ภาคที่ 2 บทที่ 51 โต้กลับ (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 51 โต้กลับ (2)

“เราไม่น่าทำแบบนั้นเลย ต่อไปข้าจะมีหน้าไปพบซูเฉินอย่างไรกัน ?”

จินหลิงเอ้อร์ยกมือกุมหัวขณะที่นั่งริมกองไฟ

“เรื่องก็ทำไปแล้ว ยังจะมาพร่ำบ่นให้ได้อะไรอีก ?” จางเซิ่งอันหัวเราะ

“หากไม่มีหน้าไปพบซูเฉิน เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปพบอีกก็เท่านั้น” อสูรโลหิตจางเซิ่งอันว่า

เขาเตี้ยกว่าจางเซิ่งอันอยู่เล็กน้อย ตอนนี่กำลังยืนพักอยู่ใต้ร่มไม้ คล้ายกับเงามืดจะช่วยทำให้เขาสบายใจได้ อย่างไรก็ตาม คำที่เอ่ยออกมานั้นก็ดูจะเอนเอียงนัก

หยุดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเสริมอีก “เพราะอย่างไรเจ้าก็อาจจะไม่ได้เจอมันอีกแล้วก็ได้”

พูดจบ คนอื่น ๆ ก็หัวเราะชั่วร้ายออกมา

จินหลิงเอ้อร์ยังไม่สบายใจ “ข้าเริ่มเสียใจที่มาเข้ากลุ่มพวกเจ้าแล้วสิ”

คนอื่น ๆ เอ่ยขึ้นเช่นกัน “นี่ จินหลิงเอ้อร์ ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำวันนี้อีกหรือไร ? เจ้าคิดว่าเราลงมือเพื่อชิงวานรนั่นมาอย่างเดียวหรือ ? คิดว่าพวกข้าไม่มีฝีมือพอจะจับอสูรร้ายที่ระดับสูงสักหน่อยมาให้เจ้าคุมได้หรือไร ?”

คือเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวคล้ายใบหญ้าปักลายเหยี่ยว ผูกผ้าปักดิ้นทองลายเหยี่ยวเช่นกัน สวมรองเท้าทะยานแตะภูผาสีขาว ผมยาวปล่อยด้านหลัง ปอยผมด้านซ้ายเหน็บหลังหู ผิวขาวจัดราวหิมะ ริมฝีปากสีแดง นับเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่ง

เขามีนามว่ากวนซานอิง มาจากมณฑลสามเทือกเขาเช่นกัน

แท้จริงแล้วคนทั้งกลุ่มล้วนเป็นศิษย์ที่มาจากมณฑลสามเทือกเขากันทั้งสิ้น

กลุ่มส่วนมากมักตั้งขึ้นโดยให้สมาชิกในกลุ่มมาจากพื้นที่เดียวกันเพื่อสร้างความสามัคคีให้เหนียวแน่น

ศิษย์สถาบันมังกรซ่อนเร้นจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงหลาย ๆ คนมักจะจับกลุ่มกันตามบ้านเกิดหรือตระกูลตน

กลุ่มทะยานฟ้าเองก็เช่นกัน จางเซิ่งอันรวบรวมคนมีฝีมือโดดเด่นมาจากมณฑลสามเทือกเขาเกือบทั้งหมด นับเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดกลุ่มหนึ่งในปีนี้ทีเดียว

ที่กล่าวว่า ‘เกือบทั้งหมด’ เป็นเพราะจีหานเยี่ยนปฏิเสธที่จะรวมกลุ่มกับเขา

เหตุผลที่นางปฏิเสธช่างพบเห็นได้ยากนัก เจ้าอ่อนแอเกินไป ไม่มีค่าควรจะอยู่รวมกลุ่มเดียวกับข้า ข้าจะไปคนเดียว

นับเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดที่จางเซิ่งอันประสบยามตั้งกลุ่มเลยทีเดียว

แต่เรื่องเหบ่านั้นไม่สำคัญในตอนนี้ จินหลิงเอ้อร์เบิกตากว้างยามได้ยินคำพูดกวนซานอิง “เจ้าว่าอะไรนะ ? เป็นเพราะข้าหรือ ?”

“ถูกต้อง เป็นเพราะเจ้า” ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยตอบนาง

เขาสวมชุดขี่ม้าสีกรมท่าปักลายอสูรร้ายสีทอง ห้อยโซ่ที่ร้อยจากฟันอสูรร้ายที่เอว สวมรองเท้าแปดมุม มัดผมเป็นหางม้าง่าย ๆ มีใบหน้าเหลี่ยม ประดับไปด้วยคิ้วและริมฝีปากหนา อีกทั้งยังมีแขนใหญ่สองข้างที่ดูสะดุดตายิ่งนัก แต่กลับมีนิ้วอ้วนสั้นอย่างไม่น่าเชื่อ

เขาคือมังกรแล้งเจียงหยาง

เจียงหยางกล่าว “เจ้ากับไอ้คนไร้สายเลือดนั่นสนิทสนมกันเกินไป จินหลิงเอ้อร์ จางเซิ่งอันเคยเตือนเจ้าแล้วว่ามังกรไม่ปะปนกับฝูงงู หงส์ไม่ลดตัวไปกินหนอนแมลง คนที่ไม่รู้จักเลือกคบมิตรไม่มีทางเจริญก้าวหน้า แต่ดูท่าเจ้าจะไม่ได้เก็บคำเหล่านั้นไปใส่ใจเลย”

“เขากับข้าเป็นสหายกัน” จินหลิงเอ้อร์พูดขึ้น

“เจ้าจะเห็นแก่สหายเกินไปแล้ว !” อีกคนโต้ขึ้น

คนที่เอ่ยขึ้นครั้งนี้ตัวเตี้ยนัก เขาสวมเสื้อคลุมสีทอง บนอกปักลายหัวหมาป่า ผ้าพันสีกรมท่าปักนัยน์ตาสิงห์ สวมรองเท้าหนังกลับ มัดทรงผมสูงคล้ายมงกุฎ ใบหน้าทรงกลม เรื่อด้วยสีแดง แต่มีนัยน์ตาสีทอง ยามเอ่ยคำกับคนอื่นก็ส่องแสงเป็นประกาย

คือจักจั่นทองหงอู่

หงอู่เอ่ยเสียงแหบเล็กน้อยออกมา “เจ้าคิดว่ามันเป็นสหายอยู่ตลอด แต่มันเคยปฏิบัติกับเจ้าเยี่ยงสหายบ้างหรือไม่ ? เจ้าลองคิดดูเถอะ เราบอกมันแล้วว่าเจ้าต้องการวานรยักษ์ตัวนี้ หากเป็นสหายกันจริงก็ควรมอบวานรยักษ์ให้เจ้าโดยไม่อิดออด แต่นี่เกิดอะไรขึ้น ? เราก็ยังต้องเตือนพวกมัน มันถึงจะยอมปล่อยอสูรมาให้โดยไม่เต็มใจ คนเช่นนี้เรียกว่าสหายได้หรือไร ? เจ้าอาจจะมองพวกมันเป็นสหาย แต่พวกมันอาจคิดไม่เหมือนเจ้า”

“อย่างไรพวกไร้สายเลือดก็ต้องจมปลักอยู่กับความสำเร็จที่ถูกจำกัดขอบเขตเท่านั้น เหตุใดต้องรักษาความสัมพันธ์กับมันไว้ด้วยเล่า ?” ชายร่างกำยำในชุดคลุมสีเข้มเอ่ยขึ้น ภายในชุดคลุมคือชุดขี่ม้าสีดำปักรูปพระพุทธองค์ สวมทองเท้าหนังเสือยาวถึงเข่า ผมตัดสั้นดูเรียบร้อย มีผิวสีเข้มนัก นัยน์ตาโตราวระฆังทองแดงขนาดเล็ก ใบหน้าด้านขวามีลวดลายซับซ้อนถูกเขียนไว้ ที่มือยกหอกนริศไว้ ปลดปล่อยกลิ่นอายดุดันสมชายชาตรีออกมา

เขาคือดาบระมาดเจิ้นขวง เป็นคนที่ใช้หอกแทงหวังโต้วซานตอนการสอบในมณฑลสามเทือกเขา

จางเซิ่งอันเอ่ยเสริม “ตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็มีสถานะและศักดิ์ศรีของตนเองนะจินหลิงเอ้อร์ เราอาจทำความรู้จักกับพวกไร้สายเลือดบ้างเป็นบางครั้งเพื่อแสดงความเมตตาและความอดทน แต่ตามปกติแล้วเราต้องไม่เข้าใกล้พวกมัน หากเจ้าไปใกล้พวกมันเกินไป พวกมันจะคิดเอาได้ว่าสามารถใช้ประโยชน์จากเจ้า ไม่เกรงกลัวและไม่เชื่อฟังเจ้าได้ อาจถึงขั้นคิดโค่นล้มเจ้าก็เป็นได้…… ได้ยินว่าซูเฉินเป็นศิษย์ของฉือไคฮวง รู้หรือไม่ว่าฉือไคฮวงเป็นตาเฒ่าเช่นไร ?”

จินหลิงเอ้อร์ใจสะท้านไปเล็กน้อย

จางเซิ่งอันเอ่ยต่อ “คิดอยากทำลายข้อจำกัดทางสายเลือดก็นับว่าล่วงเกินกันมากแล้ว ไม่สังหารมันก็นับว่าเราเมตตามันเท่าไร เรื่องครั้งนี้ทำเพื่อสั่งสอนมันเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”

“เจ้าคิดให้ตกเถอะ อย่าเป็นเช่นหวังโต้วซานที่ไม่คิดแก้ไขตน”

จางเซิ่งอันพูดทิ้งท้ายพร้อมการจิกกัด

จินหลิงเอ้อร์พูดอะไรไม่ออก

นางตกลงสู่ภวังค์ความคิดของตนเอง

เป็นตอนนั้นเองที่จักจั่นทองหงอู่พลันหันมองรอบกายก่อนตะโกนขึ้น “ใคร ?”

คนทั้งหมดขยับกายชิดกันในพลัน กระทั่งวานรยักษ์ที่จินหลิงเอ้อร์ควบคุมยังยืนตัวตรง มองไปโดยรอบอย่างระวังภัยอยู่เบื้องหลัง

คนผู้หนึ่งเดินเสียงเบาออกมาจากในป่า ฝีเท้าเบาแทบไม่ได้ยิน

“ซูเฉิน ?” จินหลิงเอ้อร์ร้องขึ้นหลังจากหลุดออกจากภวังค์ตกใจ

คนที่เดินออกมาจากป่าคือซูเฉินนั่นเอง

ซูเฉินยังคงก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสบาย ๆ “หลิงเอ้อร์ เจ้าอยู่ที่นี่จริงด้วย ! ไล่ตามเจ้ามาตั้งนาน”

อสูรโลหิตจงติ่งและคนอื่น ๆ เหลือบมองเขาด้วยความรังเกียจ

จินหลิงเอ้อร์เห็นซูเฉินท่าทางจริงใจก็ชะงักไป กล่าวขึ้นว่า “ไล่ตามข้ามาเพราะเหตุใดกัน ? ต้องการวานรยักษ์เหล็กกล้ากลับไปใช่หรือไม่ ? เรื่องที่เกิดขึ้นข้าขอโทษด้วยจริง ๆ……”

ซูเฉินเอ่ยขัด “เจ้าพูดไร้สาระอะไรของเจ้า ? พวกเราเป็นสหายกัน ในเมื่อเจ้าต้องการมัน เช่นนั้นข้าก็มอบให้เจ้าสิ ?”

ทุกคนต่างตกตะลึงกับคำของซูเฉิน

ซูเฉินเดินเข้าไปใกล้จินหลิงเอ้อร์ก่อนหัวเราะ “ข้าเพียงยินดีที่เห็นว่าเจ้าทำสำเร็จ ก็เลยคิดจะมาพูดคุยก่อนจากกัน”

จินหลิงเอ้อร์ถอนหายใจออกมา

จางเซิ่งอัน จงติ่งและคนอื่น ๆ ขมวดคิ้วในพลัน

แม้พวกเขาจะดูถูกคนไร้สายเลือดเช่นซูเฉิน แต่อีกฝ่ายมีท่าทีเป็นมิตรเช่นนี้แล้วพวกเขาไปล่วงเกินอีกฝ่ายโดยตรง มันก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง

เมื่อซูเฉินกล่าวว่าเขาเต็มใจมอบวานรยักษ์ให้ ที่ตามมาเพียงเพราะอยากพบหน้าและพูดคุยกับจินหลิงเอ้อร์เท่านั้น หากพวกเขาคิดไล่อีกฝ่ายไปหรือโจมตีออกไปก็นับว่ากดขี่กันมากเกินไปแล้ว

แท้จริงแล้วตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลายต่างก็เย่อหยิ่งกันทั้งสิ้น แต่กระทั่งผู้ที่หยิ่งยโสที่สุดก็ยังต้องมีเหตุผลให้กับการกระทำของตน

คนที่รู้สึกว่าการกลั่นแกล้งสร้างปัญหาให้คนที่ตนมองว่าอยู่ต่ำกว่าเป็นเรื่องน่าอึดอัด ไม่คิดวางท่าและวางอำนาจให้ดี แม้จะมีอยู่บ้างแต่ก็มักไม่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังถูกตราหน้าว่า ‘ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี’

ดังนั้นเมื่อเห็นซูเฉินพูดคุยและหัวเราะอยู่กับจินหลิงเอ้อร์ พวกเขาจึงไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรอยู่พักหนึ่ง

เคราะห์ดีที่ซูเฉินปรับตัวตามสถานการณ์ได้ เขาดึงจินหลิงเอ้อร์ไปด้านข้าง คุยกับนางเล็กน้อยก่อนจากไป

เมื่อเห็นอีกฝ่ายมาแล้วจากไปเช่นนั้น ต่างคนต่างพูดไม่ออก

สุดท้ายเป็นจางเซิ่งอันที่เอ่ยขึ้น “แม้ซูเฉินคนนี้จะขี้ขลาด แต่ก็ยังนับว่ามีปัญญาอยู่บ้าง หากเชื่อฟังเช่นนี้โดยตลอดเราก็ไม่จำเป็นต้องก่อเรื่องให้มันแล้ว แต่หลิงเอ้อร์ คำเมื่อครู่ของข้าก็ยังสำคัญ รู้จักคนเช่นนี้ไว้ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าได้ยึดติดกับมันมากนัก”

“ข้ารู้แล้ว” จินหลิงเอ้อร์ตอบก่อนจะก้มหน้าลง

ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

————————

หลังจากผละจากจินหลิงเอ้อร์มา ซูเฉินก็มุ่งหน้ากลับไปหากลุ่มพิสุทธิ์

เดินทางไปได้ไม่เท่าไรก็พบกับอวิ๋นเป้า หวังโต้วซาน และคนอื่น ๆ อีกครั้ง

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มกลับมา เจิ้งเซี่ย และคนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าดีขึ้นในพลัน

ตู้ฉิงตะโกนถาม “ซูเฉิน เป็นอะไรหรือไม่ ?”

ซูเฉินหัวเราะตอบ “ข้าดูเป็นอะไรหรือไม่เล่า ?”

ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที

“เจ้าพบจินหลิงเอ้อร์และคนอื่น ๆ แล้วหรือ ?” หวังโต้วซานเอ่ยถาม

“อืม ข้าพูดคุยกับพวกเขาเล็กน้อย” ซูเฉินตอบ

“เท่านั้นเองหรือ ?” ทุกคนตะลึงไป

ซูเฉินพุ่งตัวจากไปเพื่อติดตามอวิ๋นเป้าเพื่อที่จะได้คุยกับจินหลิงเอ้อร์เล็กน้อยงั้นหรือ ?

“แล้วก็ฉวยโอกาสมอบของขวัญชิ้นเล็กไว้ให้ด้วย”

“ของขวัญอะไรกัน ?” ทุกคนถามเขาขึ้นพร้อมกัน

“ผงแป้งที่ทำจากยาขับไล่สัตว์อสูร” ซูเฉินตอบ “มันจะปล่อยกลิ่นอสูรร้ายทรงพลังออกมา ดังนั้นพวกอสูรร้ายระดับต่ำไม่กล้าเข้าใกล้แน่นอน ยาออกฤทธิ์ได้นานมาก ใช้เพียงเล็กน้อยก็ยังได้ผล”

อวิ๋นเป้านัยน์ตาเป็นประกาย “ออกฤทธิ์นานเท่าไร ?”

ซูเฉินคลี่ยิ้ม

แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าปรุงออกมาทั้งหมด 8 ขวด…… เท่านั้นก็น่าจะพอทำให้พวกนั้นคลั่งได้แล้วกระมัง”