เส้นทางขากลับนั้นเงียบสงบมาก นอกจากแม่ทัพเซี่ยงที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วเขามักจะหาข้ออ้างคุยกับหยางชู หนึ่งหรือสองครั้งก็ช่างมัน แต่หลังจากนั้นหยางชูคิดว่าเขามารบกวนจึงพูดออกไป “ท่านอยากถามเรื่องค่ายกลห่วงคู่ใช่หรือไม่” แม่ทัพเซี่ยงเกาหัวแล้วยิ้มอย่างเขินอาย
หยางชูพูด “ค่ายกลห่วงคู่จัดกระบวนแถวไม่ยาก แต่การใช้แรงต่อสู้นั้นทำไม่ได้ในชั่วข้ามคืน ข้าแค่ยืมพวกท่านจัดกระบวนแถว แต่ถ้าต้องต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ คาดว่าพวกท่านคงสามารถจัดการหูเหรินได้มากถึงครึ่งหนึ่ง”
“ครึ่งหนึ่งเลยหรือ!” แม่ทัพเซี่ยงตื่นเต้นมาก
หยางชูไม่เข้าใจว่าความตื่นเต้นของเขามาจากไหนกัน “ดูจากคุณสมบัติของผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน ก็คงจะครึ่งหนึ่งฝีมือของพวกเขาไม่เลวเลยทีเดียว”
แม่ทัพเซี่ยงรีบพูด “คุณชายหยางอย่าเข้าใจผิดข้าเพียงแต่ประหลาดใจมากก็เท่านั้น เมื่อก่อนพวกเราเคยเจอพวกหูเหรินต้องมีจำนวนอย่างน้อยสามเท่าของศัตรูถึงจะกล้าต่อสู้ด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะ”
“อ้อ..” หยางชูขบเม้มริมฝีปาก “ขยะจริงๆ” แม่ทัพเซี่ยงยิ้มเจื่อนทันที
“ข้าไม่ได้หมายถึงท่าน” หยางชูพูดเสริมอย่างใจดี “ข้าหมายถึงกองทัพขวาของพวกท่าน ตั้งแต่เหลียงจางลงไปจนถึงทหารระดับล่างล้วนเป็นขยะ”
“….”
อาสวนกระแอมแล้วกล่าวเตือน “คุณชายขอรับ”
ดูเป็นการหยาบคายเกินไปที่ยืมทหารของอีกฝ่ายมา แต่กลับเรียกพวกเขาว่าขยะ แม่ทัพเซี่ยงไม่ได้โต้ตอบอะไรพอหายอับอายแล้วก็กล่าวเสริมว่า “กองทัพขวาของเราต่อสู้น้อยเกินไป…”
หยางชูเหลือบมองเขา “ดูไม่ออกเลย…พวกท่านประเมินตนเองได้ถูกต้องแล้ว”
แม่ทัพเซี่ยงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจถามอย่างหน้าหนาไปว่า “คุณชายหยาง ค่ายกลห่วงคู่เรียนรู้ได้หรือไม่”
“ท่านอยากเรียนหรือ”
“อืม…”
หยางชูยิ้มบาง “ดูเหมือนว่าพวกท่านจะไม่ใช่ขยะซะทีเดียวอย่างน้อยก็ยินดีที่จะเรียนรู้” แล้วเขาก็ถามว่า “ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าทำไมกระบวนแถวนี้ถึงมีแค่นักรบเกราะเหล็กที่สามารถทำได้”
แม่ทัพเซี่ยงรู้สึกสับสนเล็กน้อย “เพราะพวกเขามีพลังมากเกินไป”
“ท่านโง่หรือเปล่า” หยางชูต่อว่าอย่างไม่เกรงใจ “พละกำลังมากแน่นอนว่าต้องส่งเสริมจะซ่อนไว้ได้อย่างไร”
แม่ทัพเซี่ยงไม่เข้าใจ “ทำไมเล่า”
“เพราะกระบวนแถวนี้เรียนรู้ไม่ง่าย” หยางชูพูด “ทหารทุกคนต้องเชื่อมั่นในสหายของเขาอย่างเต็มที่ แม้ว่ามีดจะถูกฟันที่ด้านหลังเขาก็จะไม่ลังเลใจ อย่าคิดว่าปกติแล้วนักรบเกราะเหล็กจะไม่ติดต่อกัน พวกเขาเชื่อใจกันมากกว่าพี่น้องพวกเขาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องให้กระบวนแถวนี้เข้าไปอยู่ในสายเลือด ตราบใดที่พวกเขาได้ยินเสียงกลองพวกเขาก็สามารถสู้รบได้”
แม่ทัพเซี่ยงครุ่นคิด “อ้อ…”
“เพราะฉะนั้นค่ายกลห่วงคู่จึงไม่เหมาะกับคนจำนวนมากที่จะฝึกฝน นักรบเกราะเหล็กสามพันนายคือจำนวนสูงสุดแล้ว ท่านย่าข้าบอกว่าอันที่จริงหนึ่งพันคนคือจำนวนที่ค่ายกลห่วงคู่มีประสิทธิภาพมากที่สุด”
แม่ทัพเซี่ยงพยักหน้าแล้วมองเขาด้วยสายตากระตือรือร้น “ถ้าเช่นนั้นข้าสามารถเรียนได้ใช่หรือไม่”
“เรียนมันก็เรียนได้ แต่ทหารของท่านจะทำได้หรือไม่เล่า” หยางชูเหล่มองเขา “หากท่านทำได้ข้าก็จะสอนท่าน”
แม่ทัพเซี่ยงดีใจมากเดิมทีเขาเคยลองฝึกแล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก ผู้ใดจะรู้ว่าหยางชูเป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนี้ “คุณชายหยางเต็มใจสอนข้าใช่หรือไม่”
“ข้าสอนท่านได้ แต่ไม่รับประกันว่าท่านจะเรียนรู้ได้มากเพียงใด แต่ท่านต้องรับปากข้าว่าเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับให้ผู้อื่นรู้ไม่ได้ว่าข้าเป็นผู้สอน และห้ามบอกทหารเหล่านี้ว่าสิ่งที่เขาเรียนคือค่ายกลห่วงคู่เด็ดขาด”
แม่ทัพเซี่ยงพยักหน้ารัว “ได้! ข้าทำได้แน่นอนขอรับ”
“ดี! พวกเราไม่ต้องรีบกลับสอนท่านไม่กี่วันก็เพียงพอแล้ว หากท่านทำไม่ได้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
“ขอรับๆๆ” แม่ทัพเซี่ยงรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของหยางชูเป็นอย่างยิ่ง
………
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปัจจัยทางจิตวิทยาหรือไม่ หมิงเวยรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บภายในของตนนั้นดีขึ้นมาก
ในตอนที่หยางชูสอนแม่ทัพเซี่ยงนางก็นั่งดูอยู่ข้างๆ ด้วย เขาไม่ใช่ครูที่ดี นักมักจะสอนออกไปไม่กี่คำแล้วตำหนิออกมาเสียงดังเนื้อหาประมาณว่า
“ทำไมถึงได้โง่เช่นนี้”
“โง่จริง!”
“เมื่อครู่บอกไปแล้วไม่เข้าใจหรือ” แม่ทัพเซี่ยงถูกต่อว่าซะเละ แต่เขาก็ไม่พูดอะไรออกมา รอจนเขากลับไปฝึกทบทวนเองหมิงเวยจึงถามออกไปว่า “ทำไมท่านใจดีเสียจริง ในเมื่อเป็นความลับของนักรบเกราะเหล็กก็ไม่ควรสอนผู้ใดง่ายๆ ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
หยางชูหยิบผลไม้หวานๆ เข้าปากแล้วตอบว่า “อืม…พูดตามตรง เฉพาะคนระดับเหลียงจางเท่านั้นที่เขาสามารถเรียนรู้กระบวนแถวนี้ได้ นักรบเกราะเหล็กต่างแยกย้ายกันสอน รู้พื้นฐานแต่ไม่รู้ทั้งหมด”
“แต่ท่านก็ยังสอนเขางั้นหรือ”
หยางชูยัดผลไม้หวานใส่ปากของนางแล้วพูดว่า “ท่านกับตาเฒ่าฟู่นั่นสนับสนุนให้ข้ามาซีเป่ยเพื่อเลี้ยงม้าจริงๆ หรือ พูดตามตรงแล้วไม่ใช่เพื่อให้ข้าวางรากฐานที่ซีเป่ยหรอกหรือ ปราบแค่พวกโจรจะไปนับอะไรได้ กองทัพซีเป่ยต่างหากคือเป้าหมายใช่หรือไม่”
หมิงเวยหัวเราะรสชาติหวานของผลไม้ยังคาอยู่ในปาก “ข้าคิดว่าท่านไม่พอใจเรื่องนี้เสียอีก เมื่อมาถึงเกาถางไม่เห็นอยากพูดคุยกับกองทัพซีเป่ยเลยสักนิดเดียว”
“นั่นเพื่อให้เขาวางใจ” หยางชูคายเมล็ดออกจากปาก “ข้าถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวงแล้วยังมาพัวพันกับกองทัพซีเป่ยอีก ท่านคิดว่าคนผู้นั้นจะทนได้หรือ จงซู่ข้าไม่กล้าทักทายด้วยหรอกเขามีความระแวดระวังกับตระกูลจงอยู่ ส่วนเหลียงจางเป็นคนสนิทของเขา หากข้ามาทักทายเขาไม่น่าตื่นตระหนกไปหรือ ครั้งนี้เพราะท่านเกิดเรื่องเลยหาเหตุผลมาคุยได้ ส่วนคนแซ่เซี่ยงผู้นี้ดูไร้ความสามารถไปหน่อย แต่ก็มีความกล้า เสียดายที่มาอยู่กองทัพขวา”
ทหารที่ไร้ความสามารถเป็นเพียงทหาร แต่ผู้บังคับบัญชาที่ไร้ความสามารถจะนำทีมทหารที่ไร้ความสามารถออกมาได้อย่างไร เหลียงจางเป็นคนขี้ขลาด รู้เพียงแค่ว่าต้องปกป้องเป่ยเทียนเหมินไม่กล้ารบกับหูเหริน แม้แต่คนที่ส่งมาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขายังขี้ขลาด อยู่โง่ๆ ไปวันๆ
นี่คือสถานที่ที่ผู้คนมารวมกัน และโรคบางชนิดสามารถแพร่ระบาดได้ฝูงหมาป่าที่มีกระต่ายอยู่หนึ่งตัวจะค่อยๆ กลายเป็นกระต่าย โชคดีที่ไม่ใช่หมาป่าทุกตัวที่กลายเป็นกระต่าย และเขาโชคดีที่ได้พบกับคนที่สามารถแปลงร่างได้
“ข้าเองก็เคลื่อนไหวมากไม่ได้ดังนั้นเลยถือว่าให้โอกาสเขา ถ้าเขาทำสิ่งที่เป็นไปได้จริงๆ ในอนาคตเขาจะไม่เป็นเหมือนกับเหลียงจางอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเปรียบเสมือนอาจารย์ของเขาจะมีความชอบเล็กน้อยได้อย่างไรกัน”
หลังจากพูดจบเขาก็ก้มหน้าลง และเห็นหมิงเวยมองมาที่เขาด้วยดวงตาที่สดใสเป็นประกาย หยางชูกระแอมด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ทำไมท่านมองข้าเช่นนั้นเล่า”
“เพราะท่านดูดีมาก!”
“…”
หมิงเวยหัวเราะเสร็จก็พูดว่า “ท่านเริ่มทำสิ่งนี้อย่างจริงจังเพื่อข้าหรือเจ้าคะ”
หยางชูยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่ข้าเองก็เห็นได้ชัดเจนจึงต้องทำอย่างจริงจังไม่เช่นนั้นก็จะมีหลายสิ่งที่ทำไม่ได้”
เขาก้มหน้ามองฝ่ามือตนเอง “อย่างเช่นแผ่นดินต้าฉีสายเลือดตระกูลเจียง อย่างเช่น…ท่านแม่ของข้า”
หมิงเวยเอื้อมมือไปลูบผมของเขา และกระซิบว่า “ตอนแรกข้าลังเลมากว่าคิดถูกหรือไม่ที่ผลักดันท่านให้เดินในเส้นทางนี้ ข้าไม่ต้องการที่จะบังคับให้ท่านเปลี่ยนเจตจำนง แต่ตอนนี้ข้าวางใจแล้ว ท่านแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้มาก แข็งแกร่งกว่าข้าด้วยซ้ำ บางทีครั้งนี้ข้าอาจจะประสบความสำเร็จจริงๆ”
“ไม่ เป็นพวกเราต่างหากเล่า” เขาเอื้อมมือไปจับมือนาง
…………