เถ้าแก่ถานครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ กล่าวว่า “สาวใช้คนนั้นปิดปากเงียบสนิทไม่เคยเปิดเผยว่าใครเป็นเจ้านาย และไม่ยอมบอกชื่อแซ่ของนางด้วย การแต่งกาย——โปรดให้อภัยที่ข้าเป็นคนตาต่ำ มองออกเพียงเป็นของราคาแพง ไม่มีความพิเศษอื่นใดขอรับ..อ้อใช่ ตรงช่วงเอวเหมือนมีของบางอย่างซ่อนอยู่ด้านในชุดจนมันตุงทุกครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าบังเอิญเห็นพู่ของสร้อยอิงลั่วโผล่ออกมา คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นหยกขอรับ”
การที่หญิงสาวแขวนหยกไว้ที่เอวก็เพื่อใช้ควบคุมการเดิน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ หากสาวใช้ใส่มันไว้ด้านในเสื้อ แปลว่าไม่ต้องการให้ผู้ใดเห็น แล้วจะแขวนหยกที่เอวเพื่อการใด
เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้แขวนหยกเพื่อเป็นเครื่องประดับ หากแต่เป็นของที่คล้ายกับป้ายแขวนเอว
สาวใช้คนนี้พกสิ่งนี้ทุกครั้ง เพราะต้องใช้เพื่อการเดินทางที่สะดวกต่างหาก
คนทั่วไปหรือแม้แต่ตระกูลขุนนางผู้เก่งกาจ ก็ใช่ว่าจะมีป้ายแขวนเอวเหมือนกับนาง
ผู้ที่ต้องใช้ป้ายแขวนเอวสำหรับเดินทาง คือคนของทางการที่ออกไปปฏิบัติราชการ หรือไม่ก็——คนในพระราชวัง
สีหน้าและแววตาของอวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งสงบคล้ายว่าเดาออกแล้ว เฟิ่งจิ่วหลังลุกขึ้นเดินไปใกล้และมองหน้านาง “ท่านเดาออกแล้วหรือว่าคือผู้ใด”
จะใครกันอีกเล่า ทุกอย่างชี้ไปยังคนคนหนึ่งในพระราชวัง——ท่านหญิงหย่งจยา
นึกว่าเมื่อครั้นการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง ระหว่างเดินทางกลับที่ได้พบหน้าในตอนนั้นจะเป็นการได้พบหน้าท่านหญิงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่านางจะล้ำเส้นมาถึงชีวิตของตนอีกครั้ง
อวิ๋นหว่านชิ่นยักคิ้วเบาๆ เดาออกแล้วอย่างไรล่ะ เถ้าแก่คือพยาน แต่เขาไม่รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือผู้ใด แม้ว่าพยานยืนยันว่าเป็นท่านหญิงหย่งจยา แต่นางสามารถปฏิเสธข้อกล่าวหาได้ ดูท่าแล้วช่วงนี้นางต้องการหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไปก่อน ก็คงไม่ให้เฉี่ยวเย่ว์สาวใช้ข้างกายมาที่ร้านอีก
“เถ้าแก่” เสียงเรียกขานของหญิงสาวทำให้เถ้าแก่ถานถึงกับขนลุกซู่ “ทุกครั้งที่สาวใช้มาที่นี่ นางมาซื้อแค่อาหารสัตว์อย่างงั้นรึ”
เถ้าแก่ถานตอบกลับว่า “คนเลี้ยงนกกระตั้วหางกรวยหัวหงส์ในเมืองหลวงมีไม่มากนัก แล้วในร้านข้ามีอาหารของนกชนิดนี้ขาย ข้าจึงพอมีประสบการณ์อยู่บ้างขอรับ บางครั้งสาวใช้คนนั้นจะถามเรื่องนกบ้าง เช่นบางทีนกไม่อยากอาหารจนป่วย นางจะถามวิธีรักษากับข้าขอรับ”
“ปล่อยเถ้าแก่ถานไป” หญิงสาวโบกมือแสดงคำสั่ง ดวงตาเคลื่อนขยับเล็กน้อย
เถ้าแก่ถานโล่งอกและดีใจใหญ่ “ขอบพระคุณขอรับ ขอบพระคุณฮูหยินขอรับ!”
“ปล่อย?” เจ้าพนักงานท่านหนึ่งตะลึงงัน “ฮูหยิน——ฉิน ไม่ได้นะขอรับ”
“เขาไม่รู้อะไรเลย จับส่งทางการก็ไม่มีประโยชน์อันใดหรอก”
เจ้าพนักงานเดินเข้าไปใกล้และกระซิบเตือนว่า “คดีนี้เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ทางการทูตของสองราชอาณาจักร เถ้าแก่ผู้นี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี ตามกฎบัญญัติ ไม่ว่าเขาจะรู้เรื่องหรือไม่ก็ตาม จะต้องพากลับไปสอบสวนให้ละเอียดที่หลี่ฝานย่วนนะขอรับ แม้สอบสวนแล้วไม่ได้ข้อมูลอะไร แต่อย่างน้อยก็รายงานให้ฮ่องเต้และท่านทูตได้ พระชายาจะปล่อยไปง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไรกัน”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองเจ้าพนักงานและกล่าวว่า “ให้เขาเปิดร้านต่อไปตามปกติ พวกเจ้าแค่ส่งคนมาคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกร้านสิบสองชั่วยาม ที่เหลือข้าจัดการเอง พวกเจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ข้าจะส่งคนไปแจ้งเยี่ยนอ๋อง ไม่ให้เขาทำอะไรกับเจ้าหน้าที่ของหลี่ฝานย่วน”
เจ้าพนักงานสองคนมองหน้าสลับกันไปมา สีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่แล้วเฟิ่งจิ่วหลังก็พูดขึ้นมาว่า “เทียบกับการรายงานอย่างพอเป็นพิธีแล้ว ต้าสือของข้าอยากได้คำตอบที่ชัดเจนมากกว่า ข้าเชื่อใจพระชายา”
เจ้าพนักงานสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำได้เพียงเดินไปบอกเถ้าแก่
เถ้าแก่ถานพยักหน้าหงึกๆ สาบานต่อฟ้าว่า “เรื่องในวันนี้ ข้าน้อยจะไม่พูดออกไปแม้แต่คำเดียว จะเปิดร้านตามปกติขอรับ!”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันหลังและย่ำเท้าออกจากร้าน คนอื่นๆ ทยอยเดินออกจากร้านตาม ทุกคนเดินอย่างสบายๆ ราวกับเป็นแขกที่เพิ่งเดินเล่นในร้านเสร็จ
ท่ามกลางตลาดที่คึกคัก คนของต้าเซวียนและต้าสือเดินห่างกันและเดินตามหลังชายหญิงตรงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นเป้าสายตา
เฟิ่งจิ่วหลังไขว้มือไว้ด้านหลัง เดินไปพูดไปว่า “พระชายาจะทำอย่างไรรึ”
อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งและตอบกลับอ้อมๆ ว่า “คงจะต้องรบกวนใต้เท้าเฟิ่งช่วยถ่วงเวลาของฮูหยินท่านทูตให้ข้าอีกสักสองวัน ท่านสบายใจได้ ข้าจะให้คำตอบฮูหยินท่านทูตอย่างแน่นอน”
เฟิ่งจิ่วหลังพยักหน้าเบาๆ ดวงตาสีเขียวคู่นั้นแฝงด้วยรอยยิ้ม
ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งกำลังย่ำเท้าอย่างช้าๆ ในตลาดดอกไม้และนก แผ่นหลังงดงามราวกับทะลุมาจากเทพนิยาย อีกคนแข็งแรงทระนงสูงส่ง คุยไปยิ้มไปกันเป็นพักๆ
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ช่างเหมาะสมกันเสียเหลือเกิน
ในมุมหนึ่ง เฉียวเวยสะกดรอยตามจนถึงทางออกของตลาด พอเห็นว่าพระชายาฉินกับสาวใช้ขึ้นเกี้ยวและไปทางจวนอ๋องแล้ว เขาถึงยอมกลับไป เพื่อกลับไปรายงานให้เยี่ยนอ๋องที่หลี่ฝานย่วนรับรู้เรื่องราว
หลังจากกลับถึงจวน อวิ๋นหว่านชิ่นเรียกให้เสนาเกาส่งคำขอเข้าวังให้กรมวัง เพื่อที่จะไปแสดงความเคารพให้กับสนมเอกเฮ่อเหลียน
เกาจ๋างสื่อตกตะลึงเมื่อได้ยินชูซย่าเล่าให้ฟังว่าพบไข่แมลงในสินค้า เขาพูดแค่ว่าเรื่องนี้คงจัดการไม่ง่ายและคงไม่ราบรื่น คิดไม่ถึงเลยว่าจะเสี่ยงถึงเพียงนี้ โชคดีที่มีคนช่วยรับหน้ากับทางต้าสือเอาไว้ก่อน
เขารู้ว่าพระชายาเข้าวังเพื่อแก้ไขเรื่องนี้ จึงไปจัดการตามคำสั่งทันทีอย่างไม่รีรอ
เช้าวันต่อมา อวิ๋นหว่านชิ่นพาชูซย่าและองครักษ์สองนายขึ้นเกี้ยวไปยังพระราชวัง
หลังจากที่อวิ๋นหว่านชิ่นเข้ามาถึงในวัง นางไปแสดงความเคารพกับฮองเฮาก่อนตามกฎของพระราชวัง
เจี่ยงฮองเฮาก็เหมือนกับครั้งก่อน ไม่มีอะไร พูดคุยกันไม่กี่ประโยค จากนั้นก็สั่งให้คนยกถั่วอัลมอนด์กับชาข้าวอันเลื่องชื่อของพระตำหนักเฟิงจ๋ามาให้
ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นก็ปฏิบัติเหมือนครั้งก่อนเช่นกัน นางจิบชาข้าวสองจิบแต่ไม่ยอมแตะถั่วอัลมอนด์ ขานตอบทุกคำถามด้วยมารยาทจนหาที่ติแทบไม่ได้ สังเกตท่าทีของเจี่ยงฮองเฮาเป็นบางครั้ง วันนี้นางดูไม่มีกะจิตกะใจหาเรื่องตนสักเท่าไหร่ เวลาฟังตนพูดก็คล้ายว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
อวิ๋นหว่านชิ่นลูบไล้ถ้วยชาและจานรองอยู่อย่างนั้น หลังจากงานเลี้ยงในวังจบลงไม่กี่วัน เว่ยอ๋องพาพระชายารองที่กำลังตั้งครรภ์เข้าวัง เคยถูกฮ่องเต้เรียกเข้าพบเป็นการส่วนตัว เคยแอบไปห้องทรงพระอักษรสองครั้ง ได้ยินมาว่าภายในห้องทรงพระอักษรมีเสียงพูดคุยหัวเราะของสองพ่อลูกดังออกมาเป็นระยะๆ
ไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดเจี่ยงฮองเฮาถึงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
เว่ยอ๋องเริ่มเป็นที่พอพระทัยมากขึ้นเรื่อยๆ ความโดดเด่นของมเสีรองเหวยก็คงเริ่มกลับมาด้วยเช่นกัน นางจะมีเวลาสนใจพระชายาฉินที่ไร้ความอันตรายและฉินอ๋องที่ถูกส่งไปอยู่แดนไกลคู่นี้ได้อย่างไรเล่า
สายแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นขอตัวออกจากพระตำหนักเฟิงจ๋า เจี่ยงฮองเฮาไม่มีทีท่าว่าจะรั้ง แถมยังแสดงท่าทีเบื่อหน่ายด้วยการปัดมือด้วยซ้ำ “ไปเถิด หลังจากที่เจ้าอภิเษกกับฉินอ๋อง เหมือนว่ายังไม่เคยเข้าเฝ้าสนมเอกเป็นการส่วนตัวเลย ไหนๆ วันนี้ก็เข้าวังมาแล้ว อย่าให้สนมเอกรอนานกว่านี้อีกเลย พวกเจ้าสองคน ใช้เวลาร่วมกันให้มีความสุขเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเท้าออกจากตำหนัก และไปพระตำหนักชุ่ยหมิงต่อ
จุดประสงค์ของการเข้าวังในวันนี้ไม่ใช่พระตำหนักเฟิ๋งจ๋าแน่นอน และไม่ใช่ใช่พระตำหนักชุ่ยหมิงด้วย แต่อย่างไรแล้ว ก็จำเป็นต้องแวะสักหน่อย
ภายในตำหนัก เฮ่อเหลียนเห็นว่าพระชายาเอกมาหา นางสั่งให้คนรินน้ำชาและขนมหวานให้นาง
แม้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นไม่เข้ามาที่วัง เดิมทีนางก็คิดจะเรียกลูกสะใภ้มาหาอยู่แล้ว
มองดูหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านล่าง นางจัดผมเผ้าเป็นทรงผมหญิงสาวที่ออกเรือนแล้ว ริมฝีปากสีแดง คิ้วดกดำ ใบหน้างดงามดุจดอกพุดตาน ความอ่อนวัยลดลงไปเล็กน้อย มีความความออดอ้อนเพิ่มมากขึ้น สนมเอกเฮ่อเหลียนรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ในเวลาอันสั้นไม่กี่เดือน สุดท้ายแล้วหญิงสาวคนนี้ก็กลายมาเป็นลูกสะใภ้ของตน