ตอนที่ 150.4 ติดกับดักเสียเอง (4)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เข้าใจ เข้าใจก็บ้าแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พูดอะไร แต่มุมปากขยับขึ้น “หากท่านอ๋องคิดจะรับอนุภรรยา หม่อมฉันอยากห้ามก็คงห้ามไม่ได้ แต่ถ้าไม่ได้คิด หม่อมฉันจะไปบังคับก็คงบังคับไม่ได้เช่นกัน เรื่องนี้เสด็จแม่คุยกับท่านอ๋องดูก็ได้นะเพคะ” 

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนนึกว่านางจะแสดงปฏิกิริยาสองแบบ ไม่แสร้งเป็นคนใจกว้าง ตอบตกลงตามที่ตนพูดอย่างขอไปที ก็แสร้งว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วโต้กลับอย่างเงียบๆ แต่ใครเล่าจะคิดว่านางจะแสดงปฏิกิริยาแบบที่สาม 

 

 

ซึ่งปฏิกิริยาสองแบบแรก สนมเอกเฮ่อเหลียนเตรียมคำตอบไว้เรียบร้อย แต่แล้วก็ต้องสำลักจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรต่อ นางดันโยนอำนาจการตัดสินใจให้ลูกชายแทน ส่วนตัวนางนั้นลอยตัวไม่มีส่วนเกี่ยงข้องใดๆ ทั้งสิ้น แต่นางแสดงออกชัดเจนว่าในใจของลูกชายมีนางแต่เพียงผู้เดียว ช่วงเวลาแห่งความหวานก็ยังไม่ทันได้ลิ้มลอง แล้วนางจะยอมให้รับอนุภรรยาได้อย่างไรกันเล่า 

 

 

นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดหัวข้อสนทนานี้ก็ผ่านไป 

 

 

ดวงอาทิตย์กำลังลอยขึ้นฟ้าส่องแสงสว่างจ้าจนเริ่มแสบตา แสงตะวันส่องผ่านช่องหน้าต่างสลักลายดอกไม้ อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเข้าวัง ได้เวลาแล้วล่ะ นางจึงขอลากลับก่อน 

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนรู้สึกอ่อนเพลียแล้วเช่นกันจึงพยักหน้าตอบ แม้ว่าวันนี้จะถูกนางโต้กลับอย่างมีชั้นเชิง แต่สิ่งที่นางต้องการจะสื่อก็ได้สื่อออกไปแล้ว ลูกสะใภ้ของนางก็คงเข้าใจแล้วว่าตนนั้นคิดอะไรอยู่ 

 

 

เมื่อเห็นว่านี่คือการมาแสดงความเคารพกับตนครั้งแรก พระสนมจึงลุกขึ้นและตะโกนเรียกว่า “จางเต๋อไห่ เจ้าเป็นตัวแทนข้า ไปส่งพระชายาหน่อย” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะพระสนม” จางเต๋อไห่ขานตอบอยู่ด้านนอกหน้าต่าง 

 

 

ให้จางเต๋อไห่ไปส่ง? ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งสะดวกน่ะสิ คนเคยรู้จัก เวลาพูดคุยก็จะง่ายหน่อย 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นย่อตัวลงพร้อมรอยยิ้ม “ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่” 

 

 

พอก้าวเท้าออกจากพระตำหนักชุ่ยหมิง อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจทันทีว่าเมื่อชาติก่อนเหตุใดชุยอินหลัวถึงได้เป็นมเหสีรองของเจาจง 

 

 

ก็คงเป็นความคิดของสนมเอกเฮ่อเหลียนเหมือนกัน 

 

 

เหตุผลประการที่หนึ่ง หลานสาวสุดที่รักจะมั่งมีสุขสบายตลอดชีวิต ประการที่สอง หลานสาวได้คู่กับลูกชาย ความสัมพันธ์ฉันท์ครอบครัว ก็จะลึกซึ้งแล้วยิ่งลึกซึ้งขึ้นไป ลูกหลานที่เกิดมาก็สามารถทำให้ตระกูลฝ่ายหญิงเฮ่อเหลียนในต้าเซวียนมีอำนาจมากขึ้น 

 

 

เพียงแต่ว่าความรู้สึกของฉินอ๋องที่มีต่อชุยอินหลัว อวิ๋นหว่านชิ่นนั้นรู้ดีว่าเป็นเพียงเด็กอ้วนตุ้ยนุ้ยซุกซนคนหนึ่งเท่านั้น ประกอบกับเมื่อชาติก่อนหากเจาจง…เสียชีวิตตั้งแต่วัยหนุ่มจริงๆ พี่น้องคู่นี้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะไม่เป็นไปตามคำเล่าลือตลอดชีวิต 

 

 

การที่พระสนมทำเช่นนี้เป็นการทำเพื่อหลานสาวหรือเป็นการทำลายความสุขของนางตลอดชีวิตกันแน่ 

 

 

เมื่อเดินถึงระเบียง ทางเดินคดเคี้ยวที่อยู่ด้านนอกตำหนักชุ่ยหมิง เลียบไปตามกำแพงพระราชวัง อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ถึงจะสึกโล่งไปทั้งแผ่นหลัง 

 

 

ชูซย่ายิ้มหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นเจ้านายถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พระชายาเข้าพบแม่สามีครั้งแรก ตื่นเต้นหรือเจ้าคะ” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นตอบตรงไปตรงมาอย่างเปิดเผยว่า “วันนี้เข้าเฝ้าสนมเอก ข้ารู้สึกอกสั่นขวัญหายมากกว่าเข้าเฝ้าฮองเฮาเสียอีก” 

 

 

เมื่อครู่นี้ ตอนที่พระชายาพูดคุยอยู่กับสนมเอกที่อีกฝั่งของผ้าม่าน แม้ว่าชูซย่าจะยืนอยู่อีกฝั่ง แต่นางได้ยินเรื่องสำคัญหลายประโยค นางยิ้มและกล่าวว่า “พระชายาทำใจให้สบายเถอะเจ้าค่ะ ท่านอ๋องสามไม่มีทางคิดทำเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ” 

 

 

ตอนที่สองคนกำลังพูดคุยกัน พวกเขาออกห่างจากตำหนักของเหล่าสนมที่อยู่ทางทิศตะวันตกของพระราชวังแล้ว เมื่อเห็นว่าคนนำทางจางเต๋อไห่เลี้ยวโค้งเดินไปฝั่งทางออกประตูเจิ้งหยาง อวิ๋นหว่านชิ่นตะโกนเรียกและกล่าวว่า “จางกงกง ข้าอยากไปตำหนักองค์หญิงหน่อย” 

 

 

จางเต๋อไห่หยุดก้าวเท้าและหันกลับมาถามด้วยความสงสัยว่า “พระชายาจะเสด็จไปตำหนักองค์หญิงด้วยเหตุอันใด” 

 

 

ชูซย่าหัวเราะและตอบกลับว่า “ท่านจาง เมื่อตอนล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง พระชายาของข้าเคยอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงฉางเล่อ พอได้เข้าวังก็เคยไปหาองค์หญิง ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน วันนี้ได้เข้าวังพอดี พระชายาอยากถือโอกาสไปเยี่ยมน้องสาวของสามีพูดคุยกันเสียหน่อย” 

 

 

ล้วนแต่เป็นญาติผู้หญิงในราชวงศ์ สังสรรค์กันเสียหน่อยก็คงไม่มีอะไร จางเต๋อไห่ยิ้มและตอบว่า “พระชายาตามหม่อมฉันมาเลยขอรับ” 

 

 

ตำหนักองค์หญิงอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวัง ขนานอยู่เป็นเส้นเดียวกันอย่างมีระเบียบ หลังคากระเบื้องเคลือบสีไม้จันทร์หอม ชายคาโค้งงอน ระเบียงทางเดินสีแดง กระเบื้องพื้นหยกสีขาว ปลูกสร้างได้อย่างประณีตและงดงาม เป็นตำหนักของเหล่าองค์หญิงในราชวงศ์ 

 

 

ตำหนักโซ่วเซียนขององค์หญิงฉางเล่อซย่าโหวถิงเป็นหนึ่งในบรรดาตำหนักนั้น 

 

 

จางเต๋อไห่เรียกอิ๋นเชวี่ยนางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงฉางเล่อมาคุยไม่กี่ประโยค 

 

 

อิ๋นเชวี่ยเห็นว่าพระชายาฉินตั้งใจมาหาองค์หญิง องค์หญิงต้องดีใจเป็นแน่ องค์หญิงสิบของนางงอแงเรียกให้คนมาเล่นด้วยทุกวัน นางไม่รีรอจึงรีบวิ่งไปรายงานอย่างรวดเร็ว 

 

 

แล้วก็เป็นเช่นนั้น อิ๋นเชวี่ยยิ้มแป้นวิ่งออกมาอีกครั้งด้วยความดีใจหลังจากเวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว “องค์หญิงให้มาเชิญพระชายาเจ้าค่ะ!” 

 

 

เมื่อเห็นพระชายาเดินเข้าไปแล้ว จางเต๋อไห่จึงกลับตำหนักชุ่ยหมิง 

 

 

ภายในตำหนักโซ่วเซียน เตาจุดกำยานป๋อซานส่งกลิ่นหอมสดชื่นอบอวลไปทั่วห้อง ชุดจุดไฟหยกใสส่องประกายวิบวับ มุ้งพาดคลุมเตียงเอาไว้ครึ่งหนึ่ง 

 

 

ซย่าโหวถิงกำลังฝึกเขียนพู่กันอยู่ข้างหน้าต่าง นางดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ ทิ้งพู่กันทันทีที่ได้ยินว่าพระชายาฉินมาหา นางโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “ลมอะไรพัดพี่สะใภ้สามมาหาข้าถึงที่นี่ได้! อิ๋นเชวี่ย ไปเตรียมน้ำชากับขนมเร็ว” 

 

 

อิ๋นเชวี่ยออกไปแล้ว ภายในห้องไม่มีใคร อวิ๋นหว่านชิ่นถูกซย่าโหวถิงดึงไปนั่งลงบนเตียง นางเหลือบมองกองกระดาษฝึกคัดอักษรที่วางอยู่บนโต๊ะ 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้เป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา นอกจากองค์ชายแล้ว องค์หญิงก็มีอาจารย์คอยสอนเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังเรียกท่านหญิงท่านชายในราชวงศ์จำนวนไม่น้อยเข้ามาเรียนเป็นเพื่อน หากไม่มีงานพิเศษอะไร เหล่าองค์หญิงทั้งหลายจะไปเรียนหนังสือที่หอคุณธรรมพร้อมกัน ตอนนี้ องค์หญิงฉางเล่อน่าจะเพิ่งกลับมาจากการร่ำเรียน 

 

 

นางเดินเข้าไป พลิกกระดาษไปมา พบว่าตัวอักษรที่ซย่าโหวถิงกำลังฝึกเขียนอยู่นั้นซ้ำกันทุกหน้า นางยิ้มและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะยุ่งนะเพคะ ข้าคงมาหาผิดเวลา” 

 

 

“ยุ่งอะไรกัน” ปากสีแดงขององค์หญิงฉางเล่อบึนขึ้น เหมือนว่านางจะเดาออกแล้ว หน้าของนางกลายเป็นสีแดง นางอุ้มหมอนนุ่มกลิ่นหอมไม้กฤษณาขึ้นมาและพึมพำอย่างไม่ปกปิดว่า “อาจารย์บอกว่าข้าเขียนได้ไม่ดี ก็เลยลงโทษข้าให้เขียนมาใหม่” นางกัดริมฝีปากเอาไว้แล้วกล่าวต่อว่า “แล้วยังบอกให้ดูหย่งจยาเป็นตัวอย่าง” พี่สะใภ้สามรู้อยู่แล้วว่าตนกับท่านหญิงหย่งจยาไม่ถูกกัน เมื่อเห็นว่าพี่สะใภ้มาหา นางก็ไม่กลัวที่จะบ่นให้ฟัง 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นวางกระดาษลง สีหน้าคล้ายว่ากำลังคิดบางอย่างอยู่ แต่ก็พูดออกมาอย่างลอยๆ ว่า “ท่านหญิงหย่งจยาได้รับความเอ็นดูถึงเพียงนี้ ก็คงได้อยู่ในตำหนักองค์หญิงเหมือนกันใช่ไหมเพคะ” 

 

 

ซย่าโหวถิงพยักหน้า ส่งเสียงฮึ่มออกมาหนึ่งที และชี้นิ้วไปที่หน้าต่างบานใหญ่ลายดอกลิลลี่บานนั้นอย่างเปิดเผย “อยู่ตำหนักหลวนอี๋ตรงข้ามข้าเนี่ยแหละ ภายในตำหนักตกแต่งอย่างโอ่อ่าไม่น้อยไปกว่าตำหนักโซ่วเซียนเลย!” 

 

 

“ท่านหญิงหย่งจยาเลี้ยงสัตว์ไหมเพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเท้าไปยังหน้าต่างอย่างช้าๆ 

 

 

ซย่าโหวถิงตกใจ “พี่สะใภ้สามรู้ได้อย่างไร ได้ยินเสียงนกร้องตอนเดินเข้ามาหรือเจ้าคะ นางเลี้ยงนกกระตั้วหางกรวยหัวหงส์อยู่ตัวหนึ่ง นางรักมันมากเสียเหลือเกิน! พูดถึงเรื่องนี้ข้าก็ยิ่งโมโห! มันเป็นของกำนัลจากเสด็จพ่อเมื่อปีที่แล้ว มีราคาสูงมาก ตอนนั้นมีนกแค่ตัวเดียว ข้ากับพี่น้องของข้าต่างก็อยากได้ แต่เสด็จพ่อลำเอียงมอบให้นางคนเดียว! เจ้าไม่รู้หรอก นางพานกของนางเดินเล่นในสวนด้านหลังตำหนักองค์หญิงทุกวัน แถมยังสอนให้นกกระตั้วตัวนั้นพูดคำว่า ‘เจ้าโง่’ แล้วมันก็พูดกับแบบนี้กับข้าทุกครั้ง!” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจับขอบหน้าต่างไว้แน่น สายตาทอดไปยังตำหนักหลวนอี๋และหันกลับมาพูดว่า “อยากกำจัดความผยองของนางไหมเพคะ” 

 

 

ซย่าโหวถิงกระโดดลงจากเตียงทันที นัยน์ตาเป็นประกายเงาวับ “กำจัดอย่างไร” นางพูดงึมงำ “ข้าอยากจัดการนางตั้งนานแล้ว แต่ข้าทำไม่ได้ พี่สะใภ้ไม่รู้หรอก เวลานางอยู่ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อ นางมักจะใช้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวและแสร้างทำตัวเป็นคนอ่อนแอ ถ้าได้ทำอะไรสักอย่างกับนาง ข้าอาจได้ระบายความอัดอั้นไปบ้าง แต่ถ้านางแสร้งเป็นคนเช่นนั้นอีก เสด็จพ่อก็คงไม่พอพระทัยข้ามากกว่าเดิม!”