บทที่ 50 ตอบโต้ (1)
“พวกเจ้าใช้เวลาไปถึง 4 ก้านธูป หากเป็นคนอื่นรับหน้าที่ล่อเจ้าวานรยักษ์นี่ละก็คงได้ตายไปสามสี่รอบแล้วกระมัง…… ให้เหตุผลกับข้ามาดี ๆ เล่า”
หลังจากดูดซับจุดแสงจุดสุดท้ายเข้าไป นับเป็นการจบ ‘พิธี’ ซูเฉิน ก็หันมามองเจิ้งเซี่ย
นัยน์ตาไม่สงบเท่าไรนัก
ไม่ว่าใครตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมยิ้มไม่ออก
“ขอโทษด้วย เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น” หวังโต้วซานวิ่งตามมา
“มีเรื่องเกิดขึ้นจริง ๆ นายท่าน พวกเรารีบมาให้เร็วที่สุดแล้ว”
เมื่อได้ยินว่าหวังโต้วซานและกังเหยียนเองก็กล่าวเช่นนั้น ความโกรธของซูเฉินจึงบรรเทาลงเล็กน้อย เขาเหลือบมองกลุ่มคน พบว่าต่างคนต่างตัวชุ่มเหงื่อ ใบหน้าเหนื่อยล้า ดูท่าจะมุ่งหน้ามาที่นี่โดยเร็วที่สุดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอวิ๋นเป้าจึงไม่อยู่ด้วย
“เกิดอะไรขึ้น ?”
คนที่เหลือจึงค่อย ๆ อธิบายสถานการณ์ให้เขาฟัง
หลังจากซูเฉินล่อเจ้าวานรออกไปแล้ว คนทั้งเจ็ดก็เริ่มลงมือกับวานรยักษ์เหล็กกล้าเต็มกำลัง
แม้วานรยักษ์เหล็กกล้าจะแกร่งนัก แต่ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีอันดุดันจากคน 7 คนได้
พวกเขาต่างซัดทุกอย่างที่มีเข้าใส่มัน ในตอนที่กำลังจะเอาชนะมันได้ คนอีกกลุ่มกลับปรากฏตัวขึ้น
“อีกกลุ่มงั้นหรือ ?” ซูเฉินขมวดคิ้ว “เป็นใคร ?”
“เป็นจางเซิ่งอันบัดซบนั่น” หวังโต้วซานตอบเสียงโกรธ “พอมาถึงก็บอกว่าวานรยักษ์เหล็กกล้าตัวนี้เป็นของเขา ให้เราวางมือจากมันเสีย”
“เขาคิดจะเอาวานรยักษ์ไปหรือ ?” ซูเฉินชะงักไป “กลุ่มคนเย่อหยิ่งพวกนั้นตกต่ำมากจนถึงขนาดต้องเที่ยวไล่ปล้นผู้อื่นแล้วหรือ ?”
“เปล่า พวกเขาต้องการตัวมันเป็น ๆ” หวังโต้วซานตอบ
ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง สักพักจึงนึกบางอย่างออก “จินหลิงเอ้อร์ ?”
วานรยักษ์เหล็กกล้านั้นแข็งแกร่งทั้งในด้านการโจมตีและการตั้งรับ แม้วิถีการต่อสู้ของมันจะเรียบง่าย แต่ก็ใช้ได้ดี หากจินหลิงเอ้อร์สามารถควบคุมมันได้ ต่อไปนางก็ใช้มันเป็นโล่ และโจมตีพร้อมกันกับนางได้ ที่ดีที่สุดคือวานรยักษ์เหล็กกล้าควบคุมง่าย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พวกนั้นคิดสนใจมัน
จางเซิ่งอันและคนอื่น ๆ ตามหาอสูรร้ายระดับสูงที่ควบคุมง่ายให้จินหลิงเอ้อร์มานานแล้ว แต่ยังไม่เจอเป้าหมายที่เหมาะสมสักที
ครั้งนี้พวกเขาบังเอิญพบกับกลุ่มพิสุทธิ์ที่กำลังสู้กับวานรยักษ์เหล็กกล้า ดังนั้นจึงมีความคิดชิงเอาเหยื่อออกอีกฝ่ายโดยใช้กำลังขึ้นมา
เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่กลุ่มคนไร้สายเลือดดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องใส่ใจมาก
ที่ภายในสถาบันมังกรซ่อนเร้นแห่งนี้ ศิษย์จากตระกูลสายเลือดชั้นสูงและศิษย์ไร้สายเลือดไม่ถูกกันอยู่ตลอด บ้างก็หาเรื่องวิวาทกับอีกฝ่ายอย่างไร้เหตุผล ยิ่งกับสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งไม่ต้องกล่าว
กลุ่มพิสุทธิ์ย่อมไม่ยอมให้อีกฝ่ายเอาเปรียบ พวกเขาเริ่มประมือกันในพลัน แต่เคราะห์ร้ายที่อย่างไรก็ไม่อาจต้านทานจางเซิ่งอันได้ แม้แรกเริ่มจะดูเหมือนได้เปรียบ แต่ก็ใช้แรงและพลังไปกับวานรยักษ์เหล็กกล้าไปมากแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจเอาชนะอีกฝ่ายได้เลย
สุดท้ายก็ทำได้แต่มองอีกฝ่ายนำวานรยักษ์จากไป
ซูเฉินหันไปหาหวังโต้วซาน “จินหลิงเอ้อร์ทำเพียงมองพวกเขาเอาของของเราไปอย่างนั้นหรือ ?”
“นางร้องขอจางเซิ่งอันและคนอื่น ๆ แล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก” หวังโต้วซานถอนหายใจ
เขาไม่ได้เล่าส่วนที่จินหลิงเอ้อร์เองก็ดูจะถูกใจวานรยักษ์ตัวนั้นอย่างเห็นได้ชัดให้ซูเฉินฟัง
ดังนั้นคำที่นางเอ่ยห้ามจางเซิ่งอันและคนอื่น ๆ จึงไม่มั่นคงเท่าไหร่
แต่ถึงกระนั้นซูเฉินก็สามารถเดาเรื่องจุดนั้นได้
หากจินหลิงเอ้อร์ไม่อยากได้ จางเซิ่งอันก็คงไม่ทำการอย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้น
ซูเฉินไม่เอ่ยคำใด เพียงแต่คำรามต่ำออกมาเสียงเย็น “แล้วหลังจากนั้นเล่า ? เหตุใดจึงไม่รีบตามมาในทันที ?”
ในเมื่อวานรยักษ์ถูกนำไปแล้ว เหตุใดจึงไม่รีบมาช่วยเขา ? ใยต้องเสียเวลานานเช่นนี้ ?
“เป็นอสูรโลหิตจงติ่ง” หวังโต้วซานกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ “เจ้าบ้านั่นพอเห็นว่าเจ้าไม่อยู่ด้วยก็เลยรู้บางอย่าง ดังนั้นจึงจงใจใช้การเจรจาดึงตัวพวกเราไว้ ยิ่งพวกเราอยากไปก็ยิ่งรั้งให้พวกเราอยู่”
ซูเฉินหรี่ตาลง
วานรยักษ์เหล็กกล้ามักไปไหนมาไหนเป็นคู่ ๆ ไม่แปลกที่จงติ่งจะรู้
แต่เหตุใดจงติ่งจึงคิดลงมือกับเขา ?
เขาไม่เคยล่วงเกินจงติ่งมาก่อน
แม้จะเคยเอาชนะจงติ่งในการสอบมณฑลสามเทือกเขา แต่ที่ทำไปก็เพราะมันเป็นการสอบ อีกทั้งเขาและจินหลิงเอ้อร์ยังร่วมมือกันแล้วด้วย
แต่ประสบการณ์ของซูเฉินสั่งสอนเขาว่าบางคราคนเราก็ทำเรื่องบางอย่างลงไป ไม่ใช่เพียงเพราะประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น
ยังมีคนที่ยอมเสียเวลาสร้างปัญหา เพียงเพราะมองดูถูกอีกฝ่าย หรือเป็นมีความสุขยามผู้อื่นประสบภัย
ซูเฉินคิดไม่ผิด เรื่องราวเรียบง่ายเช่นนั้นจริง
แท้จริงแล้วจงติ่งเพียงอยากเห็นกลุ่มพิสุทธิ์กระวนกระวายใจราวกับคนท้องผูก ดังนั้นจึงคิดยั่วเย้าคนกลุ่มนี้มาตั้งแต่แรก
เรื่องที่พูดก็มีเพียง “อย่าได้รีบร้อนไปไหนนักเลย เหตุใดไม่อยู่คุยกันสักหน่อยเล่า ?” หยอกเย้าพวกเขาราวกับเป็นแม่นางน้อยกลุ่มหนึ่ง จงติ่งชอบความรู้สึกเช่นนี้นัก
แน่นอนว่าเขาหยอกเย้าคนกลุ่มนี้เพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่สำหรับซูเฉิน เรื่องนี้นับเป็นความเป็นความตาย
เป็นตอนที่กลุ่มพิสุทธิ์ใกล้คลั่งจนจินหลิงเอ้อร์ทนมองต่อไม่ได้ จงติ่งจึงปล่อยพวกเขาไป
เรื่องที่ทำให้กลุ่มพิสุทธิ์ไม่อาจรีบมาช่วยซูเฉินในครั้งนี้ทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายนัก
หลังจากเข้าใจเรื่องราวแล้ว ซูเฉินก็หรี่ตาลงน้อย ๆ “อวิ๋นเป้าเล่า ? เหตุใดจึงไม่มาด้วย ?”
คนอื่น ๆ พากันส่งสายตามองกันไปมา หวังโต้วซานเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น “อวิ๋นเป้าทนไม่ได้จึงตามพวกเขาไป”
ซูเฉินเผยนัยน์ตาฉายแววเย็นเยียบ จากนั้นเอ่ยขึ้นในพลัน “เขาไปทางไหน ?”
ตู้ฉิงชี้ไปทางทิศตะวันตก
เด็กหนุ่มพลันกระโดดพุ่งตัวออกไปอย่างเร็วทันที ร่างเขาหายไปในพริบตาราวกับหมอกควัน ขณะที่ร่างลอยขึ้นในร่างอากาศก็ทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง “รอข้าที่นี่ เดี๋ยวข้ากลับมา”
ตู้ฉิงรู้สึกราวกับสายตาตนพร่ามัว ก่อนที่ซูเฉินจะหายไปในพลัน นางร้องเสียงดังขึ้น “เร็วมาก !”
ซูเฉินไม่คิดปิดบังความแข็งแกร่งตน ส่งผลให้ทุกคนตกตะลึง
กระทั่งหวังโต้วซานยังเห็นแล้วชะงักค้างไป เขาเหลือบมองกังเหยียนก่อนเอ่ยขึ้น “ข้านึกว่านายท่านของเจ้าเก็บตัวทำการทดลองอยู่แต่บนหอไม่ใช่หรือไร ? เหตุใดจึงแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้วเล่า ?”
กังเหยียนตอบเสียงขรึม “นายท่านบอกอยู่เสมอว่าความรู้คือพลัง ”
“……”
ซูเฉินพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วขั้นสูงสุด
เมื่อจางเซิ่งอันจากไป กลุ่มพิสุทธิ์ก็ไล่ตามเขามาทันที ดังนั้นพวกนั้นจึงยังไปได้ไม่ไกลนัก
ไม่นาน ซูเฉินก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งอยู่เบื้องหน้าไกล ๆ
คือจางเซิ่งอันและคนอื่น ๆ ในกลุ่มนั่นเอง
หากแต่เขาไม่พบอวิ๋นเป้า
ซูเฉินรู้จักนิสัยอวิ๋นเป้าดี เขาเป็นราวกับคนที่เกิดในป่า หากไม่ต้องการให้หาตัวพบก็ไม่อาจหาตัวเขาพบได้
ในตอนที่ซูเฉินกำลังมองหาคนอย่างเร่งรีบอยู่นั่นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?”
เขาหันมา เห็นอวิ๋นเป้าอยู่ด้านหลัง
เจ้าหมอนี่เห็นเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจรู้ได้และไล่ตามเขามานานแล้ว
ซูเฉินถอนหายใจโล่งอก “ข้ามาหยุดเจ้าไงเล่า อย่าทำเรื่องโง่ ๆ เลยอวิ๋นเป้า”
“พวกมันแย่งของของเราไป” อวิ๋นเป้าตอบ “ทำเช่นนั้นก็ต้องได้รับผลที่ตามมา”
“ข้าก็คิดเห็นเหมือนเจ้า” ซูเฉินดึงอวิ๋นเป้าไว้ “หากแต่ข้าจะไม่ลงมือเช่นนี้ ข้ารู้ว่ายามเจ้าอยู่ในป่าเจ้าได้เปรียบ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ เจ้าคิดหรือว่าจะสามารถจัดการพวกเขาได้ด้วยตัวคนเดียว ?”
ครั้งนี้อวิ๋นเป้าเงียบไป
เห็นได้ชัดว่าไม่มั่นใจว่าจะทำได้
แต่ถึงจะไม่มั่นใจ เขาก็ยังต้องลงมือ
เช่นนี้คือนิสัยของอวิ๋นเป้า
ซูเฉินเข้าใจดี เขาตบไหล่อวิ๋นเป้าแล้วกล่าวว่า “ให้ข้าจัดการเอง บางครั้งบางคราวจะสั่งสอนคนก็ต้องทำแบบอ่อนโยนเสียหน่อย”