เมื่อแน่ใจแล้วว่าซูถูรีบกลับไปที่เขาเทียนเสินทั้งสองฝ่ายห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ หยางชูจึงไม่รีบร้อนที่จะกลับไป ปลายฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงที่เหยื่อมีมากมาย พวกเขาจึงเดินทางไปพลางล่าสัตว์ไป
ตอนมาพวกเขารีบเร่งเดินทางใช้เวลาเพียงห้าหกวัน แต่ตอนกลับพวกเขาใช้เวลาเป็นสามสี่เท่าเพราะในกองทัพมีคนบาดเจ็บอยู่ด้วย
เมื่อเดินทางไปถึงเป่ยเทียนเหมินเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว
เหลียงจางที่เห็นพวกเขามีสีหน้าสงบมาก “หลานหยางกลับมาแล้วหรือ ช่วยคนได้อย่างราบรื่นหรือไม่”
“เพราะคำอวยพรของท่านอาเลยราบรื่นมากขอรับ!” หยางชูยิ้มแล้วคำนับ “ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่ากองทัพซีเป่ยเก่งกล้าสามารถในด้านการรบ เพียงแค่เห็นก็สมควรได้รับชื่อเสียงต้องขอบคุณแม่ทัพเซี่ยงมากเมื่อเผชิญหน้ากันก็ทำให้พวกหูเหรินกลัวจนถอยกลับไป”
“หลานกล่าวชมเกินไปแล้วเป็นหลานที่จัดการดีต่างหากเล่า” สายลับกลับมารายงานแล้ว และเหลียงจางก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาไม่ได้ติดอะไรอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติที่หยางชูจะเข้าใจค่ายกลห่วงคู่ ย่าของเขาคือองค์หญิงหมิงเฉิงผู้ซึ่งติดตามฮ่องเต้ไท่จู่เพื่อออกรบเหนือใต้เป็นบุคคลอันดับหนึ่งของฮ่องเต้ไท่จู่ ความลับบางอย่างที่โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องรู้นางกลับรู้ทุกอย่างเป็นอย่างดี
นอกจากนี้เขายังไม่คิดว่าหยางชูจะสามารถสั่งการทหารให้ตั้งกระบวนแถวค่ายกลห่วงคู่ได้จริงๆ กระบวนแถวนี้มีอะไรยากกันเขาเองก็ทำได้! ความยากของค่ายกลห่วงคู่คือการเผชิญหน้าโจมตี กระบวนแถวนี้เป็นการทดสอบความร่วมมือและการปรับตัว หากไม่ระวังอาจทำให้กระบวนแถวผิดพลาดได้ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นเข้ามาสู้ให้ตัดตนเองออกไปก่อนเลย
เหลียงจางคิดว่าเขาโชคดีชูธงของนักรบเกราะเหล็ก และตั้งกระบวนแถวค่ายกลห่วงคู่นั้นจึงทำให้หูเหรินกลัวจนถอยทัพไป แล้วเขาก็เห็นหมิงเวย และบ่าวรับใช้ที่หมุนกายไปพักผ่อน “นั่นคือแม่นางที่หลานหยางต้องการช่วยเหลืองั้นหรือ ช่างเป็นสตรีที่งามจริงๆ”
หยางชูยิ้มอย่างสุภาพ “ท่าอาชมเกินไปแล้วนางมาจากครอบครัวธรรมดา ไม่เหมาะที่จะออกมาพบผู้คนจึงไม่ได้พามาคารวะท่านอา”
เหลียงจางดูหมิ่นในใจช่างเป็นคนที่ไม่สุภาพจริงๆ อยู่ตรงหน้า แต่ไม่พามาเข้าพบทักทายคิดว่าเขาอ่อนต่อโลกหรืออย่างไร สตรีงดงามเขาเห็นมาเยอะเขามาถึงจุดนี้แล้วคิดว่าจะมาแข่งแย่งชิงสตรีหรืออย่างไร
แต่ปากกลับพูดออกไปอย่างใจดีว่า “ในเมื่อกลับมาอย่างปลอดภัยหลานก็พักที่เป่ยเทียนเหมินสักระยะหนึ่งเถิดเดินทางมาลำบากเพียงนี้ ถึงเรื่องอื่นอาไม่อาจช่วยเหลือได้ แต่จัดห้องให้หลานได้พักผ่อนนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
หยางชูลังเลเขาพูดด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ตั้งแต่พบกันท่านอาไม่เคยถามเรื่องพิษกู่เลยท่านอารู้หรือว่าข้าแกล้งท่าน”
เหลียงจางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “มันก็เป็นเรื่องบังเอิญเช่นกันหลังจากที่หลานจากไปไม่นาน ท่านหมอเทวดาจงก็มาที่เป่ยเทียนเหมินข้าขอให้เขาช่วยตรวจอาการให้เขาบอกว่าไม่มีพิษกู่”
หยางชูคำนับด้วยความอับอาย “หลานกระตือรือร้นที่จะช่วยผู้คนเลยทำให้ท่านอาขุ่นเคือง ขอท่านอาโปรดใจกว้างไว้ชีวิตหลานชายด้วยเถิด” เหลียงจางเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกรังเกียจเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เอากระบี่มาจ่อที่คอเขาไม่เห็นจะรู้สึกเขินอายเลยสักนิด ตอนนี้มาแสร้งทำตัวเป็นเด็กไร้เดียงสาเนี่ยนะ แต่เขาทำได้เพียงกลืนอาการคลื่นไส้กลับไปชั่วคราว และยิ้มเล็กน้อย
“ตอนแรกข้าโกรธมาก แต่ตอนหลังข้าคิดว่าหลานยังเด็กอยู่ ตอนที่ข้าติดตามฝ่าบาทยังเคยก่อเรื่องมากกว่าหลานอีกเพียงแต่ว่าเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นในครั้งต่อไป เรื่องสำคัญของแผ่นดินคือการเสียสละและสงคราม ทหารม้าไม่สามารถนำมาให้เล่นๆ ได้”
“ที่ท่านอาสั่งสอนมานั้นถูกแล้วขอรับหลานจะจำไว้” หยางชูคารวะอีกครั้ง ทำตัวเชื่อฟังอย่างดีเขาชะงักไปเล็กน้อยแล้วถามว่า “เมื่อครู่ได้ยินท่านอาบอกว่า หมอเทวดาจงอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ขอรับ ใช่หมอเทวดาจงเยวี่ยหรือไม่”
เหลียงจางยิ้มจางๆ และพูดในใจว่าติดกับแล้ว แต่ปากกลับตอบไปว่า “แน่นอนว่าเป็นเขา นอกจากคนผู้นั้นแล้วจะมีผู้ใดเรียกว่าหมอเทวดาได้อีก”
หยางชูมีสีหน้าดีใจ “ตอนนี้คนของพวกเราได้รับบาดเจ็บสาหัส หมอเทวดาจงมาได้จังหวะพอดีเลยท่านอาบอกที่อยู่ของเขาได้หรือไม่”
เหลียงจางกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “หลานไม่พูด อาก็จะบอกหลานอยู่แล้ว เมื่อวานหมอเทวดาจงกลับไปเก็บยาสมุนไพรอีกสองสามวันก็กลับมาดังนั้นอาจึงให้หลานอยู่ที่นี่สักระยะรอจนกว่าหมอจงจะกลับมา”
หยางชูรู้สึกขอบคุณ “ท่านอาคิดเพื่อหลานเช่นนี้ยิ่งทำให้หลานรู้ว่าก่อนหน้านี้หลานไม่รู้ความเอาเสียเลยเมื่อกลับไปยังเกาถางหลานจะให้คนมาแสดงความขอโทษนะขอรับ”
แสดงความขอโทษนี้ แน่นอนว่าเป็น ‘ของขวัญ’ เพื่อขอโทษจริงๆ
เหลียงจางรู้ดีว่าตระกูลหยางร่ำรวยในกิจการค้าขายมากมายจึงรู้สึกสนใจไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญได้จึงระงับไว้ทันที และยิ้มให้อย่างใจดี “เกรงใจอะไรกันหลานเรียกท่านอา อาก็ต้องปฏิบัติต่อเจ้าดุจหลานชาย ผู้ใดไม่ทำผิดพลาดกันบ้างเล่า โกรธก็ต่อว่าหลังจากนี้ก็สั่งสอนกันดีๆ หลานอยู่ที่นี่ก่อนเถิดเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
“เรื่องนี้…” หยางชูแสร้งทำเป็นลังเล เหลียงจางมองมาอย่างสงบสายตายังคงจ้องมองมาที่หยางชู หยางชูคิดในใจแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าเช่นนั้นหลานรบกวนท่านอาแล้ว”
เหลียงจางแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วยื่นมือออกมาด้วยท่าทางใจดี “หลานลำบากมาตลอดทางแล้วไปพักผ่อนก่อนเถิด เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่ มีคนเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วขาดเหลืออะไรบอกอาได้ตลอด”
“ขอรับ ขอบคุณท่านอามากขอรับ” หยางชูกล่าวขอบคุณแล้วเดินตามบ่าวเข้าไปในเรือนรับรองที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเข้าไปในห้องก็เห็นหมิงเวยนั่งกินผลไม้นางถามเขาว่า “เขาคงไม่ได้อยากสับท่านใช่หรือไม่เจ้าคะ รอบๆ เรือนนี้มีคนเฝ้าดูอยู่ประมาณยี่สิบคนได้”
หยางชูนั่งลงข้างกายนางแล้วหยิบผลไม้ที่เหลือครึ่งหนึ่งในมือนางยัดเข้าปากตนเอง “ข้ารู้ว่าเขาวางแผนอะไรไว้ตามใจเขาเถอะ”
หมิงเวยหยิบผลไม้อีกผลมากินต่อ “ทำไมหรือเจ้าคะ หรือเขาต้องการโจมตีท่านจริงๆ”
หยางชูเล่าให้นางฟังว่าเขาไปโกหกเหลียงจางว่าอย่างไร “เหลียงจางผู้นี้ขี้ระแวงมาก ข้าไปขู่เขาไว้เช่นนั้นหากปล่อยผ่านไปก็คงแปลกแล้ว”
“ท่านไปพูดเช่นนั้นได้อย่างไรกัน” หมิงเวยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ยังจะบอกว่าจะทักทายกองทัพซีเป่ย ทางด้านจงซู่ท่านไม่กล้าไปหาส่วนเหลียงจางท่านทำให้เขาขุ่นเคือง นี่เป็นการวางรากฐานอย่างไรกันเป็นการแก้แค้นเสียมากกว่าเจ้าค่ะ”
หยางชูไม่เห็นด้วย “ผูกสัมพันธ์กับเหลียงจางงั้นหรือ ทำไมข้าต้องมาทำอะไรยากเช่นนั้นด้วย ความสามารถก็ไม่ได้ บุคลิกก็ไม่ดี นอกจากนี้เขาเป็นคนที่ประจบสอพลอมาก อย่างตัวข้าในตอนนี้หากเขามองข้าสิถึงจะแปลก ตีสนิทกับเขาทางนี้เดี๋ยวเขาก็ไปรายงานทางนั้น”
หมิงเวยพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “เอาเถอะ ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผลเจ้าค่ะ ตอนนี้เขาต้องการเอาคืนท่านจะทำอย่างไร”
หยางชูโยนผลไม้ที่ทานเสร็จทิ้ง “วางใจเถอะข้ารับรองว่าแผนของเขาไม่มีทางสำเร็จแน่ อีกอย่างเขาต้องพยายามรั้งพวกเราไว้ที่นี่อย่างสุดความสามารถแน่ ไม่ว่าพวกเราจะก่อปัญหามากเพียงใด เขาก็คงทำได้เพียงอดทน…”
แล้วถามนางอีกว่า “ท่านบาดเจ็บมาหลายวันเหนื่อยหรือไม่ คนแซ่เหลียงใจกว้างเช่นนี้ พวกเราจะไปเกรงใจเขาทำไมกันแค่สนุกไปกับมันก็พอ”
หมิงเวยรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจึงปล่อยให้เขาก่อเรื่องไป “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะกลับห้องแล้ว”
แล้วเหลียงจางก็ได้รับคำตอบจากพ่อบ้านอย่างรวดเร็ว “คุณชายหยางไม่โปรดอาหารรสชาติไม่ดีบอกว่าต้องการทานเอ็นกวางย่างกับอุ้งเท้าหมีนึ่งขอรับ”
“ข้าไม่ได้บอกหรืออย่างไรว่าเขาต้องการอะไรก็ไปหามาให้เขา เรื่องเล็กแค่นี้ยังต้องมารายงานอีกหรือ” เหลียงจางหงุดหงิดที่จะมาดูแลเรื่องเล็กเหล่านี้
พ่อบ้านรู้สึกเหมือนได้รับความไม่เป็นธรรม “ท่านแม่ทัพ เอ็นกวางยังพอไหว ในครัวของเราพอมีอยู่ แต่อุ้งเท้าหมีหายากมากหาไม่ได้มาสักพักแล้ว แล้วยังผ้ามี่อวิ๋นอีกหนึ่งฉือก็สิบตำลึงเงินแล้ว…”
ใบหน้าของจางเหลียงเขียวคล้ำหมายความว่าที่เด็กนั่นเอ่ยปากขอมีค่าร้อยกว่าตำลึงเชียวหรือ เงินจำนวนนี้เขาสามารถจ่ายได้อยู่แล้ว แต่ให้อีกฝ่ายอยู่ที่นี่หลายวันเขาจะต้องใช้เงินสองสามพันตำลึง…
อารมณ์ของเหลียงจางแปรปรวนแล้วสุดท้ายเขาก็โบกมือแล้วสั่งเสียงดุดัน
“ให้เขาไป!” ไม่กี่พันตำลึงไม่ใช่หรือหากสามารถจัดการได้ในทีเดียวถือว่าคุ้ม!
……………