บทที่ 318 แบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน

Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子]

บทที่ 318 แบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน
บทที่ 318 แบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน

เซียวเฟิงตื่นตัวขึ้นมาในทันที เขารีบสไลด์ตัวกลับไปยังส่วนกลางของโถงที่ลิชเค่อเสวี่ยปรากฏตัวออกมา ทว่าสิ่งที่เจอระหว่างทางกลับทำให้ประหลาดใจมากกว่าเพียงแค่เหลือบตามอง

“นี่มัน…กุญแจผนึกอีกดอกหนึ่งงั้นเหรอ?”

กลับกลายเป็นว่า เขาคิดผิดเรื่องที่การตายของลิชเค่อเสวี่ยไม่ได้ทิ้งสิ่งใดไว้เลย เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตัวเองตอนนี้คือสิ่งที่คล้ายกับกุญแจผนึกซึ่งตกอยู่ตรงจุดที่บอสได้หายตัวไป

เซียวเฟิงหยิบมันขึ้นมาพร้อมกับนำไปเทียบกับกุญแจผนึก (ซ้าย) ที่อยู่ในกระเป๋าทันที และกุญแจทั้งสองดอกนี้ก็เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เพราะงั้นเซียวเฟิงจึงเก็บกุญแจทั้งสองดอกลงไปในกระเป๋าแล้วรีบมุ่งหน้ากลับไปยังส่วนกลางชั้นต่อ

น่าเสียดายที่เมื่อกลับไปแล้ว เซียวเฟิงก็ไม่ได้พบเจอกับลิชเค่อเสวี่ยแต่อย่างใด ซึ่งมันทำให้เขาต้องขมวดคิ้วแน่น เซียวเฟิงพยายามเดินวนหาภายในชั้นที่ 6 ของปราสาทใต้พิภพอย่างถี่ถ้วน แต่ก็ไม่พบตัวเจ้าปัญหาอยู่ดี

ไม่ต้องสงสัยเลย ลิชเค่อเสวี่ยไม่ได้ตายจริง ๆ อย่างแน่นอนเพราะพลังของการเกิดใหม่ แต่มันไปเกิดใหม่อยู่ที่ไหนนั้นก็มิอาจล่วงรู้ได้

บางทีมันอาจจะหนีไปแล้ว หรือไม่ก็ไปเกิดใหม่ในที่ที่ไม่ใช่ที่นี่ เพราะเซียวเฟิงไม่เจอตัวมันเลยไม่ว่าจะมุมไหนของชั้นที่ 6 นี้

หลังจากที่วนหาอยู่สองรอบ ท้ายสุดเซียวเฟิงก็เลือกอย่างอื่นไม่ได้นอกจากยอมแพ้และหันไปจัดการเหล่ามอนสเตอร์จำนวนมากที่เพิ่งจะเกิดใหม่ภายในชั้นที่ 6 แทน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจมุ่งหน้าต่อไปยังชั้นที่ 7

ชั้นที่ 7 ของปราสาทใต้พิภพนี้ถือเป็นชั้นสุดท้ายของมหาปราสาทใต้พิภพแล้ว แต่ก็เช่นเดิมที่นี่ยังคงเป็นชั้นที่ว่างเปล่าที่มีเพียงผนึกตรงประตูเหมือนดั่งที่เซียวเฟิงเคยมาเจอเมื่อครั้งก่อนเท่านั้น น่าประหลาดใจที่แม้แต่มอนสเตอร์ก็ยังไม่เกิดใหม่เลย

เวทมนตร์ที่ใช้ผนึกประตูนี้มันคล้ายคลึงกับที่ผนึกรูปปั้นเทวทูตที่ใต้ทะเลสาบมู่กวางมาก ๆ แถมมันยังมีรูกุญแจที่มีรูปร่างเหมือนกับกุญแจผนึกอีกด้วย เซียวเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลองหยิบเอากุญแจผนึกที่ถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้วใส่มันลงไปในรูกุญแจนั้น

“ทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนะ?”

เซียวเฟิงคิดว่ามันน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างอย่างเสียงอึกทึกครึกโครมดัง ๆ เพราะงั้นเขาเลยถอยออกมาจากจุดดังกล่าวเพื่อสังเกตการณ์ ทว่าหลังจากรออยู่พักหนึ่งแล้ว มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เซียวเฟิงงุนงงไม่น้อย

เขาเดินกลับเข้าไปที่เดิมเพื่อดูให้ดีว่ามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า แต่กุญแจที่เสียบคารูนั้นก็เข้าสนิทแนบชิดดี มันดูเข้ากันได้โดยสมบูรณ์ ถึงอย่างนั้นผนึกที่ปิดประตูนี้ไว้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงราวกับว่ารูกุญแจดังกล่าวเป็นเพียงเครื่องประดับเฉย ๆ

“ต้องมีอะไรไม่ถูกต้องแน่ ๆ”

คิ้วของเขาขมวดแน่น อย่างที่จำได้จากคำพูดของหนี่อู๋ที่เคยพูดไว้ว่า กุญแจผนึกดอกนี้สามารถที่จะปลดผนึกเวทมนตร์ภายในมหาสุสานใต้พิภพได้ด้วย แล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น?

เซียวเฟิงนำกุญแจมาตรวจสอบอีกครั้งให้มั่นใจ แต่เขาก็ไม่เจอความผิดปกติใด ๆ ที่ตัวกุญแจ จะมีก็แต่รอยแตกร้าวเล็ก ๆ บนผนึกที่อยู่บริเวณประตูเท่านั้น

เรื่องนี้ค่อนข้างจะน่าสงสัยมาก ๆ เซียวเฟิงตัดสินใจเก็บกุญแจกลับมาดังเดิม เขาคิดหาทางออกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะใช้คัมภีร์กลับเมืองเพื่อเดินทางกลับไปยังเมืองแห่งความโศกเศร้าทันที

หลังจากที่กลับไปถึงเมืองแล้ว เขาก็รีบไปพบหนี่อู๋เพื่อถามอีกฝ่ายว่าเกิดอะไรขึ้นทันที

“หืม? เจ้าเก็บกุญแจได้ครบแล้วเหรอ? แสดงว่าเจ้าได้ฆ่าลิชเค่อเสวี่ยไปแล้วน่ะสิ?”

หนี่อู๋กำลังโลดแล่นอยู่ภายในห้องทำงานใหม่ของตนเองเพียงคนเดียว ครั้งนี้ไม่มีอาจารย์ตี้และตี้อู่หยาอยู่กับเขาด้วย เขาแสดงความตกใจออกมาเมื่อเห็นเซียวเฟิงกลับมาพร้อมกุญแจที่สมบูรณ์

“ผมฆ่ามันไปแล้วครั้งนึง แต่มันน่าจะกลับไปเกิดใหม่ ส่วนเรื่องเกิดใหม่นั่นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเกิดที่ไหน ตรงจุดที่มันตายมีแค่กุญแจนี้ที่หล่นอยู่เท่านั้น”

“ลิชก็แบบนี้แหละนะ พวกมันจะมีแกนชีวิตอยู่ สิ่งนี้ถือว่าเป็นร่างที่แท้จริงของมันด้วย ตราบใดก็ตามที่แกนชีวิตยังอยู่ วิญญาณของมันก็จะสามารถกลับไปยังแกนชีวิตแล้วเกิดใหม่ได้เรื่อย ๆ ยิ่งไปกว่านั้น พวกนี้น่ะ มันซ่อนแกนชีวิตเก่งนะ ไม่มีทางหาเจอหรอก” หนี่อู๋คิดตามแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย “แต่แค่นี้ข้าว่ามันก็ดีมากแล้ว เพราะการฆ่ามันตายแม้จะไม่ถาวรแต่ก็ถือว่าสร้างความเสียหายให้มันได้มหาศาล กว่ามันจะคืนชีพใหม่ได้ก็ต้องใช้เวลาอีกนานเลย คราวนี้ถ้ามันถูกฆ่าตายอีกละก็ น่าจะเกิดใหม่ไม่ได้แล้ว”

“ยังไงก็เถอะ ผมสงสัยว่าทำไมกุญแจผนึกถึงเปิดผนึกประตูที่อยู่ในมหาสุสานใต้พิภพไม่ได้ล่ะ?” เซียวเฟิงพยักหน้าแล้วถามต่อ

“เจ้าหมายถึง ผนึกที่อยู่ลึกสุดในมหาสุสานใต้พิภพงั้นหรือ? บางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวมาก ๆ ถูกผนึกไว้อยู่ในนั้น มันน่าจะเป็นสิ่งที่ลิชเค่อเสวี่ยพยายามชุบชีวิตมันอยู่แน่ ๆ เจ้าจะไปอยากเปิดประตูนั่นไปทำไม?” หนี่อู๋ดูจะประหลาดใจและเริ่มจ้องมองไปยังเซียวเฟิง

“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องตอบสักหน่อย ผมแค่อยากจะรู้ว่าทำไมกุญแจถึงเปิดประตูนั้นไม่ได้เท่านั้น” ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเลยว่าอะไรถูกผนึกไว้หลังประตูดังกล่าว เพราะตราบใดที่มันเป็นมอนสเตอร์ประเภทอันเดด เซียวเฟิงก็ไม่เกรงกลัวที่จะฆ่ามันหรอก ต่อให้เป็นระดับตำนานก็ตาม

“งั้นข้าขอดูกุญแจที่เจ้าได้มาหน่อย…” หนี่อู๋ยื่นมือไปรับกุญแจจากเซียวเฟิงมา แต่หลังจากที่ได้ทำการตรวจสอบแล้ว เขาก็ค่อนข้างจะแสดงความงุนงงออกมาชัดเจน “แปลก กุญแจนี่ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่นา ทำไมมันถึงเปิดประตูที่ถูกผนึกนั่นไม่ได้กันล่ะนั่น?”

หลังจากที่คืนกุญแจผนึกให้เซียวเฟิงไปแล้ว หนี่อู๋ก็เดินไปรอบ ๆ ห้องทำงานของตัวเองพลางเกาผมที่ยุ่งเหยิงของตนไปด้วย จากนั้นเขาก็พูดเรื่องที่เขายังไม่มั่นใจนักออกมา “หรือว่าผนึก ณ ที่แห่งนั้นอาจจะถูกทำลายไปแล้ว บางทีลิชเค่อเสวี่ยอาจจะต้องการที่จะปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ภายในผนึกนั้น แต่ไม่สามารถหาอีกครึ่งหนึ่งของกุญแจได้ เพราะงั้นก็เลยทำลายผนึกนั้นแทน หรือถ้าแย่กว่านั้นก็คือ สิ่งที่ควรจะหลับใหลอยู่ภายใต้ผนึกนั้นได้ตื่นขึ้นมาและทำลายผนึกด้วยตัวเอง…”

เซียวเฟิงพูดอะไรไม่ออก สิ่งที่หนี่อู๋พูดนั้นมันใช้เป็นสมมติฐานไม่ได้เลย เว้นเสียแต่ไอ้สิ่งที่แย่กว่านั่น เพราะที่รูกุญแจนั้นมีรอยแตกร้าวอยู่จริง ๆ ซึ่งมันค่อนข้างจะสอดคล้องกับสิ่งที่อีกฝ่ายคิดไว้อยู่มากเลยทีเดียว

ท้ายที่สุด เมื่อตกผลึกความคิดตนเองได้แล้ว เซียวเฟิงก็ตัดสินใจที่จะรีบมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบมู่กวางให้เร็วที่สุด ชายหนุ่มเริ่มสงสัยแล้วว่าผนึกที่กักขังเทวรูปตนนั้นไว้จะถูกทำลายไปแล้วหรือยัง ตอนนี้อย่างน้อย ๆ ก็ขอให้มันยังไม่ถูกทำลายเหมือนกับที่มหาสุสานใต้พิภพก็พอ

“เฮ้! ในเมื่อตอนนี้เจ้ามีกุญแจปลดผนึกแล้ว เจ้าอยากให้ข้าบอกเจ้าหรือเปล่าว่าศพของเทวทูตอยู่ที่ไหน? ถ้ายังไงเอากุญแจมาให้ข้าศึกษาเพิ่มเติมอีกสักหน่อย ยังไงเสียเจ้าก็เป็นอาร์คบิชอปของวิหารแห่งแสงอยู่แล้ว รวมไปถึงเป็นนักผจญภัยด้วย เพราะงั้นเจ้าก็ไม่ต้องกลัวสิ่งต้องห้ามของวิหารแห่งแสงอะไรทั้งนั้น”

หนี่อู๋ตะโกนตามท้าย กระนั้นเซียวเฟิงก็ไม่ได้สนใจเขาแล้ว นั่นเพราะตนเองนั้นรู้อยู่แล้วว่าศพของเทวทูตที่ว่ามันอยู่ไหนมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้

เขาเทเลพอร์ตตนเองไปยังเมืองเทียนหลงแล้วจึงเรียกเสี่ยวเสวี่ยออกมาเพื่อขี่ไปยังป่ามู่กวางที่อยู่นอกเมือง ซึ่งระหว่างทางเขาก็ได้รับสายโทรเข้าจากหลิวเฉียงเหว่ยไปด้วย

“เมืองแห่งความโศกเศร้าจะเปิดเร็ว ๆ นี้แล้วนะ” หลิวเฉียงเหว่ยพูดด้วยน้ำเสียงเชิงสอบถาม

“เอาตามที่เธอต้องการเลย ไม่ต้องขอความเห็นจากฉัน แค่บอกให้ฉันรู้ก็พอถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา จากนั้นฉันจะพยายามแก้ปัญหานั้นให้เอง” เซียวเฟิงพูดแล้ววางสายไป

จริง ๆ แล้วระหว่างที่คุยกับหลิวเฉียงเหว่ยนั้น เซียวเฟิงก็กำลังผ่านเมืองเทียนหลงไปด้วย ในฐานะที่เป็นเมืองหลักที่เป็นรองเพียงเมืองจักรวรรดิ ดังนั้นมันจึงมีปริมาณผู้เล่นที่หนาแน่นมากที่สุดในบรรดาเมืองหลักทั้งหมดในตอนนี้ และด้วยความที่มันต้องรองรับจำนวนคนปริมาณมหาศาลอยู่บ่อย ๆ มันเลยทำให้เมืองนี้มีที่รับรองมากพอที่จะรับคนที่เยอะเป็นพิเศษท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเขตฮัวเซีย แถมที่นี่ ยังเป็นเมืองอีกไม่กี่เมืองหลักที่ยังปลอดภัยอยู่ด้วย เพราะงั้นจึงมีผู้เล่นเข้ามารวมกันอยู่เยอะที่สุดในประวัติกาลเลย

และการที่มีคนมารวมกันอยู่มากมาย มันทำให้เรื่องราวต่าง ๆ ถูกพูดคุยกันให้ได้ยินอยู่ทุกแห่งหนด้วย ตั้งแต่ในเมืองยันนอกเมือง เซียวเฟิงได้ยินผู้คนมากมายพูดกันถึงเรื่องสถานการณ์ความวุ่นวายภายในเขตฮัวเซียจนปะติดปะต่อเรื่องได้หมดแล้ว

ผู้เล่นบางคนก็พูดถึงสถานการณ์ในฟากใต้แห่งนี้ ว่ามันจะหนักกว่าเดิมอีก กิลด์แอนติควิตี้นั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย พวกเขารุกหน้าประกาศสงครามกิลด์จนทำให้มีกิลด์ที่ถูกทำลายหรือกลายเป็นเบี้ยล่างเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเพราะแบบนี้แอนติควิตี้ถึงได้ขยายขนาดและไต่เต้าขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ในอันดับกิลด์ได้ พวกเขากลายเป็นยักษ์ตัวใหม่ประจำเขตไปแล้ว

ณ ปัจจุบันนี้แอนติควิตี้ก็ยังไม่หยุดประกาศสงคราม ราวกับว่าพวกเขาตั้งใจจะยึดกิลด์จากฟากใต้ทั้งหมดให้เป็นพวกตนเองให้ได้!

แม้ว่ากิลด์แอนติควิตี้จะวางตัวใหญ่และกดขี่ข่มเหงกิลด์อื่น ๆ จนยากที่จะยอมรับ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถต่อต้านได้เพราะความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายด้วย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กิลด์เดียวที่มีกำลังและอำนาจมากพอที่จะควบคุมทั้งแดนใต้ทั้งหมดก็เหลือเพียง มิดซัมเมอร์กิลด์ เท่านั้น!

ผู้เล่นมากมายเหล่านี้ต่างมั่นใจว่ามิดซัมเมอร์จะสามารถทำอะไรได้อย่างแน่นอน แม้ว่าตัวมิดซัมเมอร์เองจะยังไม่ได้แสดงท่าทีอย่างไรออกมาแม้แต่น้อย ยังไงเสียหากแอนติควิตี้ยังไม่หยุดคุกคามกิลด์อื่น สงครามก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แน่ ๆ!

ความเหิมเกริมของแอนติควิตี้ ทำให้ผู้เล่นจำนวนมากมารวมตัวกันในวันนี้เพราะเขาเชื่อว่า มิดซัมเมอร์ไม่ใช่กิลด์ที่จะโดนเล่นงานได้ง่าย ๆ มิเช่นนั้นแล้วเธอคงไม่สามารถขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ในอันดับกิลด์แห่งฮัวเซียได้ ดังนั้นแล้ว ความสามารถของมิดซัมเมอร์จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน! อย่าได้ดูถูกพวกเธอเชียว!

แล้วถ้าเมื่อไหร่ยักษ์ทั้งสองตนก้าวเข้าสู่สงครามแล้วล่ะก็ มันต้องกลายเป็นสิ่งที่สะเทือนไปทั้งโลกแห่งเกมอย่างแน่นอน!

นอกจากนี้ ผู้เล่นหลายคนยังเห็นกลุ่มผู้เล่นขนาดใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นเหล่าหัวเรือของกิลด์ต่าง ๆ ในฟากใต้ต่างก็มายังเมืองเทียนหลงและมุ่งหน้าไปยังแคมป์ของมิดซัมเมอร์กันด้วย ซึ่งในบรรดาหัวเรือเหล่านั้น หลายคนก็มาจากกิลด์ที่ถูกแอนติควิตี้ทำลายไป

การที่แอนติควิตี้รุกรานไปทั่วนี้ มันก็ก่อให้เกิดความขุ่นแค้นขึ้นมาลับ ๆ เช่นกัน ด้วยความที่โดนกดขี่อย่างเลี่ยงไม่ได้ มันทำให้ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรูกับแอนติควิตี้นั้นต่างพากันรวมตัวและมาหากิลด์มิดซัมเมอร์ ชัดเจนเลยว่านี่คงไม่ใช่สิ่งที่แอนติควิตี้สบายใจนักหรอก

และถึงแม้ว่านี่จะเป็นการนัดเจอลับ ๆ กับมิดซัมเมอร์กิลด์ แต่จำนวนกิลด์ที่มาก็มีมากถึงสามสิบกิลด์เลยทีเดียว!

“แสดงว่า กำลังหลักของกิลด์แอนติควิตี้ก็คือผู้เล่นดั้งเดิมของกิลด์กลอรี่กับผู้เล่นระดับสูงที่นำโดยเบลดมาสเตอร์งั้นเหรอ?”

ผู้ที่กำลังพูดอยู่คือสกาย เขาขมวดคิ้วขณะสอบถามเรื่องต่าง ๆ จากสมาชิกกิลด์อื่นที่ถูกกิลด์แอนติควิตี้ทำลายแคมป์ไป

“แล้วก็พวกกิลด์ที่ยอมอยู่เบื้องล่างแอนติควิตี้ด้วย แอนติควิตี้ไม่ได้ยุบรวบกิลด์พวกนั้นแต่อย่างใด พวกนั้นเพียงแค่สั่งให้กิลด์เหล่านั้นไปต่อสู้เพื่อแสดงความภักดีแลกกับการที่แอนติควิตี้จะไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือสร้างปัญหาใด ๆ กับกิลด์อีก แต่การที่กิลด์มากมายเข้าโจมตีพร้อม ๆ กันในครั้งเดียว มันก็ทำให้พลังในการต่อสู้ของแอนติควิตี้มากขึ้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เล่นที่ติดใจบางคนก็ตัดสินใจเข้าร่วมกับแอนติควิตี้ กลายเป็นการเสริมกำลังให้กิลด์นั้นไปโดยปริยาย”

ในส่วนของกิลด์ที่ถูกทำลายเพราะไม่ยอมเข้าร่วมนั้น พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับผีไร้ศาล ชื่อกิลด์บนหัวพวกเขาไม่ปรากฏอีกต่อไปแล้ว พวกเขาพยายามบอกเรื่องที่พบเจอมาให้กับสกาย แต่ขณะที่กำลังคุยกันอยู่ สายตาของพวกเขาก็เหลือบไปมองหลิวเฉียงเหว่ยผู้เด่นสง่าอยู่ตลอดเวลาด้วย

“ฉันเข้าใจว่าพวกนายต้องการอะไร ยังไงเสียสงครามระหว่างมิดซัมเมอร์กับแอนติควิตี้ก็คงต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ต้องมาโน้มน้าวก็ได้ มันเป็นเรื่องที่ดีหากพวกนายคิดจะแก้แค้น แต่พวกนายต้องฟังคำสั่งของมิดซัมเมอร์นะ”

ด้วยผ้าปิดหน้าสีขาวที่บดบังใบหน้าไว้ หลิวเฉียงเหว่ยยังคงไม่เปิดเผยใบหน้าดังเดิม กระนั้นก็ไม่มีใครสงสัยถึงความงดงามที่แท้จริงของเธอผู้เป็นนางในฝันอันดับ 1 ประจำเขตฮัวเซียเลยแม้แต่คนเดียว

เธอกวาดมองทุกคนที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งเป็นผู้เล่นจากกิลด์ต่าง ๆ ร่วมสามสิบกิลด์ ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรของมิดซัมเมอร์หรือกิลด์ที่เพิ่งเปิดใหม่ก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นผู้ที่โดนแอนติควิตี้ทำลายกิลด์ทิ้งไปทั้งสิ้น หลิวเฉียงเหว่ยพูดด้วยน้ำเสียงสูงส่งและไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในโทนเสียง เธอไม่ได้แสดงท่าทีหยิ่งผยองแต่อย่างใด แต่การยืนห่างจากผู้อื่นมาก ๆ ก็แสดงให้เห็นถึงความนิ่งสงบของเธอราวกับเย็นชากับทุกสิ่งอยู่ก็มิปาน

แววตาที่งดงามนั้นแสดงออกถึงความหนักแน่นที่ซ่อนอยู่ภายใน เธอพยายามหักห้ามความขุ่นเคืองที่มีต่อแอนติควิตี้ของตนเองเอาไว้ ดังนั้นนี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่เท่านั้น

“เธอหมายความว่ายังไงน่ะ? เธอจะออกคำสั่งพวกเราเหรอ? เธออยากจะกลายเป็นเหมือนแอนติควิตี้หรือไง?”

หัวหน้ากิลด์บางคนรู้สึกตกใจและหนักใจขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น บางกิลด์ก็รู้สึกผิดหวัง พวกเขาเริ่มเสียงแตกและบางคนก็แสดงอาการโกรธออกมาผ่านคำพูด

“ประตูอยู่ทางขวาของพวกนาย มิดซัมเมอร์ไม่ได้ต้อนรับพวกนายอยู่แล้ว เพราะงั้นถ้ายังไม่รู้จุดยืนของตัวเองก็เชิญออกจากที่นี่ไปเถอะ”

น้ำเสียงที่สูงส่งเริ่มแสดงความไม่แยแสออกมา ราวกับว่าเสียงนั้นมาจากยอดภูเขาหิมะที่เยือกเย็นและไร้ซึ่งชีวิต

“เธอ!!”

“โอเค ๆ นั่งลงก่อน อย่าลืมสิว่าพวกเรามาที่นี่กันเพราะอะไร พวกเราจะยอมแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันก็ได้หากว่ามันแลกมาด้วยการที่เธอสามารถปราบกิลด์แอนติควิตี้ได้ และเพื่อการนั้น เธอสามารถสั่งการพวกเราได้ พวกเราจะยอมอยู่ใต้คำสั่งของมิดซัมเมอร์ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะสามารถโน้มน้าวพวกเราให้ทำตามได้หรือเปล่านะ! แม้ว่าเธอจะเคยปราบกิลด์กลอรี่ได้นั้นจะนับว่ายิ่งใหญ่แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เรายอมทำตามหรอก!”

“เดี๋ยวพวกนายจะได้รู้… ในเร็ว ๆ นี้แน่”