บทที่ 227.2 ออกกระบี่แล้ว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 227.2 ออกกระบี่แล้ว โดย ProjectZyphon

ด้านในตำหนักใหญ่ที่เฉินผิงอันยืนหันหลังให้ก็คือตำหนักอภิบาลเมืองที่บูชาเทวรูปสามองค์ซึ่งรวมถึงเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินไว้ด้วย เทวรูปเสิ่นเวินสูงสามจั้งกว่า คนที่มาจุดธูปกราบไหว้จำเป็นต้องเงยหน้ามอง เทวรูปบุ๋นบู๊ที่อยู่สองฝั่งซ้ายขวาก็สูงสองจั้ง องค์หนึ่งถือคทาเหล็ก อีกองค์หนึ่งถือตราประทับทางการ

เล่าลือกันว่าเมื่อสองร้อยปีก่อนมีนักพรตแซ่จางจากต่างทวีปคนหนึ่งเดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่แห่งนี้ ด้วยความประทับใจต่อประเพณีนิยมของชาวเมืองแยนจือ หลังกลับไปถึงบ้านเกิดเขาได้เป็นเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ และไม่นานก็มอบ ‘ตราประทับเสี่ยนโย่วโป๋อภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี’ มาให้ชิ้นหนึ่ง

และในเวลานั้นผู้คนถึงได้รู้ว่าที่แท้นักพรตหนุ่มเป็นถึงชนชั้นสูงหวงจื่อแห่งจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ เรื่องเล่าที่งดงามเรื่องนี้คนรู้กันครึ่งทวีป ในกลุ่มชาวบ้านก็มีการเล่าลือต่อๆ กันไป และตราประทับเนื้อทองที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ชิ้นนั้นก็ถูกฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีเก็บรักษาอยู่ในคลังสมบัติแห่งชาติไปนานแล้ว

ด้านในตำหนักเทพอภิบาลเมืองยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ยักษ์ บนภาพมีสาวงามที่สวมเสื้อแขนกว้างกำลังร่ายระบำเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดคน

ถูกคนรุ่นหลังขนานนามว่า ‘หมึกสีมีชีวิต เป่าลมใส่มีชีวา’

เฉินผิงอันเห็นว่าสตรีชุดขาวผู้นั้นไม่สะทกสะท้านก็ไม่พูดอะไรมากอีก เขาแอบตบไปยังน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ห้อยไว้ตรงเอวเบาๆ

พอหมุนตัวกลับมาก็ปล่อยหมัดต่อยลงไปบน ‘ผิวน้ำแข็ง’ นั่นหนึ่งครั้ง เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก เทวรูปสามองค์ที่อยู่ด้านในถึงกับโยกคลอนตามไปด้วย

เฉินผิงอันเดินช้าๆ ด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าว ปล่อยหมัดต่อยลงบนชั้นน้ำแข็งครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ก็คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า

แน่นอนว่ายังต้องป้องกันเผื่อสตรีที่อยู่ตรงป้ายหินจะแว้งมาทำร้ายด้วย

เสียงถอนหายใจเสียงหนึ่งดังมาจากด้านบนของต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า เป็นเสียงของเด็กสาวผู้หนึ่ง

“เจ้าโง่ นั่นคือค่ายกลที่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตห้าสองคนร่ายไว้เองกับมือ ต่อให้เป็นอาจารย์ของข้าก็ยังต้องจนปัญญาไปชั่วขณะ ไม่อย่างนั้นทำไมท่านเทพอภิบาลเมืองถึงออกมาไม่ได้เล่า เจ้าแค่เป็นวรยุทธ์งูๆ ปลาๆ ก็คิดจะทำลายมันให้ได้อย่างนั้นหรือ? เก็บแรงไว้เถอะ ฉวยโอกาสที่ผีสาวตนนั้นยังไม่คิดจะฆ่าเจ้า รีบออกไปจากที่นี่ซะ ไม่อย่างนั้นคราวหน้าหากมีคนโง่บุกเข้ามาอีกครั้ง หุ่นเชิดที่ถูกชักใยให้ร่ายรำตัวต่อไปก็จะเป็นเจ้าแล้ว”

อาจจะเป็นเพราะหมัดของเฉินผิงอันต่อยอย่าง ‘ตามใจปรารถนาเกินไป’ ดังนั้นจึงมองไม่ออกถึงพลังอำนาจที่ซ่อนอยู่แม้แต่น้อย

นี่ทำให้เด็กสาวนิสัยประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้เกิดใจดูแคลน

หลังจากที่ต่อสู้กับหม่าขู่เสวียนไปบนถนนเส้นเล็ก ปณิธานหมัดของเฉินผิงอันในเวลานี้จึงยิ่งเก็บอำพรางได้ลึกล้ำมากขึ้น ท่าเดินนิ่งที่ใช้ในเวลาฝึกหมัดยามปกติยิ่งช้ามากขึ้นและยิ่งสอดคล้องกับคำว่า ‘บำรุงด้วยความอบอุ่น’ มากขึ้น โดยทั่วไปแล้วทักษะด้านวรยุทธ์ขั้นต่ำในยุทธภพ การที่หมัดนอกตำราสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ ‘เรียกผีร้ายเข้าตัว’ ก็เพราะใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้เข้าสำนักที่ได้มาตรฐาน เป็นเหตุให้ยิ่งปล่อยหมัดเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งทำลายร่างกายและจิตวิญญาณมากเท่านั้น

ถึงแม้ว่าการเดินนิ่งของเฉินผิงอันจะเชื่องช้า แต่ความเร็วในการโคจรลมปราณตอนฝึกเดินนิ่งเจี้ยนหลูกลับเร็วกว่านับเท่าไม่ถ้วน หากเปรียบเทียบว่าก่อนหน้านี้คือการส่งข่าวตามจุดพักม้าที่ต้องใช้ม้าเร็ว ตอนนี้ก็คือสามารถควบม้าเร็วได้แปดร้อยลี้ในวันเดียว

สภาพการณ์มหัศจรรย์อย่างการ ‘เก็บซ่อนอำพราง’ นี้ หากไม่ใช่ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตหกหรือเจ็ดย่อมไม่สามารถมองตื้นลึกหนาบางออก

สตรีชุดขาวพลันหยุดร้องเพลง หันหน้ามาจ้องหมัดที่สิบแปดของเฉินผิงอันเขม็ง

หนึ่งหมัดต่อยไป ประหนึ่งระฆังใบใหญ่ที่ถูกตีดังกังวาน ลมปราณของตลอดทั้งลานกว้างสะเทือนเลือนลั่น ป้ายศิลาที่อาบไปด้วยเลือดสดปริแตกเป็นรอยร้าวเสียงดังสนั่น

นางกรีดร้องเสียงแหลมบาดแก้วหูเหมือนแม่ทัพที่ออกคำสั่ง เหล่าหญิงสาวที่อยู่ในสองตำหนักจึงกลายร่างมาเป็นควันเข้มข้นที่กลิ้งหลุนๆ สองเส้น เส้นหนึ่งหลอมรวมเข้ากับพื้นผิวน้ำแข็งชั้นนั้น ใช้จิตวิญญาณวัตถุหยินที่หลงเหลืออยู่ของพวกนางมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลสกปรกแห่งนั้น ควันดำอีกเส้นหนึ่งกระโจนเข้าหาเฉินผิงอัน พยายามที่จะทำลายปณิธานหมัดที่เชื่อมโยงต่อกันเป็นสายของเขา ไม่ให้เขาปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเป็นหมัดที่สิบเก้าได้

“จะถูกคนมุทะลุอย่างเจ้านำหายนะมาให้แล้ว! หากวันนี้ข้าตายอยู่ที่นี่ ถึงเวลานั้นพวกเราสองคนเดินบนเส้นทางสู่น้ำพุเหลืองด้วยกัน คอยดูเถอะข้าจะด่าเจ้าให้ตายไปเลย…ตายซ้ำตายซ้อนเข้าไปอีก…ข้ายังไม่ทันได้ตายก็จะหงุดหงิดตายไปก่อนแล้ว!”

บนยอดต้นไม้โบราณ เด็กสาวบ่นจบก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เรือนกายอรชรของนางพุ่งพรวดออกมาก่อให้เกิดเสียงกระพรวนกรุ๊งกริ๊งใสกังวาน เมื่อเสียงนั้นล้อมวนไปรอบกายนางก็มีดอกไม้สีทองอ่อนจางเป็นวงๆ ผุดลอยขึ้นมา เมื่อบวกเข้ากับร่างสะโอดสะองของนางจึงเรียกได้ว่างดงามเจริญหูเจริญตา

มุมปากบนใบหน้าที่ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ม่านผมหนาดกของสตรีชุดขาวกระดกโค้ง ดวงตามีแววเย้ยหยันเย็นชา

นางยื่นมือกระดูกสองข้างออกมาตบเบาๆ

จากนั้นเทวรูปบุ๋นบู๊ที่ตั้งขนาบอยู่สองฝั่งซ้ายขวาของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ส่งเสียงออดแอดคล้ายมีชีวิต สะเก็ดฝุ่นจำนวนมหาศาลร่วงกราวฟุ้งไปทั่ว พวกเขาเดินออกมาจากแท่นบูชาในเวลาเดียวกัน เหยียบลงบนแผ่นกระดานสีดำในตำหนักหลักเสียงดังครืนครั่น

จากนั้นเทวรูปดินเผาสูงสองจั้งทั้งสององค์ก็เดินพรวดออกมาจากในตำหนักหลัก รูปปั้นที่ถือคทาเหล็กไว้ในมือใช้คทาต้านรับหมัดที่พุ่งเข้ามาแสกหน้าของเด็กหนุ่ม ส่วนเทวรูปขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ถือตราประทับไว้ในมือ พอเดินข้ามธรณีประตูออกมาได้ก็ใช้ตราประทับเหล็กขนาดใหญ่ยักษ์ตบใส่เด็กสาว

เดิมทีเมื่อค่ายกลถูกทำลายก็จะสามารถทำให้เทพอภิบาลเมืองกลับคืนมาเป็นอิสระได้ นี่ต่างหากถึงจะเป็นการดำเนินไปของสถานการณ์ที่สมเหตุสมผล ไหนเลยจะคิดว่ากระบวนท่าสังหารที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ลานกว้างนอกศาล ไม่ได้อยู่ที่สตรีชุดขาว แต่อยู่ในตำหนักของเทพอภิบาลเมืองที่ฝากความหวังเอาไว้? ถ้าอย่างนั้นเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองที่ควรได้ครอบครองร่างทองขององค์เทพไปอยู่ที่ไหนกันแน่?

ในตำหนักเทพอภิบาลเมือง เทวรูปของเทพอภิบาลเมืองที่ตั้งอยู่ตรงกลาง สูงใหญ่และเปี่ยมบารมีอำนาจมากที่สุดซึ่งเดิมทีควรมีร่างสีทองเปล่งประกาย เวลานี้กลับหม่นหมองไร้แสง ท่ามกลางเศษชิ้นส่วนสีทองที่แตกกระจายอยู่เต็มพื้นมีเพียงในดวงตาเท่านั้นที่เหลือประกายแสงสีทองริบหรี่ ไม่ว่าคนเมืองแยนจือคนไหนมาเห็นก็คงไม่กล้าเชื่อว่านี่คือ ‘เทพอภิบาลเมืองร่างทอง’ ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของพวกเขา

เพราะตามบันทึกในอักขรานุกรมของเมืองแยนจือ เทวรูปรูปนี้ถูกแปะด้วยทองคำเปลวจากทองเกือบหนึ่งร้อยตำลึง ด้วยเรื่องนี้เจ้าเมืองของรุ่นนั้นยังขอรับบริจาคจากเหล่านายท่านนายหญิงที่เป็นพ่อค้าหรือไม่ก็เศรษฐีที่ร่ำรวยในเมือง เมื่อบริจาคสำเร็จยังตั้งใจสร้างป้ายผู้อนุโมทนาบุญสลักชื่อแซ่วงศ์ตระกูลของคนที่ออกเงินทุนทุกคนลงไป

เทวรูปหลักที่บนร่างไม่เหลือทองคำเปลวแม้แต่ชิ้นเดียวเปล่งเสียงอย่างยากลำบาก น้ำเสียงที่แหบพร่าดังมาถึงธรณีประตู “พวกเจ้าสองคนรีบหนีไป พวกนอกรีตไม่รู้ที่มาเหล่านั้นมีจำนวนมากเกินไป สถานที่แห่งนี้มีแค่ผีชุดขาวตนเดียวเท่านั้น หากพวกเจ้าหนีไปได้ต้องนำข่าวไปแจ้งเซียนซือของสำนักโองการเทพ หรือไม่ก็เหล่าปราชญ์วิญญูชนแห่งสำนักศึกษากวานหู บอกพวกเขาว่าแคว้นไฉ่อีประสบหายนะครั้งใหญ่ หากแคว้นต้องล่มสลาย อีกหกแคว้นโดยรอบซึ่งรวมถึงแคว้นกู่อวี๋ก็ไม่มีหวังว่าจะรอดพ้นไปได้!”

ที่แท้เทพอภิบาลเมืองซึ่งเดิมทีควรปกป้องชาวบ้านในเมืองก็กลายมาเป็นเหมือนรูปปั้นพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำที่แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด

นอกธรณีประตูของตำหนักหลัก

ก่อนหน้านี้เด็กสาวที่ทั้งข้อมือข้อเท้าต่างก็รัดกระพรวนสีเงินได้ช่วยเฉินผิงอันสกัดควันดำเส้นนั้นเอาไว้ได้ ทุกที่ที่เสียงกระพรวนสี่ลูกดังขึ้นจะต้องมีดอกไม้สีทองอ่อนจางจำนวนนับไม่ถ้วนผลิบาน มองแล้วละลานตา ควันดำที่เดิมทีพุ่งเข้ามาอย่างดุดันถูกฟาดฟันจนแหลกกระจาย แต่เด็กสาวเองก็ถูกควันดำที่กระจายตัวเป็นสายเล็กๆ รัดพันไปตามจุดต่างๆ ของร่างกายจนนางกระอักเลือด แต่ก็ยังยืนหยัดไม่ยอมถอยหนี ยืนอยู่ใกล้กับเจ้าคนมุทะลุผู้นั้น ข้อมือส่ายสะบัด เสียงกระพรวนดังเป็นระลอก กลีบดอกไม้สีทองค่อยๆ สลายควันดำที่ปะปนมากับเสียงร้องโหยหวนให้หายไปทีละนิด

ส่วนเฉินผิงอันจึงต่อยหมัดที่สิบเก้าออกไปอย่างผ่อนคลาย

จากนั้นควันดำอีกเส้นหนึ่งที่เหลืออยู่ก็พุ่งเข้าไปผสานรวมใน ‘ผิวน้ำแข็ง’ ที่กั้นขวางระหว่างภายในกับภายนอกของตำหนักหลัก ช่วยค่ายกลลดทอนอานุภาพทบทวีของหมัดที่สิบเก้ากระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า

จากนั้นก็เป็นเทวรูปดินเผาที่ ‘ทรยศ’ ทั้งสอง ตนหนึ่งโบกคทาแทงเข้าไปที่ศีรษะของเฉินผิงอัน อีกตนหนึ่งถือตราประทับเหล็กตบเข้าที่ท้ายทอยของเด็กสาว

สีหน้าของเฉินผิงอันยังคงเป็นปกติ เขาปล่อยหมัดที่ยี่สิบออกไปด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ ต่อยจนค่ายกลสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แม้ว่าจะยังไม่ปริแตก แต่ก็คลอนแคลนเต็มที อย่างมากที่สุดอีกแค่ก้าวเดียวก็คงทำลายได้

แต่เฉินผิงอันก็จนใจยิ่งนัก เพราะเขาไม่อาจทนมองเด็กสาวคนนั้นถูกเทวรูปขุนนางฝ่ายบุ๋นที่พุ่งตัวออกมาจากตำหนักตบตายด้วยตราประทับ หมัดที่ยี่สิบเอ็ดของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าจึงปล่อยใส่ค่ายกลไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาก็มีโอกาสที่จะปล่อยหมัดสุดท้ายออกไป

พื้นหินใต้เท้าของเฉินผิงอันปริแตก ร่างทั้งร่างหายวับไป หลบพ้นคทาที่พุ่งเข้าแสกหน้าของเทวรูปฝ่ายบู๊ตนนั้นมาได้ มาหยุดอยู่ด้านข้างเทวรูปฝ่ายบุ๋นในเสี้ยววินาที ใช้กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบต่อยเข้าที่หน้าท้องของเทวรูป

นี่เป็นหมัดช่วยชีวิต ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่กล้ากักเก็บพลังเอาไว้ เป็นเหตุให้ตอนที่ออกหมัด รอบแขนของเขาถูกล้อมวนไปด้วยปณิธานแห่งหมัดสีขาว ประหนึ่งพายุลมกรดซึ่งมาพร้อมกับเสียงฟ้าคำราม

เทวรูปดินเผาสูงสองจั้งถูกเฉินผิงอันต่อยจนไถลออกไป เท้าสองของรูปปั้นใหญ่ยักษ์ไถคราดจนบนพื้นเกิดร่องลึก

เด็กสาวได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านหลังจึงหันหน้ามามอง นั่นถึงพอจะทำให้นางคาดเดาต้นสายปลายเหตุได้ เมื่อมองไปยังเด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้หน้าตาไม่สะดุดตาอีกครั้ง สายตาของนางจึงฉายแววทึ่มทื่ออย่างห้ามไม่ได้

เฉินผิงอันไม่สนว่าเด็กสาวจะคิดอย่างไร มือสองข้างของเขาหยุดค้างคล้ายจะออกหมัด แต่อันที่จริงในชายแขนเสื้อทั้งสองกลับมียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเนื้อกระดาษสีทองกลิ้งออกมาแนบอยู่กับใจกลางฝ่ามือ หลังจากที่คทาของเทวรูปฝ่ายบู๊วืดลงกลางความว่างเปล่าก็กระแทกลงบนพื้นจนก้อนอิฐระเบิดแตก พอยืดเอวขึ้นตรงก็หันกลับไปฟาดคทาใส่เฉินผิงอันอีกครั้ง

การเดินทางลงใต้ครั้งนี้ของเฉินผิงอัน แม้ว่าจะฝึกท่าหมัดอย่างเชื่องช้ามานับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อเขาต้องการจะเร็ว

ก็เร็วได้จริงๆ!

คทายังคงพลาดเป้า ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันมาอยู่ด้านหน้าเทวรูปแม่ทัพฝ่ายบู๊ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาแตะปลายเท้าเบาๆ ร่างก็พุ่งทะยานขึ้นสูง ฟาดฝ่ามือตบลงบนหน้าผากของรูปปั้นอย่างแรง

แสงสีทองเจิดจ้าสว่างไสว!

รอบกายเทวรูปดินเผาแม่ทัพบู๊มีเจดีย์สีทองที่สูงกว่าใหญ่กว่าร่างเขาเล็กน้อยปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า สายฟ้าแลบแปลบปลาบดุจมังกรว่ายวน

และเทวรูปก็เหมือนถูก ‘ตั้งบูชา’ อยู่ในเจดีย์วิเศษแห่งนี้

ทว่าแท้จริงแล้วมันต้องลิ้มชิมรสชาติเช่นไร ดูจากที่ร่างใหญ่ยักษ์ปริแตกไปทีละชุ่นก็พอจะมองออก ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไร จะฟาดคทาเหล็กเคาะ ทุบ ตีหรือกระแทกอย่างไร ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจก็กักตัวมันไว้ข้างในอย่างแน่นหนา

หลังจากเรียกใช้ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองแผ่นที่หนึ่งไปแล้ว เฉินผิงอันก็ถีบสองเท้าเข้าที่หน้าอกของเทวรูปแม่ทัพ อาศัยแรงสะท้อนดีดตัวออก แล้วก็หายวูบไปอีกครั้ง ใช้ความเร็วที่มากว่าเดิมมาหยุดอยู่ตรงหน้าเทวรูปฝ่ายบุ๋นที่กำลังพุ่งเข้าหาเด็กสาวอย่างว่องไวแล้วตบยันต์ลงไปอีกครั้ง คราวนี้ยันต์สีทองแปะลงบนตราประทับเหล็กพอดี

เทวรูปสูงใหญ่เหมือนถูกขุนเขากดทับลงมา เข่าสองข้างงอลง ตรงหัวเข่ามีเศษผงหลุดร่วงระนาว เกือบจะล้มหงายหลัง

เท้าทั้งสองข้างของเฉินผิงอันยังไม่ได้สัมผัสพื้น หลังจากเรียกใช้ยันต์ที่เปล่งแสงสีทองไปแล้ว ร่างก็ไต่ขึ้นสูงต่อเนื่อง ขึ้นไปยืนเหยียบอยู่บนศีรษะของเทวรูป มองไปยังสตรีชุดขาวที่อยู่บนยอดของป้ายศิลา สองฝ่ายต่างคุมเชิงกันและกัน

เฉินผิงอันไม่ได้หยุดชะงัก เขาพุ่งตัวเข้าหาป้ายหินใต้ต้นสนโบราณราวกับบินทะยานอยู่กลางสายลม ยื่นมือตบลงไปบนกล่องกระบี่ เอ่ยเบาๆ ว่า “ปราบมาร!”

กระบี่ไม้ไหวดีดตัวออกจากฝัก และถูกเฉินผิงอันคว้าจับไว้ด้วยมือข้างเดียว

หนึ่งกระบี่พุ่งทะยาน

รวดเร็วว่องไว ดูไปแล้วสง่างามไม่น้อย

—–