ตอนที่ 717 ไม่ใช่ผู้มีพระคุณ แต่เป็นคนหลอกลวง! / ตอนที่ 718 ความสงสารอีกแบบ

หวานรักจับหัวใจท่านประธาน

ตอนที่ 717 ไม่ใช่ผู้มีพระคุณ แต่เป็นคนหลอกลวง!

“คุณหลอกฉันอีกแล้ว” เหนียนเสี่ยวมู่ยืดขาสองข้างออกไปด้านหน้านิ่งๆ เหล่มองสิงลี่ด้วยท่าทางเย็นชา แล้วเอ่ยขึ้นเสียงนิ่งๆ “คราวที่แล้วคุณบอกกับฟ่านอวี่ว่าคนที่ชอบตามฉันคือสิงฟาง แต่ตอนนี้กลับบอกว่าเด็กคนที่ใส่ชุดดำคืออีกคน คุณคิดว่าฉันจะเชื่อคำพูดมั่วๆ ของเธอเหรอ”

“สิงฟาง นั่นคือสิงฟาง นางแพศยานั่นต้องชอบคุณชายฟ่านแน่ๆ เลยชอบแอบตามเธอไป……ไม่ใช่ มันไม่ได้ใส่ชุดสีดำ กระโปรงที่มันใส่เหมือนกับฉัน แม่เป็นคนซื้อให้ฉัน มันบอกว่าชอบอยากได้เหมือนกัน……”

สีหน้าของสิงลี่เปลี่ยนเป็นดูอันอันตราย

ราวกับว่าเธอกำลังสับสนในตัวเองอยู่

“เป็นสิงฟาง ไม่ ไม่ใช่สิงฟาง คนๆ นั้นไม่เหมือนสิงฟาง……แต่คนที่ตามเธอไปคือสิงฟาง”

เหมือนว่าสิงลี่จะตกอยู่ในภวังค์เอาแต่พูดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด

เหนียนสเสี่ยวมู่เห็นว่าแววตาของหญิงสาวดูไม่ปกติ จึงไม่ได้เซ้าซี้ถามย้ำในเรื่องนี้อีก

“คุณบอกฉันมาก่อนว่าผู้ชายกับผู้หญิงที่คุณเคยเห็น หน้าตาเป็นอย่างไร คุณรู้ชื่อของพวกเขาหรือเปล่า”

“……”

สิงลี่อึ้งงันไปในทันที

สายตาที่มองมามีแววล้อเล่น แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา

“ยายโง่นี่ ก็บอกแล้วว่าหน้าตาดีไง หน้าตาก็ต้องดีอยู่แล้วสิ ฮ่าฮ่าฮ่า!”

เหนียนเสี่ยวมู่ “……”!!

“พวกเขาชื่ออะไร นั่นสิ พวกเขาชื่ออะไรนะ” สิงลี่เริ่มลังเล อยากเอื้อมมือไปจับผมตัวเองแต่ว่าขยับไม่ได้ เธอจึงใช้ศีรษะโขกไปที่หัวเตียงอย่างทรมาน

เหนียนเสี่ยวมู่ห้ามเธอเอาไว้ หยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดอัลบั้มรูปภาพ

“อย่างนั้นคุณก็น่าจะจำมิสเตอร์คาติได้ใช่ไหม เขาเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลสิง”

“เขาไม่ใช่ผู้มีพระคุณ เขามันคนหลอกลวง!” เมื่อสิงลี่มองเห็นภาพถ่ายก็เกิดอาการคุ้มคลั่งขึ้นมา เธอไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เธอไม่รู้สึกขอบคุณมิสเตอร์คาติเลยแม้แต่นิดเดียว

เหนียนเสี่ยวมู่ “ทำไมถึงบอกว่าเขาเป็นคนหลอกลวง เขาช่วยเหลือตระกูลสิงมาตั้งหลายปี”

สิงลี่ทำหน้าดูถูกเหยียดหยาม พูดเสียงเย็นๆ “คนที่ช่วยเหลือตระกูลสิงไม่ใช่เขา คนที่ช่วยเราเป็นคนที่หน้าตาดีมาก เขามันก็แค่พ่อบ้าน!”

“……”

เหนียนเสี่ยวมู่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ในทันทีแล้วหันไปมองทางอวี๋เยว่หาน

สีหน้าของอวี๋เยว่หานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

พวกเขาเอาแต่คาดเดาว่ามิสเตอร์คาติคือใคร ทำไมถึงต้องช่วยเหลือตระกูลสิง

คำพูดของสิงลี่เหมือนเป็นการแก้ไขข้อข้องใจทั้งหมดของพวกเขา

ตอนนี้เข้าใจกระจ่างแล้ว

เหนียนเสี่ยวมู่ไม่ใช่เด็กกำพร้าและก็ไม่ใช่เด็กที่ตระกูลสิงรับมาเลี้ยงดู แต่ถูกส่งมาให้ช่วยเลี้ยงดูต่างหาก

และก็ยังมีคนมาเยี่ยมเธอบ่อยๆ

อย่างนั้น สิบปีที่แล้วคนที่มารับตัวเธอไปจากบ้านสิงก็คือคนในครอบครัวของเธอเอง

ดังนั้นต่อมา ซ่างซินเลยมีโอกาสได้เจอเธอที่โรงเรียน

และก็เพราะสามีภรรยาตระกูลสิงเคยช่วยดูแลเหนียนเสี่ยวมู่มา พอตระกูลสิงเกิดเรื่องขึ้น มิสเตอร์คาติจึงได้ปรากฏตัวที่บ้านสิงและให้ความช่วยเหลือคนในตระกูลให้มีชีวิตรอด……

แววตาของเหนียนเสี่ยวมู่ปกปิดความตื่นเต้นเอาไว้ไม่มิด

“คุณรู้อะไรอีกบ้าง คุณจำชื่อของสองคนนั้นไม่ได้ แต่คงจำได้ว่าพวกเขาแซ่อะไรใช่ไหม หรือไม่ก็ชื่อเต็มๆ ของมิสเตอร์คาติ”

“จำไม่ได้แล้ว จำไม่ได้เลย”

จู่ๆ สิงลี่ก็ห่อตัวเป็นก้อนกลม กลิ้งอยู่บนเตียงส่ายหน้าไปมา

“พ่อกับแม่บอกว่านี่มันเป็นความลับ ห้ามบอกคนอื่น ถ้าคนอื่นรู้ พวกเขาก็จะไม่รักฉัน……”

“พวกเขารักแต่ตัวกาลกิณีอย่างสิงซิง พวกเขาไม่รักฉันแล้ว……”

“สิงซิงเป็นตัวกาลกิณี ถ้าไม่ใช่เพราะมัน พ่อแม่ฉันก็ไม่ต้องตาย มันเป็นตัวกาลกิณี ชาตินี้ฉันไม่มีทางยกโทษให้มันแน่ๆ……”

ตอนที่ 718 ความสงสารอีกแบบ

เหมือนว่าสิงลี่จะตกอยู่ในอาการคุ้มคลั่งอีกครั้ง ปากเริ่มพร่ำด่าสาปแช่งสิงซิง

สีหน้าเคียดแค้นราวกับอยากจะกินเลือดกินเนื้อเธอ

แต่ว่าเหนียนเสี่ยวมู่ก็ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ แต่เธอก็ดูเหมือนจะจำไม่ได้

เอาแต่ด่าอยู่คนเดียว

“คุณลองคิดดีๆ อีกรอบ คุณเจอพวกเขาตั้งหลายครั้ง ไม่เคยได้ยินใครเรียกชื่อพวกเขาเลยหรือไง” เหนียนเสี่ยวมู่กลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่ไหว เดินตรงเข้าไปจับไหล่ของสิงลี่เอาไว้แล้วซักถาม

แม้ว่าตอนนี้พวกเธอจะเดาเรื่องราวได้เกือบทั้งหมดแล้ว

แต่ว่ามันก็ยังมีข้อน่าสงสัยอยู่อีกหลายประเด็น

เป็นต้นว่าทำไมเธอถึงถูกส่งมาเลี้ยงที่ตระกูลสิง

เธอถูกรับตัวไปแล้ว ทำไมสามปีก่อนถึงได้มาปรากฏตัวที่เมืองเอชคนเดียว แถมยังบาดเจ็บไปทั้งร่างแบบนั้นอีก

เธอตั้งท้องเสี่ยวลิ่วลิ่วได้อย่างไร แล้วใครส่งเสี่ยวลิ่วลิ่วไปอยู่กับอวี๋เยว่หาน……

ขอแค่หาครอบครัวของเธอเจอ รู้ว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นใครกันแน่ ถึงจะได้คำตอบสำหรับปัญหาทุกอย่าง

“ฉันจำไม่ได้แล้ว เธอทำฉันเจ็บ……” สิงลี่พยายามดิ้นหนีมือของหญิงสาวอย่างสุดชีวิต

เมื่อหลบไม่ได้จึงก้มลงกัดที่ข้อมือของเหนียนเสี่ยวมู่

“โอ้ยยย”

สิงลี่เป็นบ้า เธอจึงกัดไปอย่างเต็มแรง

พอเหนียนเสี่ยวมู่ได้สติ ข้อมือของเธอก็ถูกกัดจนมีเลือดไหลซึมออกมาแล้ว

อวี๋เยว่หานรีบพุ่งเข้าไปด้านหน้า ใช้มือจับขากรรไกรของสิงลี่เอาไว้ บีบให้เธอคลายปากออก

วินาทีต่อมาก็รวบตัวเหนียนเสี่ยวมู่เข้าไปในอ้อมกอด

ก้มมองดูใบหน้าขาวซีดของเธอ

“ฉันไม่เป็นไร เมื่อกี้ฉันร้อนรนเอง ไม่ทันระวังตัวเลยโดนกัดเอา” เหนียนเสี่ยวมู่สบกับสายตาเป็นกังวลของชายหนุ่มแล้วพูดออกมาเสียงหงอยๆ

สิ้นเสียงของหญิงสาว พยาบาลที่ได้ยินเสียงร้องก็ผลักประตูเดินเข้ามา

เมื่อมองเห็นสิงลี่มีสีหน้าหวาดกลัว นั่งขดตัวอยู่บนเตียงก็รีบเดินเข้าไปปลอบ

“คุณสิงดูไม่ปกติแล้ว คงต้องรบกวนพวกคุณกลับไปก่อน”

สิ้นเสียงของพยาบาล อวี๋เยว่หานก็พาเหนียนเสี่ยวมู่เดินออกไปจากห้องคนป่วย

เขาจูงมือเธอเตรียมจะพาไปหาหมอ

แต่เหนียนเสี่ยวมู่กลับรั้งเขาไว้เสียก่อน “นิดเดียวเอง แค่โดนกัดเฉยๆ……”

“ผมยังไม่เคยกัดเลย” น้ำเสียงเย็นชาของอวี๋เยว่หานโพล่งออกมาประโยคหนึ่ง

ดวงตาสีดำสนิทจ้องไปที่รอยเลือดตรงข้อมือของหญิงสาวไม่วางตา กัดฟันกรอดอย่างไม่พอใจ

เหนียนเสี่ยวมู่ “……”

ดังนั้นสาเหตุที่เขาโกรธเป็นเพราะเขาไม่เคยกัดเธอ แต่สิงลี่กลับได้กัดอย่างนั้นเหรอ

อาการหวงของผู้ชายคนนี้นี่มัน……

ยังไม่ทันที่เหนียนเสี่ยวมู่จะต่อว่าเขาในใจจบ มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ลูบไปที่หน้าผากของเธอ “เหนียนเสี่ยวมู่ เก็บสายตาดูถูกของคุณไปซะ อย่างผมนี่มันเรียกว่าความสงสารอีกแบบต่างหาก ผู้หญิงใจร้าย”

เหนียนเสี่ยวมู่ “o(╯□╰)o……”

สุดท้ายเหนียนเสี่ยวมู่ก็โดนลากไปทำแผลอยู่ดี

ตามที่อวี๋เยว่หานพูดก็คือ ตอนนี้สิงลี่ไม่ปกติทางจิตจึงต้องไปทำการฆ่าเชื้อโรคสักหน่อย

อาการไม่ปกติทางจิตไม่ใช่โรคติดต่อ แต่อาการคุ้มคลั่งใช่ กว่าเขาจะได้คู่หมั้นมานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ยังไม่ทันจะได้แต่งเข้ามาก็ถูกคนแย่งไปเสียก่อน……ช่างเป็นคำพูดเพ้อเจ้อเสียจริง

เพื่อไม่ให้ความเย็นชาของเขามาทำให้เธอรู้สึกแย่ เหนียนเสี่ยวมู่จึงอาศัยจังหวะที่เขายังไม่ทันจะพูดจบเดินไปหาหมอเพื่อให้ทำแผลให้

ต่อมา ขณะที่ชายหนุ่มถามหมอด้วยสีหน้าจริงจังว่าต้องฉีดวัคซีนกันพิษสุนัขบ้าหรือเปล่านั้น เธอจึงรีบลากเขาออกมาจากโรงพยาบาล

“อวี๋เยว่หาน คุณมีอะไรปิดบังฉันหรือเปล่า” พอเหนียนเสี่ยวมู่ขึ้นรถก็หันไปมองชายหนุ่มด้วยท่าทีจริงจังในทันที

คนที่โดนเธอลากออกมาจากโรงพยาบาลอย่างไม่เต็มใจ ตอนนี้เพิ่งขึ้นมานั่งบนรถ

เอนหลังพิงเบาะอย่างขี้เกียจ ขายาวเหยียดออกไปด้านหน้า

เมื่อได้ยินคำถามของหญิงสาวจึงเหล่มองไปทางเธอแวบหนึ่งแล้วขมวดคิ้ว “เช่น?”