บทที่ 158 แผนรับมือ
หนานกงเย่มีความสุขอยู่ได้ไม่นานก็สังเกตเห็นความผิดปกติ เขาที่กำลังจับมือฉีเฟยอวิ๋นไว้รู้สึกงุนงงเล็กน้อย “พระชายาไม่ชอบงั้นหรือ”

“ก็ต้องไม่ชอบอยู่แล้วเพคะ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น หม่อมฉันยังต้องดูแลเรื่องการตั้งครรภ์ในทั้งสองตำหนัก ตอนนี้กลับท้องเสียเอง เช่นนี้แล้วจะกราบทูลฝ่าบาทได้อย่างไร” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกลำบากใจ การคลอดลูกไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เท่าที่นางรู้ ตอนนี้ร่างกายของนางยังไม่สมบูรณ์แข็งแรง และการคลอดลูกอาจทำให้ร่างกายบาดเจ็บ แม้แต่ฮองเฮานางก็ไม่รู้ว่าจะกราบทูลอย่างไร ทั้งหาตำแหน่งเย็บเพื่อเจาะเข้าไปไม่ได้ด้วย

หนานกงเย่ดูไม่มีความสุข “มีเรื่องราวมากมายแล้วอย่างไร ฝ่าบาทจุดไฟไปทั่วภูเขา แล้วข้าจะจุดตะเกียงสักนิดไม่ได้เลยหรือ”

ฉีเฟยอวิ๋นอึดอัด เหตุใดคำเปรียบเปรยนี้จึงฟังดูไม่รื่นหูนัก

ดูเหมือนองค์จักรพรรดิจะไม่ได้จุดไฟไปทั่วทั้งภูเขา พระองค์อภิเษกสมรสมาหลายปีแต่เพิ่งจะมีแค่คนเดียว

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นกลุ้มใจก็คือการที่นางเพิกเฉยต่อจวินเซียวเซียวและจวินฉูฉู่ไม่ได้

เรื่องของความเป็นความตาย คนท้องอย่างนางจะไปช่วยผดุงครรภ์ให้ทั้งสองตำหนักได้อย่างไร แม้จะไม่กลัวว่าจะมีผลต่อเด็กในครรภ์ แต่นางก็รับไม่ได้อยู่ดี!

จักรพรรดิอวี้ตี้ให้ความสนพระทัยกับเรื่ององค์รัชทายาทขนาดนั้น ถ้าเกิดทำไม่ดีขึ้นมาหัวคงได้หลุดออกจากบ่าเป็นแน่

เมื่อคำนวณเวลาแล้ว ตอนที่ทั้งสองตำหนักคลอดบุตร อายุครรภ์ของนางก็คงจะประมาณเจ็ดถึงแปดเดือน ถึงตอนนั้นจะพาท้องโตๆ ไปผดุงครรภ์ได้อย่างไร

หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นที่ไม่พูดอะไร ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด

“ข้าจะปกป้องเจ้ากับลูกสาวของเราเอง” คำพูดของหนานกงเย่ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่เชื่อหูและเงยหน้ามองเขา

“ท่านอ๋อง ท่านพูดว่าลูกสาวหรือเพคะ”

“ใช่สิ” หนานกงเย่วินิจฉัยแล้วว่าลูกคนนี้เป็นผู้หญิง

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า “หม่อมฉันคิดว่าเป็นลูกชายดีกว่าเพคะ ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเคยบอกแล้วว่าคนเป็นลูกสาวจะเสียเปรียบมากเมื่ออยู่ในที่แห่งนี้ ถ้าไม่มีสามีที่พึ่งพาได้ ชีวิตที่เหลือก็ต้องเป็นไปแบบนั้น หม่อมฉันไม่อยากให้กำเนิดลูกสาวเลยเพคะ”

“ใครจะกล้ารังแกธิดาของข้า” หนานกงเย่มีโทสะขึ้นมาทันที

ฉีเฟยอวิ๋นเอนหลังลงบนเตียงและมองขึ้นไปเบื้องบนอย่างเศร้าๆ “ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่ตั้งแต่สมัยโบราณจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มีธิดาของจักรพรรดิกี่พระองค์กันเชียวที่มีความสุขหลังจากอภิเษก? ต้องใช้ชีวิตเหมือนตายที่เรือนของสามีตั้งแต่อายุยังน้อย แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังทำอะไรไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่านที่เป็นท่านอ๋องเลย

พ่อของหม่อมฉันเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องเคยปฏิบัติต่อฉีเฟยอวิ๋นอย่างจริงใจหรือเพคะ

ในเวลานั้นเกรงว่าท่านอ๋องคงไม่เคยมองอย่างจริงใจเลยด้วยซ้ำ

เวลานี้หากให้กำเนิดบุตรสาวจริงๆ ท่านอ๋องจะรับประกันได้อย่างไรว่านางจะเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและเข้าใจอะไรง่ายๆ

ถ้าเป็นเช่นนั้นล่ะเพคะ

ถ้ามีสามีเป็นผู้ชายอย่างท่านอ๋องกั่วจวิ้น ทั้งชีวิตจะไม่พังพินาศหรือ

ท่านอ๋องคงจำเรื่องของเฉาเหม่ยเหรินได้ การใช้กฎหมู่กับผู้ถูกกระทำเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะหม่อมฉันบังเอิญไปพบเข้า ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

รองแม่ทัพเฉาเองก็เป็นแม่ทัพ เขาทำอะไรไม่ได้เลยหรือ?

ผู้หญิงที่นี่ไม่ได้มีชีวิตดีไปกว่าหมูหมากาไก่เลย เช่นนี้แล้วท่านอ๋องยังจะอยากให้กำเนิดบุตรสาวอีกหรือเพคะ”

คำพูดของฉีเฟยอวิ๋นทำให้หนานกงเย่รู้สึกหวั่นไหว ความจริงแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็พูดถูก แม้แต่บุตรสาวในครอบครัวที่มั่งมี เมื่อย้ายไปอยู่ในครอบครัวสามีแล้วก็ต้องคำนึงถึงมารยาทเป็นหลัก

การมีภรรยาสามคนสี่คนถือเป็นหน้าที่ของผู้ชาย และการเคารพพ่อแม่สามี ยอมให้ท่านดุด่าว่ากล่าวก็คือความกตัญญู

จวินฉูฉู่มีฐานะสูงส่งเมื่ออยู่ในจวนของท่านราชครูจวิน การอภิเษกกับอ๋องตวนก็เป็นไปด้วยความรัก ไม่เหมือนกับการที่พระชายารองต้องต้อนรับขับสู้อ๋องตวนด้วยตนเอง

เมื่อมีพระชายารองก็ต้องแบ่งปันสามีร่วมกัน อย่างที่ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวไว้ ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนจะเต็มใจ

เมื่อคิดดูแล้วหนานกงเย่จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นให้กำเนิดโอรสดีกว่า ข้าเองก็เป็นจักรพรรดิไม่ได้ ต่อให้ทำอย่างไรก็ยากจะหลีกเลี่ยงที่จะเจอคนที่ไม่รักไม่ทะนุถนอมธิดาของข้า

ดังนั้นคงจะดีกว่าถ้าได้ลูกชาย แบบนั้นจะช่วยลดปัญหาได้มาก”

ฉีเฟยอวิ๋นมองเขาและรู้ดีว่าหนานกงเย่ต้องจำใจยอมแพ้

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมา ฉีเฟยอวิ๋นก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้เอาชนะคะคานแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีความสามารถที่จะทำ

เขามีฝีมือมากและไม่เคยยอมแพ้

คนเช่นเขามีจิตใจที่เข้มแข็งยิ่งกว่าใครๆ

การที่เขายอมอ่อนข้อให้ในเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางแก้ไขได้เลย

ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครชี้ขาดความในใจของผู้อื่นได้ และเขาก็ยอมรับมัน!

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเห็นใจเล็กน้อย นางกอดหนานกงเย่และพลิกตัวลงบนเตียงจนทำให้หนานกงเย่ถึงกับหน้าซีด รีบป้องร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นไว้และดุว่า “อย่าซนน่า!”

ทว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร ใช่ว่าเพิ่งจะท้องวันสองวันเสียเมื่อไหร่ มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ไม่กี่วันมานี้นางยังวิ่งวุ่นระหว่างทั้งสองตำหนักอยู่เลย มันก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ถ้าเพียงแค่กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงแล้วมีปัญหา นั่นคงเป็นโชคชะตาของเด็กแล้วละ

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันดีใจที่ท่านคิดได้เช่นนี้ เพียงแต่การให้กำเนิดบุตรสาวหรือบุตรชาย ไม่ใช่ว่าอยากได้เป็นแบบไหนแล้วจะเป็นแบบนั้น ดังนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา เพียงแต่เวลานี้เรื่องนี้ยังไม่ใช่เรื่องที่หม่อมฉันเป็นกังวล”

หนานกงเย่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ฉีเฟยอวิ๋นใช้สองมือกอดก่ายและซบลงกับอกของเขา ท่วงท่าเช่นนี้ ท่าทีเช่นนี้ จะไม่ชวนให้เขาเคลิบเคลิ้มได้อย่างไร เขาไม่อาจต้านทานแรงดึงดูดนี้ได้และร่างกายก็เริ่มกระสับกระส่าย

แต่น่าเสียดายที่เขาต้องอดทน!

“ที่พระชายาคิดข้าเองก็รู้ แต่ข้าจะปกป้องพวกท่านสองแม่ลูกอย่างดีและต้องให้กำเนิดบุตรชาย ไม่เพียงแค่นั้น ข้าจะเข้าวังไปทูลเสด็จแม่ด้วย”

“…..” ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออก นางลุกขึ้นมองหนานกงเย่และแทบจะดุเขา

เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นดูไม่ดีใจเลย หนานกงเย่จึงถามว่า “มีอะไรหรือ”

“ท่านอ๋อง ท่านอยากจะมีลูกจริงๆ หรือ” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าเช่นนั้นนางคงต้องให้กำเนิดเขาแน่แล้ว

หนานกงเย่ลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน “แน่นอน”

ฉีเฟยอวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านอ๋อง ถ้าท่านอยากจะให้กำเนิดบุตรจริงๆ ท่านต้องมีแผนที่สมบูรณ์แบบ”

หนานกงเย่พยักหน้า “อวิ๋นอวิ๋นน่าจะมีความคิดอะไรบางอย่าง”

“ท่านอ๋องเพคะ มันจะต้องเกิดปัญหาอย่างแน่นอนถ้าตอนนี้เราบอกทุกคนว่าข้าตั้งครรภ์ ไม่ต้องพูดถึงใครอื่น พระชายาตวนต้องเป็นคนแรกแน่ที่ไม่ปล่อยข้าไป”

“ลองดูสิ ถ้านางกล้าคิดจะลงมือกับลูกของข้า ข้าจะทำให้นางเหลือแต่เถ้ากระดูก!”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหดหู่ “ท่านอ๋อง ระหว่างพวกท่านยังมีความผูกพันกันอยู่ ท่านจะโหดร้ายได้ลงคอจริงๆ หรือเพคะ”

หนานกงเย่หรี่ตาลงเล็กน้อย “พระชายายังไม่รู้จักข้าดีพอ”

“ถ้าเป็นหม่อมฉันล่ะ”

“ท่าน?”

หนานกงเย่โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน “ข้าไม่อยากจะพูด แต่พระชายาตวนก็คือพระชายาตวน พระชายาก็คือพระชายา ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน”

“แต่ท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ทั้งสองตำหนักเกิดเรื่อง ฝ่าบาทยังไม่ทรงอภัยโทษ ท่านอ๋องทำไม่ได้หรือ”

“ฝ่าบาทยังต้องให้เกียรติเบื้องหลังของตระกูลจวิน ในครรภ์ของพระสนมเอกเซียวคือบุตรของฝ่าบาท หากจะจัดการพระชายาตวนย่อมต้องจัดการราชครูจวิน จวนท่านราชครูเคลื่อนไหวแล้ว แม้แต่ครรภ์ของพระสนมเอกเซียวก็เกรงว่าอาจจะปกป้องไว้ไม่ได้

ที่ฝ่าบาททรงเล็งเห็นก็คือเกียรติของอ๋องตวน เมื่อแม่ลูกจากทั้งสองตำหนักปลอดภัย ฝ่าบาทจึงจะทรงให้อภัย ถ้าเกิดเรื่องที่ทั้งสองตำหนัก ชีวิตของพระชายาตวนคงจะหาไม่ไปนานแล้ว”

ฉีเฟยอวิ๋นมองเขา “ท่านอ๋อง พวกท่านแต่ละคนต่างเฉลียวฉลาดและปรีชาสามารถ หม่อมฉันสับสนนิดหน่อย เช่นนั้นเมื่อทรงอภัยพระชายาตวนแล้ว แล้วจะต้องให้เกียรติใครกันแน่”

“เกียรติของอ๋องตวนยังสำคัญ เพียงแต่ฝ่าบาทกำลังสนพระทัยครรภ์ของพระสนมเอกเซียว ถ้าเกิดเรื่องกับพระสนมเอกเซียว จวนราชครูจะประสบกับความหายนะก่อนใคร และคนที่จะต้องตายอย่างน่าเวทนาที่สุดก็คือพระชายาตวน”

หนานกงเย่บีบคางของฉีเฟยอวิ๋น

“ตระกูลของกษัตริย์ไร้ความปรานี ความโหดเหี้ยมของกษัตริย์ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นอวิ๋นจะคาดเดาได้ แต่สิ่งที่ข้าทำได้คือการปกป้องพวกเจ้าสองแม่ลูกอย่างดี ดังนั้นข้าจึงยอมติดตามคอยเป็นธุระให้ฝ่าบาท

แต่ถ้าใครทำอะไรอวิ๋นอวิ๋นจนข้าต้องเป็นทุกข์เหมือนเช่นฝ่าบาท ถึงแม้ฝ่าบาทจะตำหนิ ข้าก็จะไม่ยกโทษให้มันอย่างแน่นอน!”

ฉีเฟยอวิ๋นกอดหนานกงเย่ “ถ้าท่านอ๋องชอบเด็กคนนี้ เช่นนั้นเรามาให้กำเนิดเขากันเถิด แต่เราต้องหารือเรื่องวิธีรับมือนะเพคะ

ต้องปกปิดเรื่องเด็กคนนี้นิดหน่อย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เราจะไม่พูดออกไป

ถึงอย่างไรเสีย ตอนนี้เราก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใครดีใครชั่ว ถ้าพวกเขาแอบรอประทุษร้ายอยู่ในมุมมืด ข้าไม่กลัวตัวเองหรอก แต่เกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูก ถึงตอนนั้นหม่อมฉันกับท่านจะต้องเสียใจมากเป็นแน่

ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮาก็ดี พระชายาตวนก็ดี ถ้าพวกนางไม่รู้พวกนางก็จะไม่เพ่งเล็งมาที่ครรภ์ของหม่อมฉัน

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าพวกนางเพิ่งจะรู้ตอนที่หม่อมฉันใกล้คลอด แม้ว่าจะพุ่งเป้ามาที่หม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะปลอดภัยและเด็กก็จะคลอดออกมาได้”

“วุ่นวาย มีข้าอยู่ทั้งคน ใครก็ทำอะไรอวิ๋นอวิ๋นไม่ได้ ข้า…” ฉีเฟยอวิ๋นปิดปากของหนานกงเย่ หนานกงเย่หยุดพูดและจ้องมองฉีเฟยอวิ๋นด้วยแววตายุ่งยากเล็กน้อย

ฉีเฟยอวิ๋นกอดหนานกงเย่และเบียดตัวในอ้อมกอดของเขา

“ท่านอ๋อง การมีลูกเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องประสบพบเจอ แต่ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีลูกเร็วขนาดนี้ ในโลกของข้า กว่าผู้หญิงจะมีลูกก็ต้องอายุล่วงยี่สิบกว่าไปแล้ว และเราทุกคนมีความสุขที่มีลูก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเด็ก

แต่การให้กำเนิดลูกที่นี่นั้นน่ากลัว ถ้ามีความไม่สงบสุขเกิดขึ้นแล้วเด็กคลอดออกมา พวกเขาจะปล่อยลูกของพวกเราไปหรือ

ถ้าปกป้องเขาไม่ได้ ข้าไม่คลอดเขาออกมาเสียจะดีกว่า

แต่ในเมื่อเขามาเกิดแล้ว มันจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน”

ฉีเฟยอวิ๋นลองอธิบายอย่างกลัดกลุ้ม

หนานกงเย่กระชับอ้อมกอด ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวต่อว่า “ข้าไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีไปกว่านี้ ตอนนี้อย่าเพิ่งบอกใครเรื่องที่หม่อมฉันท้องเลยนะเจ้าคะ รอจนใกล้คลอดท่านอ๋องค่อยส่งข้าไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ปกป้องเขาให้ดีหลังจากคลอด หาข้ออ้างนำลูกไปเลี้ยงที่จวน จนเมื่อทุกอย่างสงบลงค่อยป่าวประกาศให้รู้”

หนานกงเย่ไม่พูดอะไร ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเขาไม่เต็มใจ

เขาต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอนที่เปิดเผยเรื่องลูกอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้

“ก็ได้ ข้าจะยอมตกลงชั่วคราว แต่ถ้าพวกเขาทำเกินไป ข้าจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาและจะไม่สนใจเรื่องของทั้งสองตำหนักอีก จะอยู่ปกป้องพวกท่านสองแม่ลูก”

หนานกงเย่มีสีหน้าโหดเหี้ยมจนฉีเฟยอวิ๋นต้องจูบเขาเบาๆ

ความถมึงทึงบนใบหน้าของหนานกงเย่หายวับไปทันที เขามองฉีเฟยอวิ๋นอย่างเอาแต่ใจเล็กน้อย “ตอนนี้เป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจะทำอย่างไรดีเล่า”

ฉีเฟยอวิ๋นเอื้อมมือไปปลดอาภรณ์ของหนานกงเย่ “เช่นนั้นท่านอ๋องอยากลองเพลงรักในแบบของโลกอนาคตไหมเพคะ”

หนานกงเย่เอนกายลงบนเตียงด้วยร่างกายที่อ่อนปวกเปียก เขาปล่อยมือ หลุบตามองฉีเฟยอวิ๋นที่ไต่ขึ้นมาและปลดอาภรณ์ของเขา

“ข้าอยากรู้รายละเอียด”

“เช่นนั้นท่านอ๋องทนไม่ได้แน่!”

“.…”

หนานกงเย่มองคนบนร่างที่ทำตัวขบถ สีหน้าเคร่งขรึมลงทันที “อวดดี…”

ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และลุกขึ้นนั่งข้างๆ “ถ้าท่านอ๋องไม่เต็มใจ ก็ช่างมันเถิดเพคะ”

“มานี่เลย” หนานกงเย่เอื้อมมือมาดึงนางกลับไป นั่นเองฉีเฟยอวิ๋นจึงกลับไปหาเขา

หนานกงเย่ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าที่อิ่มเอิบและสบายตัวหลังจากพักผ่อนมาตลอดทั้งคืน!

ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นและลุกออกมาจากผ้าห่ม สวมเสื้อผ้าและเตรียมจะทำอะไรบางอย่าง

“วันนี้ข้าต้องไปที่ตู้ฟางจุนอีกครั้ง พระชายาอยู่ที่นี่ก่อนและห้ามไปไหนมาไหน รอข้ากลับมาข้าจะไปเป็นเพื่อนพระชายาเอง” หนานกงเย่สวมชุดขุนนางและออกไปเข้าเฝ้าช่วงเช้า

ฉีเฟยอวิ๋นกำลังหลับตาพริ้มและนึกวางแผนอะไรบางอย่าง