมีเดียอันสงบสุข ความจริงแล้วมันทรงพลังพอจะสั่นสะเทือนความอยู่รอดของเอเจนซี่ด้วยซ้ำ

 

 

ว่ากันตามจริงลัวเซิงไม่ได้ทำอะไรผิด แม้ว่าเขาจะไปคุยงานด้วยตัวเอง แต่ก็คอยรายงานให้ถังหนิงรู้ทุกครั้งที่เขาถูกเชิญไปทานมื้อเย็น และตอบตกลงเมื่อถังหนิงพิจารณาอนุญาตแล้วเท่านั้น หากแต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้เต็มใจจะไปนัก

 

 

การนัดพบเกิดขึ้นเพราะลูกสาวของเจ้าของเอเจนซี่ภาพยนตร์และสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง เธอคลั่งไคล้ในตัวเขามากจนต้องการให้เขาเข้าร่วมแสดงในละครไอพีชื่อดังที่บริษัทพ่อของเธอกำลังเตรียมงานอยู่ ด้วยเขาจริงจังในงานสายการแสดงจึงสนใจข้อเสนอนี้ทันที อย่างไรก็ตามเขาลำบากใจที่ต้องร่วมงานกับช่องโทรทัศน์ที่น่ารังเกียจที่มักเข้าไปเกี่ยวข้องกับเอเจนซี่

 

 

ถึงเขาจะยังเด็กอยู่แต่ก็ยึดถือคุณธรรมเป็นที่หนึ่งด้วยอิทธิพลจากถังหนิง เขาคิดว่าหากเลือกได้ เขาจะไม่มีทางร่วมแสดงในละครที่จะสร้างฐานผู้ชมให้กับช่องที่เขาไม่ชอบเด็ดขาด

 

 

ดังนั้นต่อให้เขาไม่ได้ปฏิเสธไปตามตรง ท่าทีของเขาก็ยังแสดงให้เห็นชัดเจน

 

 

“ผมขอโทษด้วยนะครับประธานฟ่าน ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำตัวเย่อหยิ่งเลยนะครับ และก็ไม่ต้องการทำให้คุณผิดหวังด้วย แต่ผมแค่ตกลงรับบทจากช่องอื่นมาแล้วและคิดว่าคงไม่มีตารางงานว่างไปถ่ายทำน่ะครับ…”

 

 

“ไม่ต้องเป็นห่วงเลย พ่อหนุ่ม เรายินดีที่จะรอเธอ” เขาต้องการสนับสนุนลัวเซิงเพราะลูกสาวของเขา

 

 

“ประธานฟ่านครับ ประเด็นคือขอให้ผมได้บอกตามตรงกับคุณนะครับ ผมรู้สึกขอบคุณอย่างถึงที่สุดสำหรับความชื่นชมของคุณครับ แต่คุณอาจจะต้องรอผมนานมากๆ เลยล่ะครับ ผมเกรงว่าจะทำให้การถ่ายทำของคุณล่าช้าเสียเปล่าๆ น่ะครับ”

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันมีเรื่องอื่นที่ต้องทำช่วงนั้นอยู่แล้ว”

 

 

ลัวเซิงไม่อาจต้านทานเขาได้ อย่างไรเสียเขาก็ได้ให้โอกาสครั้งที่สองกับเขาแล้ว ดังนั้นจึงทำได้แต่ยับยั้งเขาไว้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น

 

 

หลังกลับมาถึงจู้ซิงมีเดีย ลัวเซิงก็เล่าความคิดของเขาให้ถังหนิงฟัง “พี่หนิงครับ โทรทัศน์ช่องนี้เรตติ้งไม่ค่อยดีนัก ผมเลยไม่ค่อยอยากร่วมแสดงในละครของพวกเขา แต่ไม่รู้จะปฏิเสธประธานฟ่านยังไงน่ะครับ…”

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ตบบ่าเขาเบาๆ และทำให้เขามั่นใจนการตัดสินใจของตัวเอง “นายไม่ได้ทำอะไรผิด อย่ารู้สึกหนักใจกับการตัดสินใจของตัวเองเลย ฉันเข้าใจในจุดยืนของนายและรู้ว่านายไม่ชอบมีปัญหากับคนอื่น ตอนนี้แค่ทำงานอื่นของนายไปแล้วมารอดูกันว่าประธานฟ่านจะตามตื้อไปได้แค่ไหน”

 

 

“โอเคครับ พี่หนิง”

 

 

ในขณะที่นักแสดงหนุ่มชื่อดังมีความสุขกับสิ่งที่เกิดจากชื่อเสียงของตัวเอง เขายังต้องทนกับความยากลำบากในการถูกเข้าใจผิดเช่นกัน

 

 

ตอนนี้แหล่งข่าวหลายแห่งพุ่งเป้ามาที่ลัวเซิงและเหล่าคนดังในวงการที่ต้องการการจะสนับสนุนเขา หากแต่ถ้าคุณค่าในตัวของพวกเขาต่างกันเกินไป เขาเองก็ไม่ต้องการร่วมงานกับคนเหล่านั้น เขาไม่ได้ต่อต้านวิธีที่ประธานฟ่านและคนอื่นๆ ใช้ แต่เขาไม่ได้เห็นด้วยเช่นกัน

 

 

ไม่นานละครย้อนยุคอีกเรื่องที่ลัวเซิงตกลงรับเล่นได้เริ่มประกาศทำหารถ่ายทำกับสาธารณชน

 

 

เดิมทีลัวเซิงคิดว่าเขาคงสามารถหลีกเลี่ยงประธานฟ่านหลังจากเริ่มถ่ายทำได้ เสียแต่ลูกสาวของเขายืนกรานและบังคับให้พ่อของตัวเองมาหาเขาอีกครั้ง “ลัวเซิง ฉันรู้ว่าสัญญาว่าจะรอเธอไว้ แต่เสี่ยวเหยาไม่พอใจกับการตัดสินใจนั้น เธอช่วยมาพบฉันและเข้าร่วมแสดงละครของเราเร็วกว่านี้ได้ไหม”

 

 

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับประธานฟ่าน แต่ผมตกลงรับเล่นละครเรื่องนี้มานานแล้วครับ”

 

 

“ฉันรู้ว่าเธอรับปากไว้แล้ว แต่ละครอย่างนี้คงจะไม่ได้ฉายในช่องชั้นนำหรอก แล้วมันจะมีอนาคตเป็นยังไงกันล่ะ”

 

 

เขากำลังถูกบังคับหรอกหรือ

 

 

“ประธานฟ่านครับ คนเราพูดกลับคำไม่ได้หรอกนะครับ ผมต้องถ่ายทำละครเรื่องนี้ให้เสร็จครับ” ลัวเซิงบอกกลับอย่างจนปัญญา เขารู้ว่าตัวเองคงไม่อาจต้านทานชายคนนี้ได้

 

 

ประธานฟ่านหรี่ตามองอย่างมีเลศนัยก่อนจะปล่อยเขาไปในท้ายที่สุด

 

 

“ฉันหวังว่าเธอจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองแล้วกัน!”