หลัวเสียงกระอักเลือดออกมา ประคองใบหน้าเงยขึ้น “องค์ชายสี่…”
“พวกเจ้าสกุลหลัวช่างมีความสามารถเสียจริง ถึงกับวางแผนให้ข้ากลายเป็นแพะรับบาป!” มือของฉู่อี้ชิงค้างอยู่กลางอากาศชั่วครู่ เส้นเลือดที่ขมับนั้นเต้นตุ้บๆ เดินไปด้านหน้าคว้าตัวหลัวเสียงขึ้นมา จับเขาได้ก็ดึงตัวออกไปด้านนอก “ไป เจ้าไปอธิบายให้ฝ่าบาทเข้าใจกับข้าเดี๋ยวนี้ บอกเขาว่าจริงๆ แล้วพ่อของเด็กในท้องนั้นเป็นใคร!”
เรื่องนี้ฉู่อี้ชิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นคนโง่ แต่ว่าฮ่องเต้กำลังขุ่นเคืองอย่างมาก เดิมทีก็มิอาจทนฟังเขาอธิบายได้แน่
“องค์ชาย!” หลัวเสียงสะบัดมือเขาออกอย่างรีบร้อน ใบหน้าก็ปรากฏท่าทีทุกข์ใจ “อวี่ก่วนนางอายุยังน้อยมิค่อยรู้ความ วันนี้เกิดเรื่องออกมาต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ นางก็คงไม่มีหน้าไปพบผู้ใดแล้ว ท่านได้แล้วทิ้งนางอย่างนี้ จะไม่ให้นางได้มีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”
“อะไรคือได้แล้วทิ้ง?” ฉู่อี้ชิงส่งเสียงเหอะออกมา ดึงตัวเขาก่อนจะเดินไปด้านนอก
“เสด็จอา!” ฉู่สวินหยางก้าวมาด้านหน้า ยกมือขวางเขาไว้ เผยรอยยิ้มออกมา “วันนี้แขกในจวนมีมาก เสด็จปู่ก็กำลังมีโทสะอยู่ หากท่านยังทำเช่นนี้ ก็คงรั้งแต่จะขายหน้าของทั้งสองสกุล อย่างไรรอให้งานเลี้ยงเลิกแล้วค่อยว่ากันอีกครั้งเถิดเพคะ!”
เรื่องที่เขาแอบทำผิดกับหลัวอวี่ก่วนถูกชายาสี่นั้นโวยวายจนทุกคนรู้ทั่วกันหมดแล้ว ทว่าเรื่องลักลอบตั้งท้องกับคนอื่นกลับมีเพียงแค่ไม่กี่คนที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่รู้ หากจะทำให้เรื่องใหญ่ขึ้นมา แม้ว่าเขาจะเค้นถามถึงความเป็นมาของลูกในท้องหลัวอวี่ก่วนได้ แต่ตนเองก็จะกลายเป็นที่ขบขันเช่นกัน หมวกสีเขียว[1] ใบนี้นับว่าเขาได้สวมไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ฉู่อี้ชิงเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็ลังเลไปสักพัก แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ยังรู้สึกมิอาจกล้ำกลืนฝืนทนลงไปได้ จึงดึงตัวหลัวเสียงขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะชกเขาไปอย่างจัง เวลานี้ค่อยคลายความโมโหไปได้เล็กน้อย
“เจ้าเตรียมตัวไว้ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะคิดบัญชีเรื่องนี้กับเจ้าแน่!”
กล่าวจบก็สะบัดเสื้อคลุมก้าวเท้ายาวออกไป
หลัวเสียงลูบแก้มก่อนจะหยัดกายขึ้นมา มองเห็นฉู่สวินหยางที่ยังคงมองเขาก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกไปสักพัก ดึงมุมปากล่างไว้พลางยกเสื้อคลุม จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างหล่นลงมาจากแขนเสื้อ
ฉู่สวินหยางมองไป ก็ร้อง ‘เอ๊ะ’ ขึ้นมาอย่างทันที “นั่นมันอะไรกัน?”
หลัวเสียงก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน หันไปมองตามเสียง ในพุ่มหญ้าด้านข้างนั้นมีวัตถุกลมเกลี้ยงคล้ายกับขี้ผึ้งปรากฏอยู่
สิ่งของอันนั้นแม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อครู่ก็เห็นได้ชัด ว่าร่วงลงมาจากแขนเสื้อของเขาอย่างแน่นอน
เวลานี้ก็อยู่ในช่วงที่น่าหวาดระแวง เขาประกายตาวาบอย่างรวดเร็ว รีบเข้าไปฉวยเก็บมาไว้ก่อน “ไม่มีอะไร ช่วงนี้เป็นหวัดนิดหน่อย จึงพกยาติดตัวไว้”
“อย่างนั้นรึ? เช่นนั้นท่านชายก็ต้องดูแลตัวเองให้มากแล้ว” ฉู่สวินหยางก็ไม่ถามมากความ เพียงแค่ยิ้มมองดูเขาครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนกายเดินออกไป
หลัวเสียงมองตามหลังนาง ก่อนจะรีบเร่งเอาขี้ผึ้งอันนั้นออกมา บีบจนแตก จึงค่อยพบว่าด้านในมีกระดาษแผ่นเล็กซ่อนอยู่โดยตวัดเขียนไม่กี่ลายเส้น…
ผู้ที่ลงนามบนนั้นกลับเป็นชิ่งเฟย!
เขาสองจิตสองใจ แต่เรื่องที่อีกฝ่ายกล่าวถึงนั้นพูดอย่างตรงเป้าอย่างไม่ต้องสงสัย ชั่งน้ำหนักในใจชั่วครู่ เขาก็ไม่ได้สนใจเสียงร้องไห้ครวญครางที่ดังไม่หยุดของหลัวอวี่ก่วนอีก กลับเดินออกไปด้วยท่าทีจริงจัง
ในศาลาที่ไม่ไกลมากนัก
ในมือของซูอี้นั้นถือกาสุรา กำลังรินเองดื่มเองอยู่
เหยียนหลิงจวินและฉู่สวินหยางหลบอยู่ด้านข้างพุ่มดอกไม้ เมื่อเห็นว่าหลัวเสียงเดินจากไปแล้วจึงค่อยหมุนกายกลับไปในศาลา
“เป็นอย่างไรล่ะ ช่วยชีวิตเจ้าไว้หนึ่งครา เตรียมจะขอบคุณข้าอย่างไร?” เหยียนหลิงจวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถือถ้วยอีกใบออกมารินสุราให้ตนเอง
“เหอะ!” ซูอี้ส่งเสียงในลำคอออกมา ไม่มองไปที่เขาแม้แต่น้อย มีทีท่าไม่ชัดเจน ทั้งยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำอีก
ฉู่สวินหยางเดินเข้าไป เลือกนั่งลงที่ม้านั่งตัวหนึ่ง ก่อนจะฉวยกาสุราในมือของเหยียนหลิงจวินมาเล่น กล่าวหยอกล้อไปพลาง “เรื่องนี้เกือบจะสำเร็จอยู่รอมร่อสุดท้ายก็เสียแรงเปล่าเสียแล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะยอมวางมือยุติเรื่องราว อีกไม่นานก็คงจะลงมืออีกแน่ ซูอี้ท่านอย่าได้ประมาทไป! ”
ซูอี้ยิ้มเย็นขึ้นมาอย่างได้รูปเช่นเคย กลับไม่ปริปากพูดใดใด
เหยียนหลิงจวินเบนสายตามองไปเรือนด้านข้างนั้นไกลๆ “หลัวอวี่ก่วนไม่มีค่าพอที่จะใช้งานอีกแล้ว!”
“หืม? อ่อนโยนกับสตรีงั้นรึ?” ฉู่สวินหยางเบ้ปาก รินสุราให้ซูอี้อย่างคล่องมือ กล่าวต่อ “หากปรารถนาดีเช่นนั้นจริงๆเมื่อครู่เหตุใดไม่อาสาตัวไปตรวจให้นางเสียเล่า?”
แท้จริงก็เพียงกล่าวอย่างขำๆ เท่านั้น ไม่มีใครคิดจริงจัง
“เหอ…” เหยียนหลิงจวินเขย่าถ้วยสุราในมือก่อนจะกล่าวอย่างแย้มยิ้ม “หากข้าคิดจะไปก็ต้องหาโอกาสก่อนสิ แต่อย่างไรหลี่รุ่ยเสียงก็คงไม่ตอบตกลงแน่นอน”
ฉู่อี้ชิงและหลัวเสียง ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์พวกนั้นล้วนแต่หาละเอียดยิบย่อยไม่เจอ ทว่าพวกเขาที่เป็นผู้รับชมเหตุการณ์ต่างก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
หลัวอวี่ก่วนนับว่าเป็นใครกัน? แม้ว่าจะแปดเปื้อนไปกับฉู่อี้ชิงแล้วจริงๆ หรือแม้ว่าในท้องของนางจะเป็นหลานของโอรสสวรรค์ แล้วเหตุใดจะต้องถึงขนาดที่ฮ่องเต้เป็นคนออกคำสั่งด้วยตัวเอง ว่าให้ไปตามหมอหลวงมาเพื่อนางเล่า?
และเป็นที่รู้กันดี ว่าขณะนั้นเหยียนหลิงจวินก็อยู่ในจวน ทั้งวังบูรพาก็มีหมอเป็นของตัวเองเช่นกัน แต่หลี่รุ่ยเสียงกลับไปตามหมอหลวงด้านหน้างานเลี้ยงออกมาหนึ่งคนอย่างเงียบๆ
เห็นได้ชัดว่า…
ก็เพียงที่จะให้สะดวกต่อการจัดการ!
“ถ้าไม่ใช่เพื่อปกปิดเรื่องนี้ วันนี้เขาก็ไม่แน่ว่าจะมาหรอก” ซูอี้กล่าว ในที่สุดก็วางถ้วยสุราลงแล้วหันไปทางฉู่สวินหยาง “ชิ่งเฟยได้รับคำสั่งมาจากเขา จุดนี้คงไม่ต้องสงสัยแล้วสินะ?”
ชิ่งเฟยไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกับเขา ไม่มีความจำเป็นที่จะทุ่มแรงทำร้ายเขาอย่างสุดกำลัง!
แท้จริงรื่องทั้งหมดนี้เมื่อคิดขึ้นมาก็ยังทำให้คนรู้สึกขนพองสยองเกล้าอยู่จริงๆ หลัวอวี่ก่วนมีแผนในใจอยู่ก่อนแล้ว อยากจะยืมฐานะของซูอี้มาป้องกันเรื่องร้าย กลับไม่รู้ตัวว่าตัวของนางเองก็ถูกจับตามองมาอย่างเนิ่นนานแล้ว
“จะว่าไปแล้วก็ยังคงเป็นข้าที่ประมาทไป คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะล่วงรู้เรื่องที่หลัวอวี่ก่วนแอบตั้งท้องกับซูหลินอย่างถ่องแท้แล้ว แต่อย่างไรวิธีเสร็จงานฆ่าโคถึกของเขาก็นับว่ายอดเยี่ยมอยู่ดี!” เหยียนหลินจวินกล่าวอย่างขบขัน ท่าทีนั้นไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ทำให้คนรู้สึกยากที่จะรับได้
ซูอี้ได้ยินคำว่า “เสร็จงานฆ่าโคถึก” ห้าคำนี้ ใบหน้าก็ดำคล้ำขึ้นมาอย่างทันที
ฉู่สวินหยางจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
นางหยัดกายขึ้น ก่อนจะตบลงบนไหล่ของซูอี้ กล่าวยิ้มๆ “วันนี้ท่านเป็นแขกของจวนข้า วังบูรพาของข้านี้แต่ไหนแต่ไรก็ถือความยุติธรรมมากที่สุด มิอาจทำให้เจ้าเสียเปรียบไปเปล่าๆ หรือแสดงละครโดยได้เปล่าเป็นแน่ อย่างไรเสียคนที่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ข้าย่อมทำให้เขาได้รับความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด ให้สาสมกันถ้วนหน้า! ”
ขณะที่พูดก็เดินลงบันได ก้าวเท้าเดินลึกเข้าไปทางสวนดอกไม้
ซูอี้มองตามแผ่นหลังหน้าที่เดินออกไปด้วยท่าทีสบายๆ เม้มปากอย่างไม่อาจกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้ เลิกคิ้วมองไปทางเหยียนหลิงจวินอย่างทันที “เฮ้! เจ้าก็เอาตามนางว่า ไม่คิดที่จะห้ามสักนิดเลยรึ?”
เหยียนหลิงจวินเมื่อได้ฟัง ก็เลิกคิ้วขึ้นเลือนรางชั่วครู่ กวาดตามองดูเขาขึ้นๆ ลงๆ “หื้ม? ไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เจ้ารู้สึกเสียดายรึ?”
ซูอี้มองรับกับสายตาของเขา เพียงแต่หลุดยิ้มอย่างไม่ยี่หระออกมาเท่านั้น
เขาก้มหน้ารินสุราให้ตัวเอง นิ้วมือกดลงบนกระเบื้องลายครามบนแก้ว จู่ๆ สีของดวงตาก็เปลี่ยนเป็นมืดมนอย่างไม่รู้ตัว
ผ่านไปสักพัก เขาก็เงยหน้ามองไปทางเหยียนหลิงจวินอีกครั้ง “เรื่องของสกุลซู…ปล่อยให้ข้าจัดการด้วยตัวเองดีกว่า!”
เหยียนหลิงจวินที่กำลังเผยรอยยิ้มบนใบหน้า พลันปรากฏอสนีบาตวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เงยขึ้นมองเขาอย่างทันที
คนทั้งสองเมื่อสายตาประสานกัน ซูอี้ก็ขยับลุกขึ้นเดินไปยังด้านข้าง ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลาโดยหันหลังให้เขา กล่าวขึ้นอย่างเนิบช้า “นั่นเป็นพวกเขาที่ติดค้างข้า แล้วก็…”
—————————————————–
[1] สวมหมวกสีเขียว อุปมาว่าถูกสวมเขา