บทที่ 159 ท่านอ๋องตวนตาบอด

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

ฉีเฟยอวิ๋นเรียกหมอจากในจวนก่อนหน้านั้นมาพบ และพูดคุยกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง
ช่วงบ่ายหนานกงเย่กลับมาจากข้างนอก ฉีเฟยอวิ๋นก็เป็นลมหมดสติลงที่ด้านหน้าห้องโถง หมอในจวนต่างรีบร้อนกันเข้ามา หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ ใบหน้าซีดเซียวราวกับกระดาษ
หมอในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ฉีเฟยอวิ๋นมีสีหน้าที่ซีดขาวจนน่าตกใจ
“ท่านอ๋อง เป็นเพราะหม่อมฉันไม่มีความสามารถเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นกระทำอย่างรีบร้อน ฮองเฮาและพระสนมเอกเซียวต่างก็กล่าวเช่นนั้น
หนานกงเย่เกือบจะหัวเราะออกมา แต่ก็เก็บอั้นไว้
“เป็นเพราะข้าเองที่ดีใจจนลืมตัว” หนานกงเย่มองไปที่หมอในจวนที่ต้องมาซวยไปด้วย “เร็วเข้าสิ!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หมอในจวนต่างคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋น หมอในจวนตรวจวัดชีพจรและตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และรีบถอยหลังก้มศีรษะลงกับพื้น
“ท่านอ๋องได้โปรดยกโทษให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ได้โปรดยกโทษ……”
“ลากออกไป ลงโทษโดยการโบยสองร้อยครั้ง!”
ใบหน้าของหนานกงเย่เย็นชา อาอวี่เข้ามาและลากตัวคนออกไป หมอในจวนตะโกนร้องขอชีวิตเสียงดัง ทำให้คนในจวนต่างตกใจกลัวจนตัวสั่น
เมื่ออุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมา หนานกงเย่ก็ออกไปข้างนอก หมอในจวนต่างคุกเข่ามองไปข้างนอก
หนานกงเย่ออกมาจากห้องโถงด้านหน้า หมอในจวนจึงกล้าเงยหน้าขึ้นมา ในใจคิดช่างโชคร้ายเหลือเกิน โบยสองร้อยครั้ง ก็เท่ากับต้องตาย?
ฉีเฟยอวิ๋นถูกอุ้มกลับเรือนสวนดอกกล้วยไม้ หงเถาและลี่ว์หลิ่วรีบปิดประตูแน่น ทั้งสองร้องไห้ราวกับสูญเสียพ่อแม่ไป พ่อบ้านอาวุโสเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งใจ
พ่อบ้านอาวุโสอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน
ท่านอ๋องก็ช่างประมาทเสียจริง
วันนี้ทังเหอก็อยู่ที่นั่น และได้ออกคำสั่งให้คนในจวนทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นและห้ามพูดถึง ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น
ทุกคนในจวนท่านอ๋องต่างก็เห็นหมอในจวนที่ถูกโบยแล้วถูกนำไปโยนทิ้งที่ในคุกใต้ดิน ใครก็ไม่กล้าทำอะไร เรื่องของเด็กก็เป็นเหมือนดาบแท่งหนึ่ง ฆ่าคนได้
เมื่อมีคนถาม หมอในจวนก็คิดคำแก้ตัวขึ้น หมอในจวนคนนั้นเดิมทีเป็นคนหนุ่ม ได้จ้องดูพระชายาจึงทำให้ท่านอ๋องโมโห จึงทำให้เป็นเช่นนี้
ฉีเฟยอวิ๋นพักฟื้นร่างกายอยู่เจ็ดแปดวัน ช่วงเวลาเหล่านั้น หนานกงเย่นอกจกาออกไปจัดการธุระในราชสำนัก เขาก็อยู่กับฉีเฟยอวิ๋นตลอดเวลา
เขาเป็นกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องบนเตียงของคนรุ่นหลัง เล่นกันหนักเกินไป
เมื่อเข้าห้องมาก็ถอดเสื้อผ้าออก เมื่อออกจากประตูไปใบหน้าของเขาจะไร้ชีวิตชีวา
เมื่อเวลาผ่านไปเจ็ดแปดวัน ฉีเฟยอวิ๋นก็ออกมาเดินเล่นรับแสงแดดภายในเรือน
ผู้ที่รู้เรื่องนี้มีไม่มากนัก ปิดปากหมอในจวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเดินทางไปพบหมอในจวนที่ถูกโบยคนนั้นด้วยความรู้สึกผิด
หมอในจวนเห็นฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบลุกขึ้น แต่เมื่อคิดดูคนที่ถูกโบยจนแทบตายแล้ว จะลุกขึ้นได้อย่างไร
หมอในจวนร้องไห้ ฉีเฟยอวิ๋นพยายามเกลี้ยกล่อมและกล่าวโทษเธอเอง หมอในจวนจึงเงียบลง
หลังจากรู้สึกผิด ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกรับไม่ได้ จึงได้ทำการแต่งตั้งหมอในจวนเลื่อนขั้นเป็นที่ปรึกษาหมอประจำเรือนในจวน
ตำแหน่งที่ปรึกษาหมอประจำเรือนนั้นเป็นระดับสูงสุดในบรรดาหมอ เมื่อพูดคุยเรื่องการเลื่อนขั้นเสร็จสิ้นจึงกลับออกมา
หมอคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าหมองคล้ำ พระชายาช่างเลอะเลือน ถูกโบยก็สามารถเลื่อนขั้นให้เป็นที่ปรึกษาได้ เช่นนั้นต่อไปทุกคนคงแย่งกันเพื่อจะถูกโบย
ไม่นานเรื่องการตั้งครรภ์ก็เงียบหายไป
ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ผ่านช่วงเวลาหนึ่งเดือนในการแท้งบุตรไปได้
หมอโจวในจวนที่นอนอยู่บนเตียงมาแรมเดือน ตอนนี้ก็หายดีแล้ว และยังได้รับใช้ดูแลฉีเฟยอวิ๋น
ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นเปล่งประกายอย่างมากในเดือนนี้ ใบหน้าดูมีน้ำมีนวลและมีแก้มทั้งสองข้าง ผิวพรรณก็ดูดีกว่าเมื่อก่อนมาก
หนานกงเย่รับประทานอาหารและเหลือบมองไปที่ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋น และอดไม่ได้ที่จะจูบเธอ
หงเถารีบก้มหน้าลงมองที่พื้น ท่านอ๋องก็ไม่รู้สึกอายเลย
ฉีเฟยอวิ๋นมองค้อนหนานกงเย่ และคีบเนื้อหนึ่งชิ้นเข้าไปในปาก
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเศร้าเล็กน้อย คนอื่นก็ตั้งครรภ์ เธอก็ตั้งครรภ์ คนอื่นชอบกินอาหารรสเปรี้ยว และไม่ชอบกลิ่นคาว แต่เธอชอบกินปลาและกินเนื้อสัตว์ และกินมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว กินจนร่างกายอ้วนขึ้น
“จักรพรรดิมีพระราชโองการให้เข้าวังไปตรวจวัดชีพจรให้กับทั้งสองตำหนัก ประเดี๋ยวจะต้องเข้าวัง” ฉีเฟยอวิ๋นรับพระราชโองการของจักรพรรดิอวี้ตี้มาแล้ว
“ข้าจะเข้าวังไปกับเจ้า” หนานกงเย่บอกปัดภารกิจที่ต้องทำในวันนี้ เพื่อติดตามเข้าวังไปกับฉีเฟยอวิ๋น ท้องของเธอยังดูไม่ออกในขณะนี้ แต่เขาจับและสัมผัสรับรู้ได้แล้ว หากให้เธอเข้าวังไปคนเดียว เขาเกรงว่าเขาจะเป็นกังวลอย่างมาก
“เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นตอบตกลง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จทั้งสองก็เข้าวังหลวง
การเข้าวังในครั้งนี้ทุกอย่างดูราบรื่น ได้เข้าพบและถวายพระพรพระพันปี หลังจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ไปเข้าพบทั้งสองตำหนัก
หนานกงเย่ถูกเรียกให้ไปเล่นหมากรุกกับจักรพรรดิอวี้ตี้ วันนี้เป็นวันที่บังเอิญมาก ไม่เพียงแค่หนานกงเย่และฉีเฟยอวิ๋นเท่านั้นที่เข้าวังมา แต่ยังมีท่านอ๋องตวนและพระชายารองอวิ๋น
หนานกงเย่นั่งสักพักและคิดจะกลับ แต่สุดท้ายก็ถูกพระชายารองอวิ๋นขวางทางไว้
ทันทีที่เห็นหนานกงเย่ อวิ๋นหลัวฉวนก็กลอกตาไปมา และรีบถวายพระพรจักรพรรดิ หลังจากนั้นจึงหันกลับไปจ้องมองหนานกงเย่
หนานกงเยี่ยนกล่าวอย่างไม่อดทน “กลับกันเถอะ ในเมื่อก็ถวายพระพรเสด็จแม่เรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็กลับก่อนเถอะ”
หนานกงเยี่ยนก็ไม่อยากอยู่ต่อไป เกรงว่าจะเกิดเรื่องน่าขบขันเข้า
หลังจากผ่านการอบรมสั่งสอนอย่างดีมาหนึ่งเดือน ผลลัพธ์กลับเป็นเพียงเงียบเฉยไม่พูดไม่จาเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน มีมารยาทขึ้นมาบ้าง อย่างอื่นกลับไม่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นเลย
หากไม่ใช่เป็นเพราะฉูฉู่ไม่ต้องการเข้าวัง ก็คงไม่ให้นางติดตามมาด้วย
อวิ๋นหลัวฉวนยังไม่ตกลง “ท่านอ๋อง วันนี้เสด็จแม่ชื่นชมว่าหม่อมฉันเรียบร้อย และอนุญาตให้หม่อมฉันอยู่ในวังนานขึ้นเพื่อเรียนรู้มารยาทเพคะ”
หนานกงเย่ไม่ได้มองออกไป “ในจวนก็สามารถเรียนมารยาทได้ กลับไปเถอะ”
“จักรพรรดิ หม่อมฉันต้องการอยู่ที่นี่เพื่อเรียนรู้ขนบธรรมเนียมมารยาท และหม่อมฉันยังสามารถไปพบพระชายาเย่เพื่อพูดคุยกันได้อีก หม่อมฉันและพระชายาเย่เจอกันครั้งแรกก็รู้สึกถูกคอและชอบพอเพคะ!”
ไม่ง่ายเลยที่อวิ๋นหลัวฉวนจะจับฉีเฟยอวิ๋นได้ ปกติอยู่ในจวนท่านอ๋องตวนมีคนคอยเฝ้าดูและควบคุม ไม่สามารถออกมาได้เลย ยากมากที่เข้าวังมาแล้วจะได้เจอกับฉีเฟยอวิ๋น โอกาสที่หายากเช่นนี้ จะปล่อยไปได้อย่างไร
จักรพรรดิอวี้ตี้หัวเราะอย่างขบขัน “เช่นนั้นก็รออยู่ตรงนี้เถอะ”
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท”
อวิ๋นหลัวฉวนรีบก้มตัวโค้งคำนับ ใบหน้าของหนานกงเยี่ยนเศร้าสร้อย ทำได้เพียงกลับไปนั่งเล่นหมากรุก
หนานกงเย่มองไปที่ประตู และรู้สึกหดหู่มากขึ้น
อวิ๋นหลัวฉวนเป็นถึงแม่ทัพ นางทำอะไรอย่างบ้าบิ่น หากทำให้ฉีเฟยอวิ๋นได้รับบาดเจ็บไปจะทำเช่นไร?
หนานกงเย่กำลังคิดอย่างโศกเศร้า ไม่นานฉีเฟยอวิ๋นก็เดินเข้ามาภายนอก หลังจากที่ถวายพระพรเสร็จก็ได้เงยหน้าขึ้นและมองเห็นอวิ๋นหลัวฉวน และรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ กลัวอะไรก็เจอแบบนั้น
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีธุระต้องกลับไปที่จวนท่านแม่ทัพ กราบทูลลาเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบที่จะออกไป
หนานกงเย่ก็ไม่รีรอ ลุกขึ้นและกราบทูลลา
อวิ๋นหลัวฉวนขมวดคิ้วและรีบกล่าวออกมา “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องจะพูดคุยกับพระชายาเย่ หม่อมฉันกราบทูลลาเพคะ ท่านอ๋อง เรากลับกันเถอะเพคะ?”
จักรพรรดิเหลือบมองไปที่หนานกงเยี่ยน “ในเมื่อมีธุระ เช่นนั้นก็กลับไปเถอะ ข้าก็มีธุระ”
เหลือบมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกผิดปกติ ไม่ได้เจอเพียงไม่นาน ทำไมถึงอ้วนได้ถึงเพียงนี้?
เมื่อจักรพรรดิจากไป ทั้งสี่กราบทูลลา ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่อย่างช่วยไม่ได้ และหันหลังกลับไปข้างนอก
อวิ๋นหลัวฉวนรีบตามออกไป “ท่านพี่เสียนเฟย”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกท้อแท้ “พระชายารองอวิ๋น”
“เอ่อ……” อวิ๋นหลัวฉวนเบิกตากว้างโตและค้นพบสิ่งแปลกใหม่
“ท่านพี่เสียนเฟยอ้วนขึ้นมากเลย?” อวิ๋นหลัวฉวนดึงมือของฉีเฟยอวิ๋นขึ้น หนานกงเย่จึงเปิดแขนเสื้อของอวิ๋นหลัวฉวน และจับมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้แน่น และพาเธอออกมา
อวิ๋นหลัวฉวนเป็นคนสะเพร่า เกรงว่าจะทำให้เกิดครรภ์เป็นพิษหรือภาวะแทรกซ้อนได้
อวิ๋นหลัวฉวนยังคงไม่หยุดซักไซ้และถามต่อไปว่า “ทำไมถึงอ้วนมากเช่นนี้ หรือว่าอยู่ดีกินดีที่จวนท่านอ๋องเย่หรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นฝืนยิ้มออกมา “ดีกว่าที่จวนท่านแม่ทัพนิดหน่อย”
กินเนื้อสัตว์และเนื้อปลาทุกวัน เป็นธรรมดาที่จะอ้วนขึ้น
“เช่นนั้นจวนท่านอ๋องตวนของข้าก็ไม่ดีเอาเสียเลย ข้ากินแต่ผักใบเขียวทุกวัน เหมือนกับป้อนกระต่ายทำนองนั้น ชีวิตช่างน่าอนาถเสียจริง ก่อนที่จะออกจากเรือนมา ข้าชอบกินเนื้อสัตว์ ทุกวันก็จะได้กินแต่เนื้อสัตว์ ใครจะไปคิดว่าจวนท่านอ๋องตวนจะยากไร้เช่นนี้ ทุกวันมีเพียงแค่ผักใบเขียว ราวกับป้อนผักให้กระต่าย กินจนข้าอาเจียนและท้องเสีย และทำให้ผอมลงอย่างมาก
ท่านพี่เสียนเฟย หากไม่เช่นนั้น ท่านพี่เลี้ยงอาหารข้าสักมื้อ ข้าจะได้มีข้ออ้างเพื่อบำรุงร่างกาย
ท่านย่าของข้าบอกไว้ว่า ข้ายังอยู่ในช่วงเจริญเติบโตได้อีก หากรับสารอาหารเช่นนี้ทุกวัน เกรงว่าต่อไปคงไม่เจริญเติบโตอีก”
อวิ๋นหลัวฉวนยิ่งพูดยิ่งน่าสงสาร หนานกงเยี่ยนทนรับฟังไม่ได้ ดูเหมือนว่าจวนท่านอ๋องเย่จะกินดีอยู่ดี มีทั้งเนื้อสัตว์และเนื้อปลา แล้วจวนท่านอ๋องตวนของพวกเขากินอยู่ไม่ดีหรืออย่างไร
“พูดจาเหลวไหล จวนของข้าล้วนมีอาหารอันโอชะให้กินอย่างไม่มีหมด ถึงแม้จะไม่เทียบเท่าในวังหลวง ที่สามารถกินของอร่อยได้ทุกอย่างในอาณาจักร แต่ก็ไม่ถึงกับผักใบเขียวสำหรับป้อนกระต่ายเช่นนั้น” หนานกงเยี่ยนรู้สึกโกรธ อวิ๋นหลัวฉวนยิ่งโกรธ
“ยังบอกว่าช้าพูดจาเหลวไหล ท่านดูข้าสิ แต่งงานเข้ามาที่จวนท่านอ๋องตวนได้ไม่นาน แต่กลับผอมไปมาก ข้าไม่กล้าจะกลับบ้านไป เกรงว่าจะถูกคนพูดว่าแต่งงานกับท่านอ๋องที่ไม่มีเงิน ท่านดูท่านพี่เสียนเฟยสิ อ้วนเหมือนลูกวงกลมแล้ว”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นเศร้า มองไปที่อวิ๋นหลัวฉวนและอดไม่ได้ “จวนทท่านอ๋องตวนกินอาหารไม่อร่อยก็เป็นเรื่องของการกินอาหาร พระชายารองอวิ๋นอย่าดึงข้าเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยเลย”
ความอ้วนก็ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเศร้ามากพอแล้ว นางยิ่งพูดว่าอ้วนเหมือนลูกวงกลม ฉีเฟยอวิ๋นจะรับได้อย่างไร?
อวิ๋นหลัวฉวนพูดอย่างรวดเร็ว “ข้าเพียงแค่รู้สึกอิจฉา ข้าไม่ได้ต้องการทำให้คับข้องใจ?”
“ข้าไม่รบกวนพระชายารองอวิ๋นและท่านอ๋องตวนแล้ว ข้ามีธุระต้องกลับไปที่จวนท่านแม่ทัพ ขอตัวลาก่อน” ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังและเดินออกไป นางเกรงว่าจะตามไปไม่ทัน จึงรีบตามออกไป และไม่ได้สนใจหนานกงเยี่ยน
ฉีเฟยอวิ๋นกำลังตั้งครรภ์ เดิมทีก็เดินช้าอยู่แล้ว
ไม่นานอวิ๋นหลัวฉวนก็เดินตามมาทัน
“ท่านพี่เสียนเฟย ไม่เช่นนั้นกลับด้วยกันดีไหม ข้าก็ผ่านทางไปจวนท่านแม่ทัพ?” อวิ๋นหลัวฉวนตัดสินใจด้วยตัวเอง
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ไล่ไม่ไปงั้นก็ไปด้วยกัน
ออกจากวังมาก็นั่งอยู่ในรถม้า เมื่ออวิ๋นหลัวฉวนขึ้นรถม้ามาก็รีบมองหาเจ้าจิ้งจอกหางสั้น จิ้งจอกหางสั้นตกใจ หนานกงเย่ยกมือขึ้นมาป้องกันให้ฉีเฟยอวิ๋น เกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ใบหน้าดูเคร่งขรึมและน่ากลัว
หนานกงเยี่ยขึ้นรถม้ามาก็นั่งลงอีกฝั่งหนึ่ง สีหน้าดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไร
“เจ้าจิ้งจอกน้อย ในเมื่อพระชายารองอวิ๋นชอบเจ้าขนาดนี้ เจ้าก็อยู่กับนางสักพัก” หนานกงเย่ดูไม่มีความสุขนัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงจะทำร้ายอวิ๋นอวิ๋นเอาได้
เจ้าจิง้จอกหางสั้นไม่กล้าที่จะไม่ปฏิบัติตาม มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นด้วยความน้อยใจ และลากตัวไปตรงหน้าอวิ๋นหลัวฉวน อวิ๋นหลัวฉวนอุ้มเจ้าจิ้งจอกหางสั้นขึ้นมาด้วยความดีใจและเอนไปบนรถม้าพร้อมกับกล่าวว่า “จับเจ้าได้แล้ว”
เจ้าจิ้งจอกหางสั้นหมอบคลานลง และหลับตาลลงอย่างไม่สนใจ
อวิ๋นหลัวฉวนลูบหางของจิ้งจอกหางสั้น แค่นี้ก็รู้สึกมีความสุขแล้ว
ไม่นานรถม้าก็เดินทางมาถึงจวนท่านแม่ทัพ ฉีเฟยอวิ๋นถูกหนานกงเย่อุ้มลงมาจากรถม้า
อวิ๋นหลัวฉวนกระโดดลงมา
หนานกงเยี่ยนก็คิดว่ามานั่งเล่นที่จวนท่านแม่ทัพสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน จึงลงจากรถม้ามา
ฉีเฟยอวิ๋นถูกวางลง เธอขมวดคิ้วและหันไปมองหนานกงเยี่ยนที่กำลังลงรถม้า เมื่อเทียบกับอวิ๋นหลัวฉวนแล้ว เขาดูเหมือนกับเป็นผู้หญิง
“ขอบพระทัยท่านอ๋องตวน พระชายารองอวิ๋นที่ส่งพวกเรากลับมา รถม้ายังอยู่ข้างหลัง เช่นนั้นไม่รบกวนทั้งสองเข้าไปข้างในแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นตัดสินใจไล่เขากลับไป แต่อวิ๋นหลัวฉวนไม่กลับ
“ข้าไม่อยากกลับไปจวนท่านอ๋องตวน ข้ามไม่อยากกลับไปกินผักใบเขียวจนอาเจียน ไม่เช่นนั้นท่านพี่เสียนเฟยเลี้ยงอาหารพวกเราสักมื้อดีไหม”
เมื่อพูดถึงขั้นนั้น ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่รู้จะปฏิเสธบ่ายเบี่ยงอย่างไร ทำได้เพียงตอบตกลง “เช่นนั้นเชิญเพคะ”
อวิ๋นหลัวฉวนอุ้มเจ้าจิ้งจอกหางสั้นเข้าไปในจวนท่านแม่ทัพอย่างไม่เกรงใจ หนานกงเยี่ยนไม่มีความสุขเท่าไรนัก ท่านอ๋องตวนรู้สึกอับอายอย่างมาก
ส่วนหนานกงเย่เดินเข้าประตูมาพร้อมกับกล่าวว่า “พี่รองตระหนี่เช่นนี้เลยหรือ ทำไมถึงไม่ให้พระชายารองอวิ๋นกินดีหน่อยล่ะ?”
“มีที่ไหนที่ไม่จัดอาหารให้นางอย่างดี ต่อให้จวนท่านอ๋องตวนของข้าจะไม่เทียบเท่าเท่าจวนท่านอ๋องเย่ของเจ้า แต่ก็ไม่สามารถไปหักลบเรื่องอาหารการกินของพระชายารองได้ ข้ากินอะไร นางก็ได้กินเหมือนข้า อย่าไปฟังที่นางพูดจาเหลวไหลไร้สาระ” หนานกงเยี่ยนก้าวเท้าเข้าไปในจวนท่านแม่ทัพ หนานกงเย่จูงมือของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกซาบซึ้ง
อวิ๋นหลัวฉวนไม่ได้เป็นคนที่พูดจาโกหก จะโทษก็โทษท่านอ๋องตวนที่ตาบอดเอง!