บทที่ 424

บทที่ 424

2 วันต่อมาใน ที่สุดเนตรเวหาและเครือข่ายใยพิภพก็ส่งข้อมูลบางอย่างกลับมา แต่สถานการณ์เฉพาะของศัตรูยังไม่ชัดเจนนัก

…ไม่ใช่ว่าพวกสายลับไม่พยายามที่จะสืบค้น แต่ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็หาไม่พบ

กองทัพเปิงที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำได้รับการคุ้มกันแน่นหนา โดยพวกหน่วยลาดตระเวนที่เดินกันขวักไขว่ในบริเวณป่าทึบตรงข้ามเมืองหลีชาน ที่ทุก ๆ 3 ก้าว 5 ก้าวจะมีทหารเปิงเดินตรวจตรา และนี่เอง มันจึงทำให้สายลับทั้งหมดที่ถูกส่งออกไปก่อนหน้านี้ถูกศัตรูฆ่าเกือบหมด

ดังนั้นแล้วคราวนี้หน่วยสอดแนมจึงไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป จนทำให้ข้อมูลที่ได้รับเป็นเพียงข้อมูลทั่วไปเท่านั้น…

ข้อมูลที่น่าสมเพชนี้ไร้ประโยชน์สำหรับถังหยินอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามหลีเทียนและอัยเจียได้นำชาวบ้านกลับมาด้วย ซึ่งมันก็ทำให้ถังหยินรู้สึกประหลาดใจยิ่ง

ชาวบ้านคนนั้นอายุประมาณ 30 ปี เขาผิวคล้ำและผอม ไม่สูงมาก ส่วนผิวของเขาก็หยาบเหมือนเปลือกส้มแห้ง และเสื้อผ้าที่เขาสวมก็ไม่ถือว่าใหม่ แต่ก็ไม่ได้เก่ามากเช่นกัน ซึ่งหลังจากที่หลีเทียนและอัยเจียพาเข้ามา คนผู้นี้ก็เอาแต่หันมองไปรอบ ๆ ไม่หยุด

ถังหยินไล่สายตาดูอยู่ซักพัก จากนั้นจึงยักไหล่และหัวเราะ ก่อนจะหันมองไปยังหลีเทียนและอัยเจีย “เขาเป็นใคร ?”

“เขาชื่อจ้าวอัน เป็นชาวบ้านธรรมดาขอรับ” หลีเทียนตอบ

อัยเจียหันกลับไปมองชาวบ้านผู้นั้น ขมวดคิ้วและดุ “ทำไมยังยืนนิ่งอยู่อีก !!”

“นายท่าน… นั่นน่ะเหรอคือนายท่านที่ว่า” จ้าวอันมองไปที่ถังหยินอย่างลังเล ด้วยชายหนุ่มสวมเพียงเสื้อผ้าชั้นนอกตัวเดียวและเขาก็ดูธรรมดา ผิดกับความโอ่อ่าในแบบที่หลีเทียนและอัยเจียมี ดังนั้นเขาจึงคิดว่าคนตรงหน้าไม่ได้มีอำนาจเท่าหลีเทียนและอัยเจีย

อัยเจียจ้องมองเขาอย่างดุดันและพูดด้วยเสียงต่ำ ” ’ท่าน’ ถังหยิน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จ้าวอันก็พลันร้องออกมาด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดคิดแม้แต่น้อย !!

ดังนั้นแล้วหลังจากได้สติ จ้าวอันก็พลันเร่งคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับเสียง ‘ตุบ’ ด้วยเขาคำนับครั้งแล้วครั้งเล่าพลางพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ขะ ..ข…. ข้า..จ้าวอัน… ขอรับ… ท่านถังหยิน !”

ถังหยินไม่ได้มีความคิดที่จะเสียเวลากับชาวบ้าน เขาโบกมืออย่างไม่เป็นทางการและพูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ !” หลังจากเขาพูดจบเขาก็มองไปที่หลีเทียนและอัยเจียด้วยสีหน้างงงวย

อัยเจียจึงพูดอย่างจริงจัง “นายท่าน เขาคนนี้มีวิธีที่จะให้เราสามารถข้ามแม่น้ำได้โดยที่ไม่ต้องใช้แพ”

“โอ้… ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของถังหยินก็พลันเบิกกว้างแล้วหันไปมองสามัญชนตรงหน้า

จ้าวอันไม่เคยเห็นดวงต0าคนที่สว่างจ้าจนเกือบจะเป็นประกายเช่นนี้มาก่อน มันทำให้ขาของเขารู้สึกอ่อนแรงจนต้องคุกเข่าลงอีกครั้ง และไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับถังหยิน

เมื่อเห็นเช่นนั้น ถังหยินก็พลันหัวเราะและพูดเบา ๆ “จ้าวอัน ข้าไม่ใช่เสือ …ข้าไม่กินเจ้าหรอก”

เดิมทีเขาแค่ล้อเล่น แต่ใครจะไปคิดว่าจ้าวอันที่คุกเข่าอยู่บนพื้นกลับไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ในขณะที่รีบตอบว่า “ใช่.. ใช่ ๆๆๆ …นายท่านไม่กินข้าหรอก !!?”

พรูดดด ! อัยเจียหลุดขำออกมา และการหัวเราะนี้ มันก็ถือการส่งสัญญาณให้ทหารยามเข้ามาพร้อมกับเก้าอี้ที่ให้จ้านอันนั่งลง

จ้าวอันไม่เคยเผชิญหน้ากับคนแบบถังหยินมาก่อนในชีวิตของเขาและเขาเองก็ไม่เคยเห็นโลกมากนัก ในตอนนี้เขาจึงทั้งกังวลและกลัวจนร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง แม้กระทั่งตอนที่เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ก้นของเขาก็แทบนั่งไม่ติด เช่นเดียวกับร่างกายของที่แข็งทื่อราวกับว่าจะล้มลงจากเก้าอี้ตอนไหนก็ได้

ถังหยินหัวเราะและถามว่า “จ้าวอัน เจ้ารู้ว่ามีฝั่งตื้น ๆ ในแม่น้ำที่สามารถข้ามไปได้แม้ว่าจะไม่ใช้เรือก็ตามงั้นหรือ ?”

“ขะ..ขอรับ มะ..มะ..มี…ขอรับ !” จ้าวอันพูดตะกุกตะกัก

“มันอยู่ที่ไหน ?” ร่างกายของถังหยินที่เดิมนอนอยู่ก็พลันลุกขึ้นนั่งโดยไม่ให้ตั้งตัว

“กลับไป… ทางที่มาขอรับ มันอยู่ห่างจากเมืองหลีชานประมาณ 40 ลี้ได้”

“…?” ถังหยินจ้องมองไปที่จ้าวอันโดยไม่กะพริบตา ก่อนจะหันไปและคว้าแผนที่โยนให้อีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ชี้ตำแหน่งให้ข้าที !”

จ้าวอันก้มหน้าต่ำตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนั้นแผนที่ที่ขว้างมาจึงกระทบถูกร่างจนตัวเขาตกใจเกือบตกเก้าอี้ …และหลังจากจ้องมองอย่างว่างเปล่าอยู่พักหนึ่ง เขาก็ตั้งสติกลับมาอีกครั้ง ในขณะที่ใช้มือที่สั่นเทาคลี่แผนที่ออก ก่อนจะรวบรวมความกล้าและเงยหน้าขึ้นมองถังหยินพลางพูดด้วยเสียงต่ำ “ข้า… ข้าไม่รู้ว่าจะอ่านมันยังไง ?!”

เฮ้อ ! ถังหยินถอนหายใจอย่างอ่อนแรง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “งั้นจงบอกมาซะ ! ว่าเจ้าไปเอาเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้แบบนี้มาจากไหน !”

“เรื่องนี้คนรู้ไม่เยอะจริงตามที่ท่านว่า ข้าเองก็ได้รู้เรื่องนี้มาโดยบังเอิญ เพราะตอนนั้นมันเป็นช่วงเดือนเจ็ดและแปดพอดี ทำให้น้ำลดลงต่ำจนมองเห็นเส้นทางที่ข้ามไปได้ขอรับ”

ตอนนี้เป็นช่วงต้นเดือนสี่ ดังนั้นแล้วเดือนเจ็ดและแปดจึงถือว่าห่างไกลนัก และถ้าถึงเดือนเจ็ดและแปดจริง พวกเขาก็คงสามารถสร้างแพไม้ถึงหลักหมื่น กับกำลังหลักแสนที่จะเดินทางตามมาอีก แล้วแบบนี้มันจะยังจำเป็นอีกหรือที่จะต้องใช้ชายฝั่งตื้น ๆ เพื่อข้ามแม่น้ำไป !!

ใบหน้าของเขายังคงเป็นมิตรเหมือนเดิม แต่หมัดของชายหนุ่มกลับค่อย ๆ กำแน่น ในขณะที่สายตาของเขาหันไปทางหลีเทียนและอัยเจียเป็นครั้งคราว

หลีเทียนและอัยเจียได้แต่แอบยิ้มแห้ง ๆ เพราะเมื่อพวกเขาพบชาวบ้านคนนี้ครั้งแรก อีกฝ่ายนั้นไม่ได้บอกว่าพวกเขาจะต้องรอจนถึงเดือนเจ็ดและแปด

เมื่อจ้าวอันพูดจบ ถังหยินก็พลันนั่งลงและหลับตาลง เขาโบกมือพลางพูดว่า “เอาเงินให้เขา แล้วส่งตัวกลับไป”

“นายท่าน… ข้า…” หลีเทียนต้องการอธิบาย แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ในท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงส่ายหัวและพูดกับจ้าวอัน “ไปกันเถอะ !”

หลีเทียนกำลังจะดึงจ้าวอันออกมา แต่คนหลังกลับพูดอย่างกระวนกระวาย “นายท่าน… ยังมีเรื่องที่ต้องบอกท่านอีกขอรับ !”

ถังหยินไม่สนใจที่จะมองไปที่เขาอีกต่อไป ชายหนุ่มหลับตาและถามว่า “มีอะไรจะพูดอีก ?”

“มีขอรับ ข…ขะ…ข้ารู้… วิธีการข้ามแม่น้ำโดยที่ไม่ต้องใช้เรือ”

ถังหยินหัวเราะเยาะ “จะให้เดินไปในน้ำเลยอย่างนั้นเหรอ ?”

“ขอรับ นายท่าน” จ้าวอันกลืนน้ำลายของเขาและอธิบายโดยละเอียด “ทางตอนเหนือของแม่น้ำมีความชื้นสูง ทำให้ตลอดทั้งปีมีเห็ดมากมาย และเพราะแบบนั้นข้าก็เลยมักจะไปทางตอนเหนือของแม่น้ำเพื่อเก็บเกี่ยวพวกมัน และแม้ว่าเห็ดที่เก็บมาจะพอจุนเจือครอบครัวได้ ทว่าทุกครั้งที่ข้าไปก็ต้องเสียเงินค่าโดยสารเรือ ดังนั้นข้าจึงรอจนระดับน้ำลดลงในเดือนแปดเพื่อที่จะดึงเชือกจากชายฝั่งทางใต้ไปยังชายฝั่งทางเหนือ ทำให้ไม่ว่าน้ำจะขึ้นหรือลง ตราบใดที่จับเชือกเส้นนี้ก็สามารถว่ายน้ำข้ามไปได้อย่างง่ายดายขอรับ !!”

“โอ้ ? มีเรื่องแบบนั้นจริงเหรอ ? “ถังหยินลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ดวงตาของเขาเปล่งประกายแวววาว เช่นเดียวกับจิตใจของชายหนุ่มที่หมุนอย่างรวดเร็วในขณะที่วิเคราะห์คำพูดของจ้าวอันอย่างรอบคอบ จากนั้นจึงพยักหน้าและถามด้วยรอยยิ้ม “พูดจริงหรือ ?”

“ข้าไม่กล้าที่จะโกหกหรอกขอรับ !”

ถังหยินเอียงศีรษะ กลอกตาและพูดยิ้ม ๆ “เอาล่ะ จงพาข้าไปที่นั่น ถ้าสิ่งที่พูดเป็นความจริง หนึ่งร้อยเหรียญทองจะเป็นของเจ้า แต่ถ้าไม่ล่ะก็ …เตรียมหาที่ฝังให้ตัวเองได้เลย !”

หลังจากที่จ้าวอันได้ยินสิ่งนี้ ไม่เพียงแต่เขาไม่กลัว ใบหน้าของเขากลับดูสดใสด้วยความตื่นเต้นจนแทบจะกระโดดตัวลอย เพราะต้องเข้าใจด้วยว่าหนึ่งร้อยเหรียญทองนั้นเพียงพอสำหรับชาวบ้านธรรมดาที่จะใช้ชีวิตสบาย ๆ ได้ทั้งชีวิต แล้วจะไม่ให้เขามีความสุขกับโชคลาภแบบนี้ได้ยังกัน ?!

ถังหยินพอใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายมาก พลางคิดว่าคนผู้นี้ไม่น่าจะเป็นสายลับของพวกเปิง ด้วยถ้าใช่ งั้นแล้วเขาก็ถือว่าแสดงได้แนบเนียนยิ่ง !!!

เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นถังหยินจึงไม่คิดสนใจเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของตนและตัดสินใจที่จะไปเอง ทว่าเขาก็กังวลเช่นกันว่าอาจมีสายลับอยู่ในเมืองหลีชาน ดังนั้นจึงไม่กล้าออกไปข้างนอกแบบเปิดเผย แต่เลือกที่จะเปลี่ยนเป็นชุดลำลองและพาหลีเทียน อัยเจีย เฉิงจิน กับจ้าวอันแอบออกมาจากประตูด้านหลังของเมืองแทน

หลังจากออกจากเมืองและยืนยันว่าไม่มีสายลับติดตามมา เขาก็พลันเอ่ยให้จ้าวอันเป็นผู้นำทางไปยังหาดตื้นที่ว่าในทันที

…ตลอดเส้นทางมันเต็มไปด้วยหินใหญ่น้อยและวัชพืชมากมาย ทำให้รถม้าไม่สามารถแล่นผ่านไปได้ จนถังหยินจำต้องเดินออกจากรถม้าโดยมีเฉิงจินและคนอื่น ๆ คอยพยุงเขาขณะเดินไปที่ฝั่ง

ถังหยินถามอย่างสงสัย “เจ้าบอกว่าซ่อนเชือกที่ขึงเอาไว้ใต้น้ำ ?”

“ขอรับ นายท่าน !” จ้าวอันตอบด้วยความเคารพ

“นานเท่าไหร่แล้ว ?”

“เกือบจะ 5 ปีแล้วขอรับ”

ถังหยินยิ้มและถามอย่างไม่เป็นทางการ “5 ปี… เวลานานขนาดนี้เชือกจะไม่เปื่อยยุ่ยหมดแล้วหรือ ?”

จริงด้วย ! ทั้งหลีเทียนและอัยเจียไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้จริง ๆ ทั้งสองมองไปที่จ้าวอันในเวลาเดียวกัน

ทว่าจ้าวอันกลับตอบอย่างมีความสุขว่า “ไม่ มันเป็นเชือกน้ำมันขอรับ ดังนั้นไม่ว่าจะสิบหรือยี่สิบปีมันก็ไม่มีทางเปื่อยยุ่ยหรอกขอรับ”

ชาวเฟิงทั้งสี่ไม่คุ้นเคยกับเชือกที่อีกฝ่ายพูดถึง และอันที่จริงแล้วเชือกน้ำมันนั้นก็ทำมาจากหวายพิเศษที่แช่ในน้ำมันซ้ำ ๆ กันจนแข็งแรงและทนต่อน้ำ

ถังหยินที่ได้ยินแบบนั้นจึงหัวเราะและเอ่ยถามออกมาด้วยความสนใจ “เจ้าทำเองอย่างนั้นเหรอ ?”

“ขอรับ พี่ใหญ่เป็นคนสอนข้าเอง”

“แล้วเขาอยู่ที่ไหนซะแล้วล่ะ ?”

“เขาเคยเป็นหนึ่งในทหารภายใต้กองทัพอันเกรียงไกร…”

“โอ้ ?”

“อย่างไรก็ตามเมื่อ 2 ปีก่อนพี่ใหญ่ไปรบที่แคว้นหนิงและเสียชีวิตที่นั่น” หลังจากพูดสิ่งนี้ การแสดงออกของจ้าวอันก็พลันดูเงียบเหงา เช่นเดียวกับดวงตาของเขาที่เผยให้เห็นความเศร้าโศก…