คำเพียงแค่ไม่กี่คำ เขากลับไม่อาจพูดให้จบทีเดียวได้อย่างคล่องปาก
กล่าวเพียงครึ่งเดียว จู่ๆ ก็หยุดชะงักไป กระทั่งผ่านไปชั่วครู่ จึงค่อยพูดออกมาช้าๆ อย่างเลื่อนลอย “แล้วก็เป็นข้า…ที่ติดค้างน้องสาม!”
ระหว่างที่พูด นิ้วมือของเขาก็ค่อยๆ กำขึ้นแน่นอย่างเงียบเชียบ ข้อต่อนั้นปรากฏสีขาวออกมาให้เห็นอย่างเลือนราง
เหยียนหลิงจวินสูดลมหายใจเข้าลึก หยัดกายเดินอ้อมโต๊ะออกไป กลับไม่มองท่าทีนั้นของเขาแต่อย่างใด เพียงแค่เดินไปหยุดอยู่ด้านข้าง ยืนเคียงคู่กับเขา มองดูบรรยากาศของสวนดอกไม้ “ตอนนี้อยู่ในเมืองหลวง เขาก็ยังพยายามใช้ทุกวิธีการเพื่อลงมือกับเจ้า แต่หากวันหนึ่งออกจากเมืองไป…เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะเป็นอย่างไร?”
“ข้ารู้ แต่หากไม่ไป ชั่วชีวิตของข้านี้ก็คงไม่อาจสงบลงได้!” ซูอี้กล่าว ก่อนจะหลับตาลงแน่น ทั้งยังกำหมัดอยู่ด้านล่าง
เหยียนหลิงจวินฟังจบ มุมปากกลับร้อยเรียงขึ้นมาเป็นรอยยิ้มอีกครั้งหนึ่ง หันไปมองเขาที่อยู่ด้านข้างพลางเอ่ยถาม “ไปแล้ว…เจ้าก็จะสามารถสงบใจลงได้งั้นรึ?”
ซูอี้ไม่ตอบอันใด เม้มริมฝีปากแน่น ค่อยๆ แผ่บรรยากาศมืดมนออกมา
เหยียนหลิงจวินกลับรู้ดี นี่เป็นปมในใจของเขา พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ จึงทำแค่เพียงตบลงบนไหล่ของเขาไปว่ากล่าวด้วยใจจริง “คิดให้ดีอีกครั้งเถิด! เรื่องบางเรื่อง อย่างไรก็ไม่สามารถนำกลับมาได้แล้ว ทั้งยังต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงน่ะรึ? ไม่มีความจำเป็นสักนิด!”
พูดจบก็เป็นฝ่ายหมุนกายจากไปก่อน
งานเลี้ยงอีกด้านหนึ่งของสวนดอกไม้นั้นได้เก็บโต๊ะไปแล้ว แม้ว่าจะอยู่ไกลจากที่นี่ แต่ก็ยังคงสามารถได้กลิ่นหอมตลบอบอวลของสุราและอาหารได้
ซูอี้ยืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน ไม่ขยับเขยื้อน ราวกับรูปแกะสลักหินที่ถูกกัดกร่อนด้วยสายลมก็มิปาน เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองดูมุมหนึ่งของท้องฟ้าที่ย้อมด้วยสีรัตติกาลเป็นเวลาเนิ่นนาน…
ในมุมตานั้นได้มีน้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นลงมา
ชิ่งเฟยพาหลานซีเดินออกไปอย่างรีบร้อน
นางเดินด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่ง แต่การลงฝีเท้ากลับเห็นได้ชัดว่าไม่มั่นคง หลายต่อหลายครั้งที่เกือบจะเหยียบสะดุดกระโปรงตนเอง
“พระชายาระวัง!” หลานซีรีบก้าวไปด้านหน้าพยุงนางเอาไว้
ชิ่งเฟยพลิกจับแขนนางเอาไว้ พยายามใช้นิ้วมือกำแน่น พูดกล่อมตัวเองให้สงบครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ยิ่งทำเช่นนั้นในใจก็ยิ่งหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ทั้งบนหลังและหน้าผากก็ล้วนแต่มีเหงื่ออกอยู่รางๆ
หลานซีถูกนางกำแขนแน่นจนน้ำตาคลอ กลับกัดฟันข่มกลั้นไม่กล้าที่จะร้องไห้ออกมา
ชิ่งเฟยพยายามสงบจิตสงบใจลง จู่ๆ ก็หันไปกล่าวกับหลานซีอย่างตื่นกลัว “หลานซี เรื่องที่ทำไม่สำเร็จครั้งนี้ เจ้าว่าฝ่าบาท เขาจะ…เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะ…”
การสร้างโอกาสให้ซูอี้และหลัวอวี่ก่วนได้อยู่ร่วมกัน ทั้งยังคิดแผนเผยแพร่เรื่องออกไป ก็ล้วนแต่เป็นคำสั่งที่ฮ่องเต้มอบหมายให้กับนาง
กระทั่งก่อนหน้านี้ที่นางพูดโกหกว่าหลัวอวี่ก่วนตกหลุมรักซูอี้ เดิมทีก็เพื่อใช้หลอกลวงฉู่เยว่ซินเท่านั้น
แม้ฮ่องเต้จะไม่ได้บอกถึงสาเหตุในการทำเรื่องนี้แก่นางอย่างชัดเจน แต่เมื่อเป็นเรื่องที่ฮ่องเต้ออกมือว่าต้องการจะทำ เช่นนั้นก็ย่อมต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน
นางรับคำสั่งมาอย่างยินดี ทั้งยังสามารถหาฉู่เยว่ซินที่สามารถเรียกใช้ตามใจต้องการมาเป็นผู้สมคบคิดได้ เดิมคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่ต้องห่วง ใครจะคาดคิดว่าเรื่องราวจะแปรเปลี่ยนเป็นเช่นนี้
แท้จริงจนถึงเวลานี้ นางก็ยังคงงุนงงไม่หาย ในเมื่อหลัวอวี่ก่วนก็ตั้งท้องอยู่แล้ว เหตุใดฮ่องเต้จึงพยายามฝืนบังคับจับคู่ซูอี้ให้กับนาง? แล้วเด็กคนนั้นแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่?
แม้จะมีเรื่องราวสับสนมากมาย กลับไม่สามารถไปถามฮ่องเต้ให้ชัดเจนได้ ดังนั้น…
เวลานี้นางจึงเป็นกังวล นางทำเรื่องครั้งนี้ล้มเหลว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้คิดจะจัดการอย่างไรกับนาง
คิดมาถึงขนาดนี้ ใจของชิ่งเฟยก็ยิ่งไม่สามารถสงบลงได้ ในตอนที่กำลังครุ่นคิดอยู่ ทางลาดเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามก็ปรากฏสาวใช้ที่สวมชุดสีดำเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็วทันที
“ถวายบังคมพระชายาเจ้าค่ะ!” นางค้อมกายคำนับ
ชิ่งเฟยนั้นกำลังจิตใจล่องลอย จึงไม่ได้มองนางแม้แต่น้อย ทว่าสาวใช้คนนั้นกลับเพ็งมองนางอย่างมีนัยแฝง ก่อนจะนำกระดาษม้วนหนึ่งยัดใส่ในมือของหลานซีอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปลีกตัวก้าวเท้ายาวเดินออกไปจากทั้งสองคน
หลานซีคลี่กระดาษออกอย่างมึนงง กลับพบว่าเป็นข้อความที่ฉู่เยว่ซินขอนัดพบกับชิ่งเฟย
“พระชายา ท่านหญิงเยว่ซินต้องการพบท่านเจ้าค่ะ!” หลานซีกล่าวด้วยใบหน้ากังวลใจ
ชิ่งเฟยได้ยินชื่อฉู่เยว่ซินจึงค่อยสงบใจลงได้บ้าง…
อย่างไร เรื่องเร่งด่วนสำคัญที่นางควรกระทำมากที่สุดก็คือสืบหาต้นสายปลายเหตุเรื่องนี้ทั้งหมดให้เข้าใจ ทั้งยังต้องคิดหาวิธีว่าจะอธิบายกับฮ่องเต้อย่างไร
ตรึกตรองในใจชั่วครู่ ชิ่งเฟยก็ผงกศีรษะรับ “รีบไปเร็วเข้า!”
สองนายบ่าวเดินไปอย่างรีบเร่ง พยายามอ้อมไปทางที่มีคนไม่มาก เพื่อไปพบเจอฉู่เยว่ซินที่จุดนัดหมาย
เพราะว่าบ่าวทั้งหมดล้วนถูกเรียกตัวให้ไปช่วยงานเลี้ยงทางด้านนั้น เวลานี้ที่เรือนจิ่นเซ่อจึงไม่มีเงาของผู้คนแม้แต่คนเดียว
ชิ่งเฟยทำใจให้เย็นลง ก่อนจะเดินเข้าไปในเรือนอย่างรวดเร็ว ผลักบานประตูใหญ่ของห้องหลักออก
ในห้องนั้นมีหลัวเสียงที่รออยู่ที่นี่สักพักแล้ว เวลานี้เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันกลับไปมองอย่างทันที
ชิ่งเฟยไม่ได้คาดคิดมาก่อน จึงอึ้งอยู่ที่หน้าประตูนั้น
“ถวายพระพรพระชายา!” หลัวเสียงกลับไม่มีท่าทีตกใจแม้แต่น้อย ประสานมือคารวะนาง หลังจากนั้นก็แทบไม่ได้รอให้นางหวนสติกลับคืนมา ก็กล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว “พระชายา เรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องสาวของข้า มันเป็นอย่างไรกันแน่?”
ชิ่งเฟยตื่นตะลึง ฝีเท้าก็ซวนเซ ถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าวโดยพลันจนแทบจะสะดุดกับธรณีประตู ขณะเดียวกันในใจก็มีเสียงก้องดังขึ้น…
คนผู้นี้ไปรู้อะไรเข้า?
“เจ้า…” ชิ่งเฟยอ้าปาก คล้อยหลังก็ตระหนกตกใจ รีบหันไปออกคำสั่งกับหลานซี “เจ้าออกไปเฝ้าอยู่ด้านนอกก่อน!”
“เจ้าค่ะ พระชายา!”
หลานซีรับคำสั่งออกไป ชิ่งเฟยก็รีบเร่งหมุนกายปิดประตูทันที เผยใบหน้าเคร่งขรึมกล่าวถามกับหลัวเสียง
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“ไม่ใช่ว่าพระชายานัดข้ามาหรอกหรือ?” หลัวเสียงยิ่งประหลาดใจกว่า คลำแขนเสื้อนำเอากระดาษจากในขี้ผึ้งออกมา
ชิ่งเฟยฉวยเอาไปอ่าน เป็นนางที่ใช้ชื่อนัดหลัวเสียงมาที่นี่อย่างจริงๆ
ในใจพลันตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างทันที รีบหมุนกายเดินไป
“พระชายา!” หลัวเสียงยังมิอาจเข้าใจเรื่องราวได้แต่อย่างใด จึงชิงเดินไปหนึ่งก้าวกางแขนขวางนางไว้ ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ข้อความที่กล่าวบนกระดาษนี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? อันใดคือคาดเดาเรื่องน้องสามได้ตั้งแต่ต้นจนจบ? จริงๆแล้วท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าใครเป็นคนวางแผนกับน้องสาวของข้า?”
“หลีกไป! ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่!” ชิ่งเฟยตระหนักได้อย่างรางๆ ว่านี่เป็นกับดัก จะมีใจมาอธิบายให้กับเขาได้อย่างไร จึงผลักเขาออกไปเพื่อจะออกไปด้านนอก
ทว่าเมื่อดึงประตูก็พบว่าประตูนั้นได้ถูกคนล็อกจากด้านนอกเรียบร้อยแล้ว
ใจของนางหดเกร็งโดยพลัน
ส่วนด้านหลัวเสียงนั้นรู้สึกราวกับตัวเองอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก พลันได้กลิ่นหอมลอยมาในอากาศ จากนั้นก็โงนเงน ล้มพับไปกับพื้น
ชิ่งเฟยตกใจ ถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าวอย่างหวาดกลัว ตอนที่กำลังคิดจะดึงประตูอีกครั้งก็รู้สึกเวียนศีรษะ มือไม้อ่อนแรง ค่อยๆ คุกเข่าล้มลงไป
ได้ยินเสียงทั้งสองคนล้มลงกับพื้นติดต่อกัน ประตูจึงค่อยถูกเปิดออกจากคนด้านนอก หญิงสาวสองคนที่อำพรางปากและจมูกด้วยผ้าพันคอเดินเข้ามา
เวลานี้ชิ่งเฟยยังคงรักษาสติไว้ได้อยู่เล็กน้อย เพียงแค่ทั่วทั้งร่างนั้นอ่อนแรงจนไม่สามารถขยับได้ อยากจะเปิดปากตะโกนหาหลานซีที่อยู่ด้านนอกแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง
หญิงสาวทั้งสองคนเดินเข้ามา
หนึ่งในนั้นถีบไปที่นางหนึ่งครั้งพลางกล่าว “ตอนนี้จะทำอย่างไรต่อ?”
“ถอดเสื้อออกให้หมดแล้วลากไปไว้บนเตียง!” อีกคนกล่าว ขณะที่พูดก็ควักยาสองเม็ดออกมาจากอก บีบปากทั้งสองคนออกก่อนจะยัดยาลงไปอย่างคล่องแคล่ว
ชิ่งเฟยเองก็ถูกฤทธิ์ของยามอมเมาจนสับสนมึนงง ในช่วงที่สะลึมสะลือก็เห็นแต่เงาของคนสองคนที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านหน้าไปมา ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของทั้งสองคนได้อย่างชัดเจน
—————————————————-