ตอนที่ 150.3 ติดกับเสียเอง (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ตอนแรกสนมเอกเฮ่อเหลียนชอบหญิงผู้นี้เพราะครีมดอกไม้ที่นางผสมให้ มันช่วยให้ฮ่องเต้มีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อนางอีกครั้ง แล้วอีกอย่าง นางยังเป็นหญิงสาวที่ลูกชายของตนชอบ เมื่อลูกรักใคร ตนก็ต้องรักคนนั้นด้วย 

 

ภายหลัง ฉินอ๋องดื้อรั้นอยากให้นางเป็นชายาเอกและไม่คำนึงถึงอวี้เหวินผิง สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงเริ่มมีความกังวล ความรู้สึกที่มีต่อหญิงผู้นี้ก็เริ่มซับซ้อนมากขึ้น 

 

ตอนที่มองหน้าอวิ๋นหว่านชิ่น ความรู้สึกของสนมเอกเต็มไปด้วยหลากหลายรสชาติ สนมเอกได้ยินคำเล่าขานเหตุการณ์ล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงจากนางกำนัลมาบ้าง เดิมทีวันนั้นที่หอชมจันทร์ ฮ่องเต้จะเรียกหญิงสาวอวิ๋นผู้นี้เข้าพบ แต่มีนางกำนัลม่อที่ยังเป็นเพียงสาวใช้ในขณะนั้นกันไว้ ทำให้หลุดรอดมาได้ 

 

เดิมทีหญิงสาวผู้นี้เป็นหญิงที่ฮ่องเต้ชอบ แต่แล้วกลับถูกลูกชายแย่งไป พอสนมเอกเฮ่อเหลียนได้ยินเรื่องนี้ จะไม่ให้นางตกใจได้อย่างไร 

 

แล้วครั้งนี้ หลังจากอภิเษก ฉินอ๋องก็ได้รับตำแหน่งใหม่ ตอนแรกเป็นผู้ดูแลคลังอาวุธในเมืองหลวง แต่คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นหว่านชิ่นพูดแทรกในวันนั้น จะทำให้ฉินอ๋องถูกย้ายไปอยู่เขตฉังชวน… 

 

ซึ่งตำแหน่งเดิม สนมเอกเฮ่อเหลียนคิดว่ามันไม่เพียงแต่เป็นตำแหน่งที่ไร้ความเสี่ยงและยังได้เป็นท่านอ๋องผู้มั่งมี แม้ว่าโอกาสก้าวหน้าจะไม่มากแต่อย่างน้อยก็มั่นคง และไม่ถูกคนอื่นฟื้นฝอยหาตะเข็บ ซึ่งดีกว่าดำรงตำแหน่งผู้ช่วยขุนนางกลาโหมที่ไม่มีความมั่นคงเป็นหมื่นๆ เท่า 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนไม่รู้จะพูดอย่างไร ทำได้เพียงเก็บความทุกข์นี้เอาไว้ในใจ พระสนมพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ว่า “ลูกข้าไปเขตฉังชวนหลายวันแล้วสินะ” 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ทูลเสด็จแม่ เก้าวันแล้วเพคะ” 

 

“เฮ้อ ถ้ารับราชการในเมืองหลวงก็คงจะดี” สนมเอกเฮ่อเหลียนถอนหายใจ “ฮ่องเต้ทรงมอบภารกิจให้แล้วด้วยซ้ำ แต่ก็ดันเกิดเรื่องจนต้องไปอยู่ที่แบบนั้น ข้าได้ยินว่าที่นั่นมีโจรมากมาย พลเมืองแถบนั้นกลับกลอกปลิ้นปล้อนควบคุมยาก สภาพอากาศก็ไม่ดี…ข้าราชการที่ถูกส่งไปอยู่ที่นั่น จะออกจากตรงนั้นได้ต้องพึ่งการสร้างความสัมพันธ์ทั้งนั้น” 

 

ประโยคเหล่านี้แม้จะไม่ใช่ประโยคที่กล่าวโทษตรงๆ แต่อวิ๋นหว่านชิ่นจะฟังไม่ออกหรือว่าสนมเอกไม่พอพระทัยในสิ่งที่นางทำ แต่นางก็พูดแผนการอันยิ่งใหญ่ของฉินอ๋องออกไปไม่ได้ นางทำได้เพียงตอบว่า “เสด็จแม่เพคะ ท่านอ๋องมากด้วยบุญญาธิการ ต้องประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่เขตฉังชวนแน่นอนเพคะ ตำแหน่งนั้นเป็นพระประสงค์ของท่านอ๋องเองเพคะ” 

 

ประสบความสำเร็จ? พอได้ยินคำนี้ สนมเอกเฮ่อเหลียนไม่เพียงแต่ไม่พอพระทัย คิ้วยังขมวดจนแทบจะชนกัน “แม้เขาเป็นคนเลือกเอง แต่เจ้าในฐานะที่เป็นพระชายาเอก ในเวลาแบบนั้นเจ้าควรจะเกลี้ยกล่อมไม่ใช่ตามใจ นี่เป็นสิ่งที่คนเป็นภรรยาควรจะทำ เมื่อประสบความสำเร็จก็จะเป็นที่จับตามอง มันไม่ใช่เรื่องที่ดี ใช้ชีวิตแบบเมื่อก่อนอยู่ในจวนสบายๆ ดีแค่ไหน เหตุใดหลังการอภิเษกสมรส นิสัยถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ เฮ้อ เด็กคนนี้ โตแล้วสินะ ข้าคงคุมไม่อยู่แล้วล่ะ” 

 

นี่กำลังกล่าวโทษนางที่เป็นคนทำให้ลูกชายกระต่ายสีขาวบริสุทธิ์ผู้ประพฤติดีเสียคนเช่นนั้นรึ 

 

แต่เคยรู้ไหมว่าลูกชายตัวดีของท่านนั้นแหละที่เป็นม้าดีตัวหนึ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะอย่างขมขื่น 

 

สนมเอกเข้าวังมานาน ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างระมัดระวัง ไม่เคยประหม่าจนถูกผู้อื่นจับจุดอ่อนได้ 

 

ในสายตาของเบื้องบนและเบื้องล่าง นางเป็นคนที่อ่อนแอไม่แก่งแย่งชิงสู้รบกับใคร แน่นอนว่านางอยากให้ลูกชายมีชีวิตแบบนี้เช่นกัน 

 

ประกอบกับฉินอ๋องถูกพิษเมื่อตอนวัยเยาว์ สร้างความหวาดกลัวให้กับนางเป็นอย่างมาก งูกัดครั้งเดียวกลัวเชือกไปสิบปี นางเข็ดหลาบหวาดกลัวจนไม่กล้าเสี่ยงอะไรอีกเลย 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นคิดตามและดึงแขนเสื้อขึ้น “ฉินอ๋องเป็นลูกกตัญญู ให้เสด็จแม่เป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด จะคุมไม่ไหวได้อย่างไรกันเพคะ เสด็จแม่วางใจได้เพคะ” 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนรู้ว่านี่เป็นคำพูดที่ใช้เพื่อเอาอกเอาใจ สีหน้าก็เริ่มดีขึ้น ช่วงที่ผ่านมานางผู้นี้นำพาเกียรติยศมาให้แก่ราชสำนัก ถูกพระสนมหลายคนพูดถึงต่างๆ นานา ได้รับความสำคัญจากไทเฮาและฮ่องเต้ พระสนมจึงหยุดการตำหนิและเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเสียงอบอุ่นแทน “เจ้าออกเรือนไม่กี่วัน ก็ต้องแยกจากกับสามี เมื่อเร็วๆ นี้เจ้ายังทำคุณประโยชน์ให้กับราชสำนักอีก ลำบากเจ้าแย่ แต่ว่า แม้ต้องทำงานภายนอก งานในจวนเจ้าก็อย่าลืมดูแล อย่าได้ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด โดยเฉพาะเรื่องดูแลอาหลัว นางอายุยังน้อย ต้องเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน เอาใจใส่ให้มาก” 

 

ข้าจะไม่เอาใจใส่ได้อย่างไรกัน พระสนมส่งจางเต๋อไห่มาถามไถ่กับเกาจ๋างสื่อบ่อยขนาดนั้น ไม่อยากเอาใจใส่ก็ต้องเอาใจใส่อยู่ดี 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเบาๆ “ได้ยินมานานว่าพระสนมเอ็นดูอาหลัว วันนี้ได้เห็นกับตา พระสนมวางใจได้เพคะ หม่อมฉันจะดูแลอาหลัวให้ดีที่สุดอย่างแน่นอนเพคะ” 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนพยักหน้า เมื่อวานก่อนเพิ่งให้จางเต๋องไห่ไปเยี่ยม นางกินเก่งเต้นเก่ง ขาวๆ อวบๆ ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเลยทีเดียว เรื่องนี้เป็นที่น่าพอพระทัยมาก “จะไม่ให้เอ็นดูได้อย่างไรกัน นอกจากฉินอ๋องแล้ว ที่ต้าเซวียนก็มีข้าที่เป็นญาติสนิทคนเดียว แล้วพ่อแม่ของอาหลัวยัง….” พระสนมหยุดพูด “ข้าในฐานะป้า ก็ต้องรับผิดชอบเรื่องดูแลทายาทคนเดียวของตระกูลชุยอยู่แล้วล่ะ” สีหน้ามีความเสียใจและละอายใจปนอยู่ด้วย 

 

เหตุการณ์ไฟ้ไหม้ครั้งนั้น จวนชุยถูกไฟเผามอดไหม้จนไม่เหลือแม้แต่เศษเกราะ อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสีหน้าของพระสนมก็รู้แล้วว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับตระกูลชุยในปีนั้น เป็นปีที่พระสนมเฮ่อเหลียนมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด เหตุการณ์สองสามีภรรยาตระกูลชุยเสียชีวิตไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา แต่เกิดขึ้นเพราะมีคนต้องการตัดกำลังปีกของเฮ่อเหลียน 

 

คงไม่น่าแปลกเท่าไหร่ที่พระสนมเฮ่อเหลียนจะเอ็นดูหลานสาวคนนี้มากถึงเพียงนี้ นอกจากความสัมพันธ์ป้าหลานกับชุยอินหลัวแล้ว พระสนมเองก็อยากจะชดเชยให้นางด้วย 

 

สนมเอกเปลี่ยนน้ำเสียง และเข้าสู่เรื่องสำคัญที่อยากจะถาม เวลาแสดงความเคารพนั้นมีจำกัดพระสนมจึงไม่พูดอ้อมค้อม และถามด้วยโทนเสียงต่ำเล็กน้อย “พระชายา หลังจากที่เจ้าอภิเษกกับฉินอ๋องแล้ว ชีวิตในห้องส่วนตัว ดีหรือไม่ ข้าได้ยินว่า วันที่สองหลังจากคืนอภิเษก พวกเจ้าส่งผ้าพรหมจรรย์ให้กับทางพระราชวังเลยอย่างนั้นรึ” อาการบาดเจ็บของลูกชายมีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าห้ามพูดถึง คนเป็นแม่นั้นรู้ดีกว่าใคร 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจดีว่าพระสนมอยากรู้อะไร นางก้มหน้าลงเล็กน้อย “เสด็จแม่ก็รู้ เราสองคนอภิเษกได้ไม่กี่วัน ฉินอ๋องก็ถูกส่งไปรับตำแหน่งที่เขตฉังชวนแล้ว” 

 

แม้ว่าคำพูดจะดูมีนัยยะ แต่พระสนมเข้าใจดี ทั้งสองคนคงยังไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นแน่ ผ้าพรหมจรรย์ที่ส่งไปก็คงเป็นเพียงการตบตาคนในวัง พระสนมรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย “อาการบาดเจ็บของท่านอ๋อง แม้ว่าใช้แรงมากไม่ได้ชั่วคราว แต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อตอนเด็กมากแล้ว เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า อาการนี้จะต้องหายขาดแน่นั้น” 

 

“ลูกก็คิดเช่นนั้นเพคะเสด็จแม่” อวิ๋นหว่านชิ่นตอบกลับด้วยรอยยิ้มหวาน 

 

สำหรับเรื่องนี้ แม่สามีกับลูกสะใภ้กลับใจตรงกัน 

 

พระสนมเฮ่อเหลียนยิ้มเบาๆ ถึงแม้สองคนนี้เพิ่งเข้าพิธีอภิเษกไม่นาน จะถามถึงเรื่องนี้เลยก็คงไม่เหมาะเท่าไหร่ แต่เกริ่นไว้ก่อนก็ไม่เลว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเรียกขานว่า “ชิ่นเอ๋อร์” 

 

เรียกชื่อเลยหรือ แถมยังเรียกด้วยเสียงอ่อนโยนเพียงนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นขนลุกกับการเรียกขานของพระสนมเฮ่อเหลียน แต่ก็ตอบกลับด้วยเสียงเบา และฟังพระสนมพูดต่อว่า “เจ้าเป็นคนดี รู้จักกาลเทศะ มีเจ้าคอยดูแลท่านอ๋องข้าก็วางใจ หากอาการของท่านอ๋องดีขึ้น ท้ายเรือนถูกเติมจนเต็ม ข้าเชื่อว่าเจ้าก็จะดูแลได้เป็นอย่างดี” 

 

ทันใดนั้น บรรยากาศภายในห้องหยุดนิ่ง 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกแปลกตั้งแต่คำชมในประโยคแรก ที่แท้เป็นประโยคหวานๆ ที่อาบยาพิษไว้นี่เอง 

 

เติมเต็มท้ายเรือน? คิดจะเพิ่มเรือนเล็กเรือนน้อยให้กับฉินอ๋อง? ถ้ามีวันนั้นจริงๆ พระสนมแน่ใจหรือว่าตนนั้นจะเป็นคนดี มีกาลเทศะได้ตามที่ว่าจริง  

 

เมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้ไม่พูดไม่จา เฮ่อเหลียนก็ไม่ได้ถือโทษอะไร ไม่มีภรรยาเอกคนไหนยิ้มแย้มดีใจหรอกเมื่อได้ยินแม่สามีบอกว่าจะเพิ่มอนุภรรยาให้กับสามีของตน ยิ่งเป็นข้าวใหม่ปลามันด้วยแล้ว เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่หวานเยิ้ม แต่ในเมื่อพูดออกมาแล้วก็คงทำได้เพียงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานต่อว่า “เจ้าก็รู้ว่าสายเลือดของฉินอ๋องนั้นโดดเดี่ยวลำพังไม่มีใคร ข้าอยู่ในต้าเซวียน ไม่มีตระกูลแม่ให้พึ่งพาแล้ว ถ้าเขาเพิ่มอนุภรรยาสักหน่อย ความสัมพันธ์และลูกหลานก็จะมีมากขึ้น หากมีเรื่องอันใดในภายภาคหน้า คนที่พึ่งพาได้ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจข้าหรือไม่”