บทที่ 228.1 ชูอี สืออู ตามข้ามาปราบมาร โดย ProjectZyphon
ในมือเฉินผิงอันถือกระบี่ไม้ไหวฟาดฟันเข้าใส่สตรีชุดขาวที่นั่งอยู่บนป้ายศิลา
ไม่ได้มีกระบวนท่าใดๆ และบนกระบี่ไม้ก็ไม่มีแสงวิเศษเข้มข้นที่สามารถสยบวัตถุหยินได้
มุมปากของสตรีชุดขาวกระตุกขึ้น แม้ในใจจะรู้สึกดูแคลน แต่ในเมื่อเด็กหนุ่มสามารถสยบเทวรูปสององค์ได้สำเร็จ นางก็ไม่อยากจะประมาทเกินไป เล่นเป็นเพื่อนเขาสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรสถานที่อย่างศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้ หากรักษาไว้ได้ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าจะทิ้งไปก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรเดี๋ยวก็มียอดฝีมือที่เก่งกว่านางแย่งชิงกลับมาอยู่ดี
เห็นเพียงว่านางยกมือปาดไปตรงช่วงเอวอย่างรวดเร็ว กระบี่ยาวไร้ฝักเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ตัวกระบี่เป็นสีแดงสด เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่ทำให้คนสะอิดสะเอียน ซึ่งก่อนหน้านี้นางน่าจะใช้เวทอำพรางตาเอาไว้ทำให้มองไม่เห็น
ตอนที่มือกระดูกของนางปาดผ่านกระบี่เล่มยาว สัมผัสเข้ากับคมกระบี่ก็เกิดประกายไฟแลบเป็นทอดๆ ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีกำไลมรกตวงหนึ่งกลิ้งออกมาจากข้อมือของนางแล้วหมุนติ้วๆ รอบกายนางอย่างรวดเร็วจนไม่อาจจับร่องรอยของมันได้ ความเร็วนั้นมากอย่างถึงที่สุดเป็นเหตุให้เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็มองไม่เห็นกำไล เห็นเป็นเพียงวงแสงสีเขียวมรกตเท่านั้น
สำหรับผู้ฝึกลมปราณบนโลก แน่นอนว่ายิ่งมีสมบัติอาคมก็ยิ่งดี นี่คือหลักการเดียวกับข้อที่ว่าพวกชาวบ้านไม่มีใครรังเกียจเงินที่หนักมือ แต่ถึงอย่างไรอาวุธวิเศษและอาวุธอาคมที่สมชื่อก็หายากและล้ำค่ามากเกินไป หากโชคดีได้ครอบครองสองชิ้น โดยทั่วไปแล้วจะพยายามให้เป็นอาวุธที่เอามาใช้ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน หนึ่งชิ้นใช้รุกสังหารให้ศัตรูล่าถอย อีกหนึ่งชิ้นใช้ป้องกันรักษาชีวิตของตัวเอง รุกสามารถต้านรับ ถอยสามารถปกปักษ์ มั่นใจเต็มร้อยว่าจะไม่มีวันพลาด
ยกตัวอย่างเช่นเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารของปีศาจแซ่ฉู่ที่บ้านโบราณซึ่งสามารถกลายมาเป็นเสื้อเกราะกวางหมิงที่ถือเป็นของที่ดีที่สุดในบรรดาอาวุธวิเศษที่ใช้ในการป้องกันตัว
กระบี่พกสีแดงฉาน รวมไปถึงกำไลข้อมือสีมรกตของสตรีชุดขาว หนึ่งรุกหนึ่งป้องกัน ก็คือหลักการเดียวกันนี้
นับตั้งแต่เด็กหนุ่มจากต่างถิ่นที่สะพายกล่องกระบี่ไว้ด้านหลังกับยันต์ประหลาดที่ระดับสูงมากของเขาบังคับสยบเทวรูปของขุนนางบุ๋นบู๊เอาไว้ได้ จนถึงตอนที่เขาเหยียบขึ้นไปบนหัวของรูปปั้น ถือกระบี่ไม้ไว้ในมือแล้วกระโจนเข้ามาเข่นฆ่า อันที่จริงเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
เพียงเสี้ยววินาทีกระบี่ไม้ไหวก็พุ่งมาถึง
สตรีชุดขาวยกกระบี่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแค่วาดกระบี่ในแนวขวางง่ายๆ หนึ่งที เหนือศีรษะของนางก็มีปราณกระบี่สีแดงสดปรากฏขึ้นหนึ่งเส้น หากเด็กหนุ่มหลบไม่ทันก็จะถูกปราณกระบี่นั้นตัดเอวให้ร่างขาดครึ่งท่อน
แต่จู่ๆ เด็กหนุ่มคนนั้นก็หายตัวไป
ยันต์ย่อพื้นที่!
สตรีชุดขาวรู้ทันทีว่าท่าไม่ดีแล้ว
เคร้ง!
เสียงเหมือนโลหะกระทบดังขึ้นบนลานกว้างอย่างไม่ทราบสาเหตุ
หลังจากนั้นก็เป็นเสียงเคาะตีที่ดังรัวติดต่อกัน ถี่กระชั้นเร่งร้อนเหมือนเสียงหยดฝนตกกระหน่ำที่กระแทกลงบนหลังคาบ้าน
สีหน้าของสตรีชุดขาวแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางบิดเอวพุ่งตัวออกมาจากยอดบนสุดของป้ายหินอย่างรวดเร็ว ชุดขาวกระบี่แดง หนึ่งแดงหนึ่งขาวบินวนรอบต้นสนโบราณที่เป็นสีเขียวขจีขึ้นสู่เบื้องบนคล้ายกำลังหลบเลี่ยงอะไรบางอย่าง สตรีจงใจทิ้งระยะห่างกับกำไลสีเขียวมรกตประมาณสองจั้ง ทั้งสามารถบังคับควบคุมมันได้ตามใจชอบ แล้วก็สามารถหลบเลี่ยงไม่ให้ตัวเองติดร่างแหไปด้วย
นั่นมันกระบี่บิน!
ไม่นึกเลยว่าเด็กหนุ่มจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถบังคับกระบี่บินให้สังหารศัตรู!
กระบี่ไม้ปราบมารอะไรนั่น ที่แท้เป็นแค่ตัวหลอกที่ทำให้คนหลงเข้าใจผิด! กระบวนท่าสังหารที่แท้จริงก็คือกระบี่บินที่ยังไม่เผยโฉมแท้จริงเล่มนั้น
อายุน้อยๆ แต่กลับมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนและโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้! มิน่าเล่าถึงกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ฝึกตนได้สำเร็จยากที่สุดในบรรดาผู้ฝึกลมปราณ
ฟังจากเสียงที่ดังรัวไม่หยุดนั้น สตรีชุดขาวก็ให้เสียดายอย่างสุดซึ้ง ต่อให้กำไลมรกตจะมีสติปัญญามากแค่ไหนก็ไม่สามารถทนรับการรังแกจากกระบี่บินแบบนี้ได้ เพราะไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ไม่ต่างจากการขยี้บุปผางามด้วยฝ่าเท้า
กำไลมรกตที่มีชื่อว่า ‘ปิงนั่ว (ข้าวเหนียวน้ำแข็ง)’ คืออาวุธวิเศษชั้นเยี่ยมที่บุรพาจารย์มอบให้นางเองกับมือ ไม่ได้มีดีที่ความทนทานแข็งแกร่ง แต่หลักๆ แล้วเอามาใช้ต้านทานท่าไม้ตายอย่างกะทันหันจากพวกเซียนซือทั้งหลาย เพราะถึงอย่างไรบุรพาจารย์ก็พอจะคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่า การช่วงชิงสมบัติสยบแคว้นของแคว้นไฉ่อีอย่างลับๆ ในครั้งนี้ต้องเป็นสงครามนองเลือดที่ผู้คนบาดเจ็บล้มตายกันมหาศาลอย่างแน่นอน ผู้ฝึกลมปราณที่มาจากตระกูลเซียนมีชื่อเสียงไม่ได้มีความกล้าในการเข่นฆ่าหรือต่อสู้สุดชีวิตเท่าใดนัก แต่เวทลับวิชาอนิหารที่ลึกลับและสมบัติอาคมที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นกลับมีให้ใช้ไม่หวาดไม่ไหว อย่างไรก็จำต้องป้องกันตัวเอาไว้ก่อน
ตอนนี้สตรีชุดขาวยังไม่สามารถจับทิศทางการโคจรของกระบี่บินเล่มนั้นได้ แล้วก็ไม่กล้าเก็บกำไลหยกกลับมา นี่ทำให้นางโมโหสุดขีด เป็นครั้งแรกที่ไฟโทสะพุ่งท่วมเทียมฟ้า หากกำไลหยกต้องแตกสลายไปทั้งอย่างนี้ ถ้าเช่นนั้นการเดินทางมาเยือนแคว้นไฉ่อีในครั้งนี้ของนาง ไม่พูดถึงพันธมิตรคนอื่น เอาแค่ตัวนางเองก็ถือว่าได้ไม่คุ้มเสียแล้ว ต่อให้สุดท้ายจะประสบความสำเร็จ ถึงเวลาแบ่งของรางวัลกัน ของที่ตกมาถึงมือของนางก็คงมีค่าเทียบเท่ากำไลชิ้นนี้ไม่ได้
เส้นผมสีนิลของสตรีชุดขาวร่ายระบำอย่างบ้าคลั่ง เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
นางก็คือสตรีสวมชุดสีสันสดใสที่ขึ้นเวทีแสดงก่อนใครบนแท่นสูงใจกลางทะเลสาบก่อนหน้านี้ นางในเวลานั้นไม่รู้ว่าทำให้บุรุษในเมืองแยนจือตั้งกี่คนเห็นเป็นเทพธิดา ได้แต่เจ็บใจตัวเองที่ไม่อาจโอบนางมารักใคร่อยู่ในอ้อมกอด
เมื่อเป็นเช่นนี้ เทพเซียนผู้เฒ่าที่มองดูแล้วมีกลิ่นอายของความเป็นเซียนเปี่ยมล้นผู้นั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นหนึ่งในผู้บงการ
แต่คนกลุ่มนี้ทำตัวผยองพองขนขนาดนี้ ผู้ฝึกลมปราณในแคว้นไฉ่อีจะไม่มีใครมองความจริงออกเลยหรือไง?
เฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนลานกว้างอึ้งตะลึง หัวใจหนักอึ้งโดยพลัน เก็บกระบี่ไม้ไหวกลับลงไปในกล่องกระบี่ ปลดน้ำเต้าลงมาดื่มเหล้าด้วยความเคยชิน
เห็นว่าเด็กหนุ่มยังมีอารมณ์ดื่มเหล้า สตรีชุดขาวก็โมโหจัดจนขำ อาภรณ์ที่ล่องลอยเผยให้เห็นข้อมือและข้อเท้าที่ล้วนเป็นกระดูกสีขาว คิดดูแล้ว ‘เรือนกายอรชร’ ที่อยู่เบื้องใต้ชุดสีขาวก็น่าจะมีสภาพเดียวกันนี้
มีเพียงใบหน้าของนางที่เลือดและเนื้อยังอยู่ครบ อีกทั้งยังงดงามสะคราญโฉมอย่างยิ่ง
ที่แท้ก็เป็นสาวงามโครงกระดูก ไม่ถูกสิ ต้องบอกว่าเป็นผีงามโครงกระดูกถึงจะถูก
เมื่อพอจะมั่นใจได้แล้วว่ากระบี่บินไม่สามารถทำลายกำไลข้อมือได้ ได้แค่ต่อสู้ประชิดตัวกับตน ในใจของสตรีชุดขาวก็พอจะแน่ใจได้คร่าวๆ ถ้าอย่างนั้นจะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้าโจรก่อน สังหารเด็กหนุ่มให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน เขารนหาที่ตายเองก็โทษคนอื่นไม่ได้ เดิมทียังคิดจะเล่นสนุกกับเขาสักพักหนึ่ง ไหนเลยจะคิดว่าเขาจะเป็นเด็กหัวรั้นที่รับมือได้ยากขนาดนี้
เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วอย่างไร ขอแค่ไม่ใช่เซียนกระบี่ใหญ่ที่เป็นดั่งภาพมายาล่องลอย ต่อให้เป็นเซียนกระบี่เล็กขอบเขตห้ากลางค่อนไปทางบน เมื่อมาอยู่ในเมืองแยนจือแห่งนี้ ขอแค่กล้าเสนอหน้าก็ต้องตายทั้งหมด!
บนลานกว้างเล็กๆ หน้าตำหนักศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้แบ่งออกเป็นพื้นที่การต่อสู้สามส่วนโดยที่มองไม่เห็น ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองสองแผ่นกำลังเผาผลาญปราณปีศาจของเทวรูปดินเผาทั้งสองไปอย่างช้าๆ ดินเผาบนร่างรูปปั้นแตกกระจายปลิวว่อนไปทั่วสี่ทิศ เสียงปริแตกดังขึ้นไม่ขาดสาย ไม่ว่ารูปปั้นทั้งสองจะร้องคำรามอย่างไร เจดีย์วิเศษที่จำแลงมาจากยันต์สยบปีศาจก็ยังมีสายฟ้าถักทอ ประหนึ่งองค์เทพสายฟ้าถือแส้ฟาดโบยกำจัดความชั่วร้าย กำราบพวกมันไว้อย่างอยู่หมัด
ต่อมาก็เป็นกระบี่บินชูอีที่เฉินผิงอันเรียกตัวออกมา คราวนี้มันไม่มีการเกริ่นนำก่อนออกจากน้ำเต้าแล้ว แต่บินพรวดออกไปอย่างเงียบเชียบโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น น่าเสียดายก็แต่สตรีชุดขาวมีกำไลปกป้องกาย ช่วยให้นางรอดพ้นหายนะจากการถูกกระบี่บินทะลุศีรษะมาได้ ไม่รู้ว่าชูอีโมโหจริงๆ หรือด้วยนิสัยเกเรซุกซนเหมือนเด็กน้อยถึงได้หาเรื่องสนุกเล่น จึงไม่สนใจความคิดของเฉินผิงอันอีกต่อไป ตั้งอกตั้งใจโรมรันอยู่กับกำไลมรกตวงนั้นอย่างเดียว มันกระแทกลงไปบนกำไลครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนตีเหล็ก กระบี่บินยังจงใจชะลอความเร็วลง และทุกครั้งจะต้องชักนำขอบเขตการโคจรของกำไล
สนามต่อสู้สุดท้ายย่อมต้องเป็นทางฝั่งของสตรีชุดขาวที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร นางตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วว่าจะต้องจัดการกับ ‘เซียนกระบี่’ อย่างเฉินผิงอันเสียก่อน
นางถือกระบี่ยาวสีแดงสดที่เหมือนกับจะเค้นหยดเลือดออกมาได้เล่มนั้นไว้ในมือ ภายใต้การกระโจนเข้ามาสังหารของนาง เสียงคำรามกร้าวเดือดดาลดังมาจากสองตำหนักที่ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายขวา ผีสาววัตถุหยินที่งุ่นง่านอยากลงไม้ลงมือเต็มแก่พากันกรูออกมา พริบตาเดียวควันดำที่กลิ้งหลุนๆ ก็บดบังมืดฟ้ามัวดิน กรากเข้าหาเฉินผิงอันที่ยืนตระหง่านกลางลานกว้างเพียงลำพัง เดิมทีเด็กสาวที่ทั้งข้อมือและข้อเท้ารัดกระพรวนเอาไว้คิดจะเข้ามาช่วย แต่เฉินผิงอันกลับใช้สายตาบอกเตือนนางว่าอย่าเข้ามายุ่ง
เด็กสาวไม่ได้ทำอะไรโดยใช้อารมณ์ จึงยืนอยู่ในสนามรบส่วนแรกแต่โดยดี เพียงแต่ว่ามือเท้าของนางขยับไม่หยุด ทำให้เกิดเสียงกระพรวนใสกังวานเป็นระลอก พยายามจะให้ดอกไม้สีทองบินออกไปจากชายคาของตำหนักใหญ่ ต่อให้สีหน้าของนางจะไร้สีเลือดแล้ว แต่ก็ยังยืนกรานจะช่วยเฉินผิงอันกำจัดผีสาวทั้งหลายให้ได้มากที่สุด
สำหรับเฉินผิงอันแล้ว การที่เด็กสาวทำอย่างนี้ได้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เฉินผิงอันเหวี่ยงมือทั้งสองข้างออกไปอย่างรวดเร็ว พายุหมัดไหลกรากทะลักออกไปพร้อมประกายแสงส่องสว่าง นี่ก็คือกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยถ่ายทอดให้กับเขา พริบตานั้นลมปราณที่เปี่ยมล้นก็แผ่ออกไปข้างนอก กระเทือนพื้นที่รอบด้าน ผีสาวดุร้ายสิบกว่าตนที่พุ่งออกมาจากตำหนักด้านข้างถูกกวาดเรียบไม่มีเหลือ เดิมทีพวกนางก็ถูกดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะเผาไหม้อย่างรุนแรงอยู่ก่อนแล้ว พอมาเจอหมัดนี้ที่เฉินผิงอันเลือกใช้วิธีเสี่ยงอันตรายอย่างจองหอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายิ่งเหมือนเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ เล็บแหลมคมที่ยาวพอๆ กับนิ้วมือของพวกนางไม่อาจเข้าใกล้เฉินผิงอันในระยะหนึ่งจั้งได้เลย
เฉินผิงอันไม่ได้มีความสามารถแค่วิชาหมัดอย่างเดียวเท่านั้น เขาเอนตัวไปด้านหลัง แตะปลายเท้าเบาๆ ทันใดนั้นก็ไถลออกไปด้านหลังหลายจั้ง หลบพ้นกระบี่ที่ฟาดลงมาของผีงามชุดขาวตนนั้นได้ ปลายเท้าของผีงามโครงกระดูกยังไม่ทันได้แตะพื้น ร่างก็พุ่งมาด้านหน้า ไล่ตามเฉินผิงอัน แทงกระบี่ใส่เขามาติดๆ เหมือนโรคร้ายที่แทรกซอนเข้าถึงกระดูก
ทว่าช่วงเวลาที่นางทำทุกอย่างนี้ เฉินผิงอันได้เหวี่ยงหมัดออกไปทั้งสองข้าง ตั้งท่าหมัดที่มีกลิ่นอายเก่าแก่อย่างก่อนหน้านี้อีกครั้ง เพียงพริบตาเดียวก็ต่อยให้ผีร้ายวัตถุหยินอีกหลายสิบตัวที่กรูกันเข้ามาพัวพันยุ่งเหยิงให้จิตวิญญาณแตกสลายไปเป็นครั้งที่สอง
ผีชุดขาวที่เส้นผมสีนิลโบกสะบัดยุ่งเหยิงตวาดกร้าวเสียงเฉียบ เท้าสองข้างก้าวเดินกลางอากาศ ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็ว “เจ้ามันสมควรตายจริงๆ!”
ขาดอีกแค่ไม่กี่ชุ่นกระบี่ยาวในมือของนางก็จะแทงเข้าหัวใจของเฉินผิงอันอยู่แล้ว
เฉินผิงอันบิดปลายเท้าเล็กน้อยเลียนแบบท่าทางของหม่าขู่เสวียนตอนที่ต่อสู้กันอยู่บนถนนเส้นเล็ก ร่างของเขาจึงเหมือนลูกข่างที่หมุนติ้วๆ ไม่เพียงแต่หลบพ้นกระบี่นั้นมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ แถมยังฉวยโอกาสขยับเข้าใกล้ ปล่อยหมัดต่อยซีกหน้าของผีงามโครงกระดูก ฝ่ายหลังกลับสามารถสลายตัวกลายเป็นไอหมอกสีขาวที่กระจายไปสี่ทิศ ไปปรากฏตัวอยู่ห่างออกไปหลายจั้ง นิ้วทั้งห้ากระชากดึงหนึ่งครั้ง กระบี่ยาวสีแดงสดที่ไม่ได้หายตัวมาพร้อมกับนางก็หมุนตัวกลับครึ่งรอบ ปาดคมกระบี่บาดแขนของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันใช้ยันต์ย่อพื้นที่แผ่นสุดท้ายที่เหลืออยู่อย่างไม่ลังเล พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ข้างกายผีงามอีกครั้ง พายุหมัดรุนแรงดุจตะวันแผดเผาที่มีอยู่ทั่วทุกอณูกายของเขาทำให้ผีงามโครงกระดูกกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ไม่สนใจจะบังคับกระบี่ยาวที่อยู่ห่างไปไกลอีกแล้ว นางใช้วิธีเดิมโดยการสลายร่างเป็นไอหมอกสีขาวหายตัวไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
เฉินผิงอันสีหน้าสุขุมเด็ดเดี่ยว เรียกในใจว่า “ชูอี!”
แม้ว่าจะไม่ใคร่เต็มใจเท่าใดนัก แต่กระบี่บินชูอีก็ยังยอมออกมาจากสนามต่อสู้ก่อนหน้านี้ มันพุ่งแหวกอากาศเข้ามาเป็นเส้นสายสีขาว แทงตรงไปยังผีงามโครงกระดูกที่เพิ่งจะคืนร่างเดิม วินาทีที่นางหายตัวไปเป็นครั้งที่สอง กำไลมรกตและกระบี่ยาวสีแดงสดก็หยุดชะงักไปเสี้ยวขณะหนึ่งอย่างที่แทบจะสังเกตไม่เห็น เหมือนกับว่าเมื่อขาดการเชื่อมโยงทางจิตกับเจ้านายเลยเกิดลังเลตัดสินใจไม่ได้
เมื่อกระบี่บินชูอีแทงเข้าไปที่กลางหว่างคิ้วของนาง ในที่สุดผีงามก็ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก นางยกสองมือปิดบังใบหน้า เส้นผมสีนิลที่สยายแผ่ม้วนตลบกลับมาปกปิดใบหน้าของนาง
กระบี่บินขนาดเล็กสีหิมะเล่มนั้นหยุดลอยอยู่ตรงหน้านางอย่างสงบนิ่ง ไม่ได้พุ่งไปด้านหน้าต่อ
แต่ว่า
นางรู้สึกเย็นวาบที่ท้ายทอยด้านหลัง
—–