ภาคที่ 2 บทที่ 49 สังหาร

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 49 สังหาร

เสียงกรีดร้องของเหยี่ยวเพลิงปะทะเข้ากับเสียงกู่ร้องของวานรยักษ์

เมื่อควันจางลง บนร่างของเจ้าวานรก็มีแผลขนาดใหญ่ดูน่ากลัวบังเกิดขึ้น

กายาเหล็กกล้าของวานรยักษ์เหล็กกล้าสามารถทำให้ร่างกายมันแกร่งดั่งหินผา แต่พลังเพลิงเมื่อครู่กลับทะลวงผ่านร่างมันราวกับเหล็กตัดโคลน แผลใหญ่นี้ลึกมากจนกระทั่งเห็นกระดูกขาวภายใน

แต่ครู่ต่อมา แผลใหญ่บนร่างเจ้าวานรก็ค่อย ๆ หายไป

ความสามารถในการฟื้นตัวของมันสูงมาก

แต่ถึงกระนั้นวานรยักษ์เหล็กกล้าก็ยังโกรธเกรี้ยว

ไม่เคยมีใครทำมันบาดเจ็บหนักเช่นนี้มาก่อน

“โบร๋ววว !”

ร่างของวานรยักษ์พองออกเล็กน้อยยามส่งเสียงคำรามออกมา

มันพุ่งเข้าใส่ซูเฉิน เงาร่างขนาดยักษ์ของมันพุ่งเข้ามากลืนเงาซูเฉินไปจนสิ้น

เมื่อเห็นว่าร่างกายมันเพิ่มขนาดขึ้นอีกครา ซูเฉินก็ร้องเสียงเบาด้วยความตกใจออกมา

วานรยักษ์เหล็กกล้านั้นเรียกว่า ‘ยักษ์’ เพราะมันมีเชื้อสายอสูรยักษ์อยู่ในสายเลือด ยามมันเติบโตขึ้นความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

สิ่งที่สามารถบ่งชี้พละกำลังของมันได้ดีที่สุดคือขนาดตัวของมัน

ยิ่งตัวใหญ่ก็ยิ่งแข็งแกร่ง

ความสูง 2 จั้งนับว่าเป็นวานรยักษ์เหล็กกล้าที่อ่อนแอนัก มันตัวใหญ่กว่ามนุษย์ แต่ขนาดตัวเช่นนี้นับว่าปกติในหมู่อสูรร้าย หากแต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าอสูรยักษ์อยู่มาก

หากแต่สายเลือดของมันมีความสามารถทำให้มันเติบโตขึ้นในฉับพลันได้

วานรยักษ์เหล็กกล้านั้นอารมณ์ร้อน ความโกรธเป็นตัวกระตุ้นสายเลือด ทำให้มันสามารถปลุกพลังจากสายเลือดในร่างและแข็งแกร่งกว่าเดิมได้

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเช่นนี้ วานรยักษ์เหล็กกล้ารู้สึกเจ็บปวดจึงเกรี้ยวโกรธนัก มันจึงปลุกสายเลือดโบราณในตัวมันขึ้นมา ส่งผลให้แข็งแกร่งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

“โบร๋ววว !!!”

มันพุ่งเข้ามาพร้อมส่งเสียงร้องเกรี้ยวกราด ความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก

ซูเฉินรีบถอยในพลัน บนฝ่ามือปรากฏเพลิงลูกหนึ่ง เขาซัดเหยี่ยวเพลิงออกไปอีกครั้ง

“ไปเลย !” ซูเฉินร้องขึ้นยามซัดเหยี่ยวเพลิงออกไป

หากแต่ครั้งนี้เหยี่ยวเพลิงไม่ได้กลายเป็นเพลิงไฟร่วงลงมาเช่นแต่ก่อน แต่ร่างเหยี่ยวเพลิงพุ่งเข้าใส่เจ้าวานร มันทำท่าราวกับมีชีวิต จงอยปากแหลมคมของมันเฉือนซ้ำเข้าที่แผลเก่าของเจ้าวานร ร่างกายของมันส่วนนั้นไม่ได้มีกายาเหล็กกล้าปกคลุมไว้ ดังนั้นเหยี่ยวเพลิงจึงสามารถเฉือนเนื้อหนังออกมาได้ก้อนหนึ่ง

วานรยักษ์วาดแขนฟาดลงที่เหยี่ยวเพลิงพร้อมกับส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด หากแต่เหยี่ยวเพลิงเป็นเปลวเพลิงจากพลังต้นกำเนิด ไม่ได้มีร่างจริง ๆ ดังนั้นจึงโจมตีไม่โดน

ซูเฉินเรียนรู้วิชานี้มาจากเยียนหั่ว

แม้เพลิงปักษาของเด็กหนุ่มจะทรงพลังนัก แต่คนอื่น ๆ ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ดังนั้นเพลิงปักษาจึงค่อย ๆ ถูกทิ้งห่างไว้เบื้องหลัง..

ฉือไคฮวงใช้ท่านิ้วซัดในการสอนซูเฉินในเรื่องว่า ‘ขอบเขต’ มีความหมายเช่นไร

ความสำเร็จในอนาคตของเขาคงจะถูกจำกัดหากเอาแต่พึ่งพลังชั่วครั้งชั่วคราวของระเบิดเพลิงปักษา

ดังนั้นซูเฉินจึงพยายามหาทางเพิ่มพลังให้ระเบิดเพลิงปักษาของตนมาโดยตลอด

ในช่วงการต่อสู้ที่เนินเมฆาแดง วิถีการต่อสู้ของเยียนหั่วทำให้ซูเฉินเข้าใจว่าต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถปรับปรุงระเบิดเพลิงปักษาให้รุนแรงขึ้นกว่าเดิมได้

เพลิงของเยียนหั่วนั้นกลั่นตัวเป็นสสารได้ ไม่ได้ใช้เป็นการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่เพลิงนั้นสามารถกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ และสามารถใช้โจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ แม้พลังการโจมตีในแต่ละครั้งจะลดลงแต่ก็คงอยู่ได้นานกว่าเดิม นอกจากจะตามราวีคู่ต่อสู้ได้นานกว่าเดิมแล้ว มันยังสามารถดูดกลืนเปลวเพลิงได้

จังหวะนั้นเอง เหยี่ยวเพลิงก็ดึงความสนใจวานรยักษ์ไปได้ มันจึงไม่ใส่ใจซูเฉินชั่วขณะ

ซูเฉินใช้จังหวะนี้สร้างเหยี่ยวเพลิงอีกตัวขึ้นมา

ลักษณะเฉพาะอีกอย่างของเหยี่ยวเพลิงคือสามารถปล่อยออกมาได้พร้อมกันหลายครั้ง

เหยี่ยวเพลิงถูกปล่อยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ปีกเพลิงของมันกระพืบไปมา พุ่งตรงไปหาวานรยักษ์ด้วยความเร็วสูง

วานรยักษ์เหล็กกล้าสะบัดแขนไปมาอย่างบ้าคลั่ง เหยี่ยวเพลิงหลากหลายตัวมองดูคล้ายกับอุกกาบาตที่ร่วงลงจากฟ้า เจ้าวานรทำท่าคล้ายกับคนเต้นระบำเพลิงดอกไม้ไฟและโคมไฟ

เมื่อเหยี่ยวเพลิงโผบินเข้าใส่แขนอันทรงพลังของมัน ไฟบนตัวเหยี่ยวจดลดลง ส่งผลให้ตัวเหยี่ยวเพลิงมีขนาดเล็กลงตามไปด้วย

เมื่อมันเล็กลงจนไม่อาจเหนี่ยวนำพลังเป็นเหยี่ยวเพลิง มันก็จะระเบิดออก

ทุกครั้งที่เหยี่ยวเพลิงระเบิดก็จะทิ้งรอยแผลเล็ก ๆ ไว้บนร่างวานรยักษ์เหล็กกล้า

แม้จะไม่ใช่บาดแผลใหญ่ แต่เมื่อถูกโจมตีไปเรื่อย ๆ ก็สะสมจนกลายเป็นแผลฉกรรจ์ได้

ที่น่ารำคาญไปกว่านั้นคือ ระเบิดเหยี่ยวเพลิงเหล่านี้บิดซัดเข้าใส่ศัตรูราวกับสายน้ำไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย มีพวกมันนับไม่ถ้วน

วานรยักษ์โก่งคอร้องคำรามด้วยความโกรธสุดขีด

บาดแผลมันยิ่งลึกและรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ …ซึ่งเมื่อมันเสียเลือดมากขึ้น กำลังในร่างก็ราวกับถูกถ่ายเทออกไปพร้อมกับเลือดด้วยเช่นกัน

ตอนนี้ขนทั่วร่างของมันไหม้เกรียมเกือบทั้งหมด บนผิวมีรอยไหม้อยู่ทั่ว ไม่มีผิวตรงไหนไม่มีรอยแผล

กระทั่งความสามารถในการฟื้นฟูอันทรงพลังของมันยังไม่อาจต้านทานคลื่นพลังได้ พลังชีวิตมันถูกกดดันจนถึงขีดสุด วานรยักษ์เหล็กกล้าเริ่มเซไปเซมา อีกทั้งแต่ละก้าวยังดูหนักหน่วงมากกว่าเดิม

แต่แท้จริงแล้วซูเฉินก็ไม่ได้ดีไปกว่ามันมากนัก

ระเบิดเหยี่ยวเพลิงนั้นมีขนาดใหญ่ ต้องใช้พลังต้นกำเนิดมากกว่าแบบเดิม ด้วยมันเป็นทักษะต้นกำเนิดฉบับปรับปรุง มันจึงต้องใช้พลังกายไปอีกไม่น้อย เด็กหนุ่มถูกบีบให้ต้องใช้พลังต้นกำเนิดที่เหลืออยู่ในร่างอย่างรวดเร็ว แม้จะสามารถใช้หินพลังต้นกำเนิดฟื้นพลังต้นกำเนิดในร่างได้ แต่ไม่อาจหาสิ่งได้มาฟื้นพลังกายได้

ยิ่งซูเฉินสู้สุดตัวตัวยิ่งรู้สึกเหนื่อย ใบหน้าเริ่มซีดเซียวลงเรื่อย ๆ

“บัดซบ มันจะแกร่งไปแล้วกระมัง ?” ซูเฉินสบถ กลุ่มพิสุทธิ์ยังมาไม่ถึง เขาสะบัดแขนคราหนึ่ง ปรากฏเพลิงปักษาขนาดมหึมาขึ้น

ในตอนนั้นพลังกายของเขาถูกใช้ไปจนสิ้น เขาไม่เหลือแรงปล่อยเหยี่ยวเพลิงได้อีกต่อไป

ระเบิดเพลิงปักษาฉบับปรับปรุงซัดเข้าร่างวานรยักษ์ ตีคู่ไปกับเหยี่ยวเพลิงที่พุ่งเข้าไปอย่างพร้อมเพรียงกัน เกิดเป็นสีแดงลุกเป็นไฟขึ้นบนฟ้า

เมื่อซัดพลังออกไป สายตาซูเฉินก็เริ่มพร่ามัวไปในพลัน

หากนี่ยังไม่อาจสังหารมันได้ละก็ เขาก็คงต้องใช้เจ้าสิ่งนั้น……

โชคดีที่ครั้งนี้วานรยักษ์ไม่อาจมองเมินบาดแผลได้อีกต่อไป

ระเบิดเพลิงปักษาฉบับปรับปรุงนี้เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของเขา วานรยักษ์เหล็กกล้าล้มลงกระแทกพื้นทันที

มันยังไม่ตาย แต่ก็ไร้พลังจะลุกขึ้นอีกครั้ง มันส่งเสียงร้องน่าสังเวชออกมา ในนัยน์ตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

วานรยักษ์เหล็กกล้านั้นไม่เคยล้ม

แต่เมื่อล้มแล้วก็นับว่าเป็นการพักผ่อนตลอดกาลของมัน

“เฮ้อ !” ซูเฉินถอนหายใจโล่งอก

หลังจากหยุดหอบหายใจชั่วครู่ ซูเฉินก็เดินเข้าไปหามัน..

เขาหยิบขวดออกมาจากแหวนกักเก็บ ใช้รองเลือดจากร่างวานรยักษ์ ปากก็พึมพำกับตนเอง “อย่าโทษข้าเลย อย่างไรแกก็จะตายอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อเผ่ามนุษย์เถอะ…… แกใช้ความโกรธเพื่อเพิ่มพลังให้สายเลือดงั้นหรือ ? น่าสนใจดีนี่”

เลือดจากร่างวานรยักษ์ยังคงไหลเข้าขวดในมือซูเฉินต่อไป

ซูเฉินเก็บเลือดจากมันขวดแล้วขวดเล่า จากนั้นใช้วิชาลับปิดปากขวดไว้

เลือดที่มาจากเหยื่อที่ยังมีชีวิตจึงจะมีพลังชีวิตอยู่ ดังนั้นการเก็บรักษาพลังชีวิตนี้ไว้จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

หลังจากเก็บเลือดได้ 5 ขวด ซูเฉินก็หยิบขวดหยกออกมาวางไว้ใกล้กับหัวใจของวานรยักษ์ จากนั้นใช้นิ้วมือทิ่มลงตรงหัวใจมัน เก็บแก่นโลหิตที่ไหลออกจากหัวใจของเจ้าวานรลงจวดหยก

แก่นโลหิตดวงใจคือสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดในร่างอสูรร้าย อีกทั้งยังมีปริมาณจำกัด หากนำมันออกมาอย่างไรก็ต้องสิ้นใจ ดังนั้นซูเฉินจึงเอามันออกมาเป็นอย่างสุดท้าย

เมื่อแก่นโลหิตหยดสุดท้ายไหลลงในขวดหยก วานรยักษ์ก็หลับตาลง

ซูเฉินรีบเก็บขวดแล้วเริ่มดูดซับพลังต้นกำเนิดทันที

เด็กหนุ่มไม่คิดทำเสียของ ดังนั้นจึงเก็บเลือดและดูดซับพลังต้นกำเนิดจากร่างของมันเสียจนคุ้ม

ในตอนนั้นเอง เงาร่างคุ้นตาหลายสายก็ปรากฏขึ้นจากไกล ๆ

คือเจิ้งเซี่ย ตู้ฉิง และคนอื่น ๆ นั่นเอง

“ซูเฉิน ซูเฉิน !”

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึง

ซูเฉินกลอกตา แต่ก็ยังตะโกนกลับไป “ข้าอยู่นี่ !”

“สวรรค์ ซูเฉิน ! เขาอยู่ตรงนั้น ! เขายังไม่ตาย สวรรค์โปรด !” ตู้ฉิงร้องด้วยความดีใจแล้ววิ่งเข้ามา

ความโกรธเกรี้ยวที่ติดตามมาช้าเกินควรของนางพลันหายไป ในที่สุดนางก็วางใจเรื่องที่นางกลัวว่าซูเฉินอาจจะไม่รอดไปได้

“ซูเฉิน โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร…… พวกข้าต้องขอโทษด้วย พวกข้าไม่ได้คิดจะทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย แต่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เจ้าหนีจากวานรยักษ์ตัวนั้นมาได้หรือ ? ช่างเถอะ เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เจิ้งเซี่ยวิ่งเข้ามาพร้อมตะโกนอธิบายเสียงดัง

แต่เมื่อเข้าใกล้ซูเฉิน ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังยืนอยู่ข้างร่างวานรยักษ์

ซูเฉินกำลังทำท่าทางประหลาดเพื่อส่งเจ้าวานรยักษ์อยู่

“นี่มัน…… สวรรค์……!”

ทุกคนตกตะลึงไป