ตอนที่ 94 ใต้หล้านี้มีเขาฉลาดแต่เพียงผู้เดียว / ตอนที่ 95 การสารภาพรักอันแสนลำบากยากเย็น

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

ตอนที่ 94 ใต้หล้านี้มีเขาฉลาดแต่เพียงผู้เดียว

 

 

เป่ยเฉินอี้มองเซียวชิน เอ่ยถามว่า “เรื่องในปีนั้น เจ้าไม่โทษข้าหรือ”

 

 

พูดไปแล้ว หากมิใช่เพราะแผนการในปีนั้นของเขา เซียวชินก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับโทษสังหารคนจำนวนมาก จากหมอเทวดาที่คนเคารพบูชากลายเป็นหมอปีศาจ

 

 

เซียวชินแค่นหัวเราะคำหนึ่ง ตอบกลับ “โทษท่านหรือ หากบอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านเลยก็ไม่ใช่ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นโทษท่าน เรื่องในปีนั้นเป็นแผนการทางการเมืองระหว่างบ้านเมืองของพวกท่าน เดิมทีข้าเป็นชาวยุทธไม่สมควรร่วมวงด้วย เมื่อฝืนเข้าร่วมไปแล้วก็เป็นการตัดสินใจของข้าเอง ข้าทำไปเพราะอาหรุ่ย ไม่ใช่เพราะท่าน เซียวชินไม่โทษใครทั้งนั้น ในปีนั้นข้าช่วยแบกรับโทษสังหารคนหลายแสนแทนอาหรุ่ย ข้าก็ดีใจเป็นอย่างมาก เรื่องเป็นเช่นนี้เอง!”

 

 

ระหว่างเอ่ย เซียวชินก็หมุนกายกล่าวอำลา “ข้าขอลาก่อน อี้อ๋องรักษาตัวด้วย!”

 

 

สิ้นเสียงเซียวชินก็ดีดกายออกไป เดินทางไปจากจวนอี้อ๋อง

 

 

เป่ยเฉินอี้หัวเราะเบาๆ เอ่ยเสียงขรึมว่า “คิดไม่ถึงเลยว่า เซียวชินจะเป็นคนคิดตกถึงขั้นนี้!”

 

 

มิน่าในระยะนี้ พวกเขาถึงนับได้ว่าสนทนากับราบรื่นดี

 

 

ชิงเกอไม่เห็นเป่ยเฉินอี้ผ่อนคลายเช่นนี้มานานแล้ว เขาเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ท่านเตรียมการเสียหน่อยเถิด ข้าคิดว่าคืนนี้ต้องมีคนมาลอบสังหารท่านแน่ ทั้งไม่มีทางเป็นพวกปลายแถว ท่านไปพักผ่อนที่เรือนพักเสียก่อน กันไม่ให้พวกเขามารบกวนเวลาฝันของท่านในยามดึก!”

 

 

เป่ยเฉินอี้หัวเราะ ไม่ตอบปฏิเสธ

 

 

ชิงเกอถามต่อว่า “ท่านอ๋อง เยี่ยเม่ยนาง…มีค่าพอให้ท่านเดินก้าวนี้จริงหรือ เส้นทางที่ท่านเหยียบย่างเปลี่ยนเป็นคนละทางกับตอนแรกไปนานแล้ว!”

 

 

เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วก็หลับตาลง เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ข้าทำไปไม่ใช่เพราะเยี่ยเม่ย แต่เพื่ออาซี…หากเป็นอาซี ทุกอย่างล้วนคุ้มค่า!”

 

 

เพียงแต่หากในปีนั้นเขารู้สึกตัวว่าชอบอาซีแล้ว ข้าจะไม่มีทางทำร้ายนาง และไม่ทำให้พวกเขาไร้สิ้นหนทางจนเหลือเพียงทางเดียวเท่านั้น

 

 

ชิงเกอถอนใจคราหนึ่งก็ไม่เอ่ยต่ออีก

 

 

เป่ยเฉินอี้โพล่งขึ้นว่า “ระวังเซี่ยโหวเฉินไว้ให้ดี ช่วงนี้เขา…ไม่ค่อยสงบเท่าไรนัก!”

 

 

ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามที่ขอเพียงผิดปกติ นั่นก็หมายความว่าต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน

 

 

 

 

งานเลี้ยงในวันนี้เซี่ยโหวเฉินไม่มาร่วมด้วย จากนิสัยของเขาในกาลก่อนสมควรต้องมา ชั่วชีวิตของเซี่ยโหวเฉินมีเป้าหมายสำคัญเพียงสองเรื่องเท่านั้น หนึ่งก็วางแผนชิงอำนาจ สองก็คือคาดเดาความคิดของเขาได้ คิดชิงตำแหน่งปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้า

 

 

แต่ว่าวันนี้ เซี่ยโหวเฉินไม่มาร่วมงานเลี้ยงด้วย นั่นก็หมายความว่าเขากำลังเตรียมการบางที่สำคัญกว่า

 

 

ชิงเกอพยักหน้า “ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!”

 

 

……

 

 

ตกดึก

 

 

แผงลอยเล็กๆ ข้างทางบนถนนสายหนึ่งของเมืองหลวง เซี่ยโหวเฉินนั่งรอโชคดีอยู่ที่นั่น

 

 

เหวยซื่อกลับมีอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง อดรนทนไม่ไหวเอ่ยปากว่า “ท่านอ๋องน้อย วันนี้ในวังส่งข่าวมาว่า อี้อ๋องผู้หลงคิดว่าใต้หล้านี้มีแต่คนโง่ มีเพียงปราชญ์อันดับหนึ่งอย่างเขาที่ฉลาดแต่เพียงผู้เดียว วันนี้สุดท้ายเขาก็เสียที แผนการชิงอำนาจทางการทหารที่วางเอาไว้เป็นขั้นๆ ล้มเหลวไม่เป็นท่า คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายตราคุมทัพจะตกอยู่ในมือของเยี่ยเม่ยอย่างง่ายดาย”

 

 

เซี่ยโหวเฉินฟังแล้วกลับไม่คิดง่ายดายแบบเหวยซื่อ

 

 

สายตาของเขาตื่นตระหนกแฝงไปด้วยแววครุ่นคิด เอ่ยเสียงเย็นชา “ให้ข้าเชื่อว่าเป่ยเฉินอี้คาดการณ์ผิดพลาด ยังไม่สู้ให้ข้าเชื่อว่าพรุ่งนี้เช้าฝ่าบาทจะยกบัลลังก์ให้ข้าเสียดีกว่า! เรื่องนี้ข้าแปลกใจซะเหลือเกิน สรุปแล้วเพราะเยี่ยเม่ยก่อกวน เป่ยเฉินอี้จึงเสียแผน หรือว่าเขาวางแผนการอื่นกันแน่!”

 

 

แต่ว่าเมื่อเอ่ยมาถึงยามนี้ คนผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นมา นั่นคือคนที่เซี่ยโหวเฉินกำลังรอคอยอยู่ เขายิ้มมุมปาก “คนมาแล้ว!”

 

 

 

 

ตอนที่ 95 การสารภาพรักอันแสนลำบากยากเย็น

 

 

ไม่ไกลออกไป สตรีสวมอาภรณ์ขาวสะอาดนางหนึ่งเดินมาทางนี้

 

 

ส่วนสายตาของเซี่ยโหวเฉินก็สุขุมลง แทบจะในเวลาเดียวกันพลันมีโจรโผล่ออกมาล้วงเอากระเป๋าของผู้สัญจรในตรอกมืดสนิทแห่งนี้

 

 

โจรร้ายวิ่งหนีจากไปแล้ว!

 

 

จงรั่วปิงเห็นภาพเหตุการณ์จากไกลๆ คิ้วเรียวดุจกิ่งเหมยเลิกขึ้น ใบหน้างดงามผุดแววเย็นชา นางทะยานตัวขึ้นด้วยกิริยาชดช้อย พลิ้วกายที่หนึ่งข้ามอากาศไปดักเบื้องหน้าโจรผู้นั้น ในเวลาเดียวกันก็ชักกระบี่ชี้ไปที่ลำคอของอีกฝ่าย

 

 

ด้วยความเร็วระดับนี้ ทำให้ผู้อื่นตกใจในฝีมือของนางอย่างอดไม่ได้

 

 

ฝ่ายเซี่ยโหวเฉินเห็นดังนี้ก็เสียความควบคุมไปชั่วขณะ

 

 

จงรั่วปิงจับจ้องที่โจรผู้นั้น เอ่ยปากว่า “เอาคืนมา!”

 

 

โจรผู้นั้นคิดไม่ถึงว่าจะพบยอดฝีมือ ตกใจเสียจนแข้งขาสั่นไปหมด ควักเอาถุงเงินคืนออกมาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเปิดปากอ้อนวอน “แม่นาง ขอโทษด้วย! ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ ข้า…ถุงเงินอยู่ที่นี่แล้ว ท่านละเว้นชีวิตข้าด้วย!”

 

 

ในเวลานี้คนถูกขโมยถุงเงินก็รีบก้าวออกมาแล้ว หลังจากเขาได้ถุงเงินกลับไป ก็ขอบคุณจงรั่วปิงยกใหญ่

 

 

จงรั่วปิงสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง สายรัดยาวสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งออกจากแขนเสื้อมุ่งตรงเข้าไปรัดตัวโจรเอาไว้ นางมองเจ้าทุกข์ที่กล่าวขอบคุณตน ก็เอ่ยว่า “หากเจ้าอยากขอบคุณข้าจริงๆ ก็นำตัวเขาไปส่งทางการเถอะ! ไกลเกินไปแล้ว ข้าขี้เกียจเดินทาง!”

 

 

“แม่นาง ท่านปล่อยข้าไปเถอะนะ…” โจรเอ่ยปากขอร้อง

 

 

จงรั่วปิงเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าอาจปล่อยเจ้าได้ แต่กฎหมายไม่อาจปล่อยเจ้าไป!”

 

 

เจ้าทุกข์พยักหน้ารัวต่อกันหลายครั้ง รีบลากตัวโจรมุ่งหน้าไปยังที่ว่าการ

 

 

จงรั่วปิงเสร็จภารกิจก็สอดกระบี่กลับฝัก เดินฉับๆ จากไป

 

 

เหวยซื่อรีบกระทุ้งเจ้านายของตัวเอง “ท่านอ๋อง…” ที่มานี่ไม่ใช่เพราะบุตรสาวจงซานหรอกหรือ ทำไมผู้อื่นกำลังจะจากไปแล้ว ยังนั่งเหม่ออยู่ได้เล่า

 

 

เซี่ยโหวเฉินที่เหม่อลอยมองจงรั่วปิงค่อยได้สติกลับมา สายตามองจงรั่วปิงที่กำลังจะจากไปไกล

 

 

เขารีบลุกขึ้น เดินจ้ำตามจงรั่วปิงไป “แม่…แม่นาง!”

 

 

จงรั่วปิงชะงักฝีเท้าหันกลับมองเซี่ยโหวเฉิน เห็นว่าเป็นคุณชายหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดหรูหราผู้หนึ่ง ในมือเขายังถือพัดเพิ่มความสง่างามได้หลายส่วน

 

 

นางเลิกคิ้วถามว่า “มีอะไร พวกเรารู้จักกันหรือ”

 

 

เซี่ยโหวเฉินได้ยินนางเอ่ยดังนี้ ในฐานะปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งเป่ยเฉิน เขาคิดว่านอกจากเป่ยเฉินอี้แล้วก็ไม่ใครเปรียบเทียบกับตนได้ ในเวลานี้กลับเอ่ยติดๆ ขัดๆ “ไม่…ไม่รู้จัก! ตะ ตะ…แต่ว่าแม่นาง ขะ…ข้า…”  

 

 

เซี่ยโหวเฉินเอ่ยคำว่าข้าตะกุกตะกักอยู่นานสองนาน สีหน้าอึดอัดจนเขียวคล้ำ อ้ำอึ้งพูดไม่ออก

 

 

จงรั่วปิงเห็นท่าทางเขาไม่เป็นธรรมชาติ ก็ทนไม่ไหวหัวเราะออกมา “คุณชาย ท่านมีอะไรก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ ตอนนี้ก็สายแล้ว หากข้ายังไม่รีบกลับไปอีก ท่านพ่อคงจะเป็นห่วงแย่แล้ว!”

 

 

ด้วยฝีมือของนาง และบิดาที่ใจจืดใจดำผู้นั้น นางคิดว่าโอกาสที่บิดาจะเป็นห่วงนางมีไม่มาก แต่ว่าคำพูดนี้ก็สมควรพูดไม่ใช่หรือ

 

 

จงรั่วปิงไม่ขำยังพอทำเนา แต่พอหญิงสาวขำออกมา เซี่ยโหวเฉินพลันหน้าแดงก่ำไปถึงใบหูแล้ว! แน่นอนว่าเขาเคยพบหญิงงามมาไม่น้อย ที่ว่างดงามกว่าจงรั่วปิงก็เคยเห็นมาบ้าง กระทั่ง…ในจวนเขาก็ยังมีนางหนึ่งที่มีรูปโฉมไม่แพ้จงรั่วปิง

 

 

แต่ว่า…

 

 

ไม่รู้เพราะอะไร ในสมองเขามีแต่ภาพที่จงรั่วปิงลงมือกับโจรน้อยเมื่อครู่ กระบวนท่าชดช้อย เพลงกระบี่ปราดเปรียว หากเทียบกับตอนที่เขาชื่นชมฝีมือการใช้แส้ของเยี่ยเม่ยยามอยู่ชายแดนแล้ว วันนี้ยังแฝงไปด้วยความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง…หวั่นไหว

 

 

ด้วยเหตุนี้…

 

 

เขาเอ่ยติดอ่าง ตะกุกตะกักว่า “คือว่า มะ…แม่นาง ข้าอยากบอก…อยาก อยากเชิญเจ้า เชิญข้า ไม่สิ ข้า…”

 

 

สวรรค์ นี่เขากำลังพูดอะไรกันแน่!

 

 

เหวยซื่อที่อยู่ด้านหลังเซี่ยโหวเฉินสีหน้าอึ้งไปหมด! นี่มันเรื่องอันใดกัน! ท่านอ๋องน้อยรู้ว่าวันนี้จงรั่วปิงจะผ่านมาทางนี้ เพื่อชักชวนจงซานให้ไปอยู่ฝ่ายเขา จึงจงใจรอดักเฝ้าอยู่ที่นี่เพื่อใช้แผนชายงามมิใช่หรือ

 

 

มาถึงตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเป็นอันใดแล้ว

 

 

อ๋อ แผนชายงามยังไม่ทันได้เริ่ม ก็ถูกผู้อื่นชิงกระชากวิญญาณไปก่อน?

 

 

ครั้นเห็นเจ้านายตนพูดไม่ออกอยู่นาน เหวยซื่อก็ร้อนใจแทนเซี่ยโหวเฉิน เขารีบเอ่ยปากแทนผู้เป็นนายว่า “แม่นาง เจ้านายของข้าเห็นแม่นางมีกิริยาสง่างาม รู้สึกเลื่อมใสจึงอยากเชิญเจ้าดื่มชาสักถ้วย ถึงจะหุนหันไปบ้าง แต่ก็หวังว่าแม่นางจะให้เกียรติ !”

 

 

เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เซี่ยโหวเฉินก็พยักหน้ารัวๆ ราวกับมีดสับกระเทียม เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าบ่าวของตนมีความสามารถมากกว่าตนนัก

 

 

เขารีบเสริมว่า “ถูกแล้ว ถูกแล้ว เป็นเช่นนี้เอง! แม่…แม่นาง เจ้ายินดี ยินดี ยิน…”

 

 

นี่เขาเป็นอะไรไปแล้ว

 

 

พูดไม่ออกก็ช่างเถอะ ยังรู้สึกว่าหน้าแดงขึ้นทุกที ? !

 

 

จงรั่วปิงเห็นท่าทางเซ่อซ่าของเขา ก็อดไม่ไหวหัวเราะฮี่ๆ นางครุ่นคิดเล็กน้อยก็เดินมาข้างกายเซี่ยโหวเฉิน “ได้ ในเมื่อคุณชายมีน้ำใจ ข้าก็คงไม่ขัด!”

 

 

เซี่ยโหวเฉินรีบให้ทาง จงรั่วปิงนั่งลงตรงข้ามเขา

 

 

คราวนี้เขาค่อยเอ่ยประโยคเต็มๆ ออกมาได้ประโยคหนึ่ง “ข้าเซี่ยโหวเฉิน มิทราบว่าแม่นางคือ”

 

 

“จงรั่วปิง” จงรั่วปิงมุ่นคิ้ว ชื่อเสียงของเซี่ยโหวเฉิน นางย่อมเคยได้ยินมาบ้าง เขาอายุเยาว์กว่าเป่ยเฉินอี้ไม่กี่ปี ทั้งยังเป็นคนที่มีโอกาสกลายเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งต่อจากเป่ยเฉินอี้มากที่สุด นางก็เคยได้ยินบิดาเอ่ยถึงคนผู้นี้

 

 

หลายวันก่อนท่านพ่อบอกว่าเซี่ยโหวเฉินมาสู่ขอถึงบ้าน ท่านพ่อขอความเห็นนาง ตอนนั้นจงรั่วปิงยังไม่เคยพบคนจึงไม่มีความเห็น ท่านพ่อก็มิได้พูดมากความ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะบังเอิญได้พบแล้ว

 

 

เซี่ยโหวเฉินได้ฟังก็ทำท่าตกใจมาก “แม่นางก็คือจงรั่วปิง?”

 

 

“อือ ท่านอ๋องน้อย ขออภัยด้วย ข้าเป็นชาวยุทธ คงไม่คารวะท่านแล้ว!”

 

 

จงรั่วปิงก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องเซี่ยโหวเฉินมาสู่ขอถึงบ้าน ชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานถกกันเรื่องนี้ออกจะกระอักกระอ่วนไปเสียหน่อย

 

 

“ไม่เป็นไร! ไม่เป็นไร!” เซี่ยโหวเฉินแสดงละครเหมือนเพิ่งรู้จักนางจบ ครุ่นคิดว่าจะเอ่ยอะไรต่อไปดี ไม่รู้ทำไมถึงพูดไม่ออกราวกับว่าการเอ่ยคำเท็จและการแสดงละครฉากหนึ่งขัดกับความรู้สึกตนมาก

 

 

แต่ว่าพูดตามจริงแล้ว เขาพูดไม่ออกอีกครั้ง ตัวเองยังไม่เข้าใจเลยว่าอาการเป็นเพราะรู้สึกผิดหรือไม่

 

 

ดังนั้นทั้งสองจึงนั่งกันเงียบๆ

 

 

จงรั่วปิงเป็นฝ่ายถูกเชิญจึงไม่มีใจหาเรื่องชวนคุยก่อน เห็นเซี่ยโหวเฉินไม่พูดไม่จาอยู่นาน นางก็ดื่มชาถ้วยสุดท้ายไปเงียบๆ เอ่ยปากว่า “ในเมื่อท่านอ๋องน้อยไม่มีเรื่องอะไรจะเอ่ย ข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว!”

 

 

“ไม่…ข้ามีเรื่องจะพูด!” เซี่ยโหวเฉินรีบรั้งนางไว้

 

 

จงรั่วปิงมองเขา “อะไรหรือ”

 

 

เซี่ยโหวเฉินเห็นนางจ้องตนเอง เวลานั้นคำพูดก็ติดขัดอีกครั้ง เขาอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าแดงก่ำเตรียมสารภาพรัก “ข้า…ข้าคือ ข้ารู้สึกกับแม่นาง…เห็นว่า…เห็นว่า…เห็นว่า…เห็นว่าพระจันทร์วันนี้กลมสวยนัก!” 

 

 

เหวยซื่อ “…?”