เห็นเยี่ยเม่ยทำท่าทางเจ้าเล่ห์ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็หัวเราะออกมา
เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ฮูหยิน ระหว่างสามีภรรยายังต้องเคารพซึ่งกันและกัน ความรักถึงจะยืนยาว ดังนั้นยามที่ต้องขอบคุณสามี เจ้าก็ต้องขอบคุณ อีกอย่างความสุขดุจมัจฉาแหวกว่ายในวารีเช่นนี้ คนที่สบายก็มิได้มีแค่เยี่ยนคนเดียว!”
“ท่าน…!” เยี่ยเม่ยหน้าแดงเรื่อขึ้นมาแล้ว
หลังจากลมหายใจเร่าร้อนของพวกเขาทั้งสองหยุดลงไปได้พักหนึ่ง ‘ศึก’ ในวันนี้ก็จบลงแล้ว
เยี่ยเม่ยจัดเสื้อผ้าอาภรณ์เข้าที่ มองเขาอย่างจนปัญญากล่าวว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่ไรมาข้าไม่เคยพบเจอคนที่ไร้ยางอายเช่นท่านมาก่อนเลย!”
เขากลับไม่ปฏิเสธ จัดชุดต่วนด้วยท่วงท่าสง่างาม เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ต่อให้ไร้ยางอาย เยี่ยนก็ไร้ยางอายกับฮูหยินเพียงผู้เดียว!”
เยี่ยเม่ยกลับหน้าเขียวคล้ำ จับจ้องบุรุษหน้าเหม็นผู้นี้ สีหน้านางเปลี่ยนไปเคร่งเครียด เอ่ยเสียงนิ่งว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้าขอถามท่าน มาถึงตอนนี้ข้ายุ่งเรื่องของท่านไม่ได้แล้วใช่หรือไม่
เมื่อนางตอบเช่นนี้ สีหน้าหยอกล้อแต่เดิมของเขาหายไปไม่หลงเหลืออยู่เลยสักน้อยในเสี้ยวนาที
คนคล้ายกลับไปเป็นเชื่อฟังขึ้นมา เขาหัวเราะเบา ๆ จับสายรัดเอวด้วยท่วงท่าสง่างามคล้ายแมวเปอร์เซีย แล้วค่อยก้มหน้าลงเอ่ยว่า “เยี่ยนสำนึกผิดแล้วขอให้ชายารักอภัยด้วย! เยี่ยนไม่กล้าบังอาจอีกแล้ว!”
ในเมื่อฟ้าสางแล้ว ก็ไม่อาจทำต่อไปอีก
เช่นนั้นก็ต้องปลอบนางก่อน
ส่วนเรื่องบังอาจ…ไว้ครั้งหน้าต้องการนาง ค่อยบังอาจต่อไป
เยี่ยเม่ยไม่รู้ว่าเขาคิดเช่นนี้ ครั้นเห็นเขาที่เมื่อครู่หน้าด้านไร้ยางอาย เปลี่ยนไปสงบเสงี่ยมในพริบตา นางรู้สึกพอใจ อีกทั้งยังเข้าใจอยู่ลึกๆ ว่าตัวเองอบรมสั่งสอนได้มีประสิทธิภาพนัก
โทสะที่สุมอยู่เต็มท้องเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง
เพียงแต่ว่านางยังจำเรื่องหนึ่งได้ ต้องเตือนบุรุษผู้นี้สักหน่อย! นางมองใบหน้าหล่อเหลาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ท่านจำไว้ให้ดี นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นอกจากได้รับคำอนุญาตจากข้า มิเช่นนั้นท่านห้ามดื่มสุราเด็ดขาด!”
“เพราะอะไร” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตะลึงงัน รู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง ไฉนนางถึงพูดเช่นนี้
เขาถามออกมาเช่นนี้ เยี่ยเม่ยพลันรู้สึกว่าไฟโทสะเมื่อครู่พวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง จ้องมองบุรุษหน้าเหม็นตรงหน้า “ท่านยังมีหน้าถามอันใดอีก ท่านยังไม่รู้ชัดอีกหรือ ท่านคอแข็งนักหรือไง มีครั้งไหนบ้างที่ท่านไม่ก่อเรื่องเพราะสุรา”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ สีหน้าเยี่ยเม่ยเปลี่ยนไปไม่น่ามองยิ่งขึ้น “ครั้งแรกที่ท่านดื่มหนัก ข้าได้รับข่าวว่ามู่หรงเหยาฉือค้างคืนที่เรือนท่าน ถึงข้าเชื่อว่าไม่เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกท่าน แต่ว่าเมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดมาถึง ท่านคิดว่าข้าจะดีใจหรือ”
เอ่ยจบแล้วเยี่ยเม่ยก็เสริมต่อ “ครั้งที่สองที่ท่านดื่มสุรา เป็นวันที่สองหลังจากแต่งงาน หลังจากเมาแล้วก็รับผิดแทนเป่ยเฉินเสียง เกือบได้ลูกมาคนหนึ่งแล้ว ส่วนผลสรุปตอนท้ายยังทำให้มู่หรงเหยาฉือสร้างความยุ่งยากให้ข้าอีก ข้าอยากถามเหลือเกินว่าที่แท้ท่านคิดดื่มสุราหรือยั่วโมโหข้าให้ตายกันแน่!”
เมื่อนางสาธยายออกมา เขากลับอารมณ์ดีไม่เลว
คิดดูแล้ว ทุกคำพูดดูจะเป็นการกระทำของเขาจริงๆ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า เอ่ยว่า “ฮูหยินวางใจเถอะ สามีสาบานว่าหากเจ้าไม่อนุญาต สามีจะไม่ดื่มอีก มิเช่นนั่น…ฮูหยินใช้กระบี่แทงทะลุหัวใจสามีได้เลย!”
“อ้อ…”
เยี่ยเม่ยต้องการเพียงแค่เขารับปากตนเองเท่านั้นว่าจะไม่ดื่มอีก แต่ไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยถ้อยคำรุนแรงเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่านางทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทำให้นางพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
นางเอ่ยปากว่า “เช่นนั้นพวกเรากลับกันก่อนเถอะ!”
“ได้!”
……
ค่ำคืนนี้ไม่ต่างจากสิ่งที่เป่ยเฉินอี้สองนายบ่าวคาดคิด หลังจากฮ่องเต้เข้าบรรทมได้ครู่หนึ่ง ก็โมโหเรื่องที่เป่ยเฉินอี้วางแผนการ พลิกกายไปมานอนไม่หลับ ทรงลุกขึ้นมาด้วยโทสะส่งคนไปสังหารเป่ยเฉินอี้
ผลก็คือคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ากลับมารายงานว่ามือสังหารทำงานล้มเหลว ซ้ำยังไม่มีชีวิตรอดกลับมา
ได้ยินว่าจวนอี้อ๋องคุ้มกันเข้มงวด แม้แต่อี้อ๋องยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้า ผู้ลอบสังหารล้วนถูกเก็บกวาดจนหมด คาดว่าเป่ยเฉินอี้คงรู้แต่แรกแล้วว่าฮ่องเต้จะส่งคนไป ถึงได้เตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ
คราวนี้ฮ่องเต้ก็ยิ่งทวีความเดือดดาลแล้ว โมโหเสียจนปัดแท่นฝนหมึกหรูหราบนโต๊ะร่วงแตกไปหลายอัน
สุดท้ายก็ยังไร้ซึ่งหนทาง ทรงได้แต่ฝืนข่มพระเนตรให้บรรทม
ฮ่องเต้รู้สึกว่าหากรู้ว่าการลอบสังหารล้มเหลวแต่แรก กลับกันยังทำให้พระองค์ไม่อาจนอนหลับได้จนถึงตอนนี้ เช่นนั้นยังจะส่งมือสังหารไปทำไมอีก ไม่สู้ตามหมอหลวงมาเจียดยานอนหลับให้พระองค์จะดีเสียกว่า
อาการนอนไม่หลับคืออาการป่วย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกินยาถึงจะบรรเทาได้
…
จวนองค์ชายสี่ ห้องนอนซือหม่าหรุ่ย
ในขณะที่เจ้าของห้องกำลังหลับสนิท
นางไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนผู้หนึ่งเข้ามาในห้องนางนานแล้ว คนผู้นั้นยืนอยู่ข้างเตียงนางเป็นเวลานาน มองใบหน้าหลับสนิทของนางก็ห้ามใจไม่ไหวยื่นมือออกไปแตะใบหน้าซือหม่าหรุ่ย เพียงแต่เมื่อมือเกือบจะกระทบถูกใบหน้านางนั้น คนผู้นั้นก็ชะงักค้างไว้กลางอากาศ เกรงว่าจะปลุกนาง
คนผู้นั้นก็คือเซียวชิน
ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะลอบแฝงเข้ามาในจวน ครั้นเห็นฟ้าใกล้สางแล้วหากเขายังไม่จากไปอีก ก็อาจถูกพบตัวได้ เซียวชินหมุนกายเตรียมจากไป
แต่แทบในขณะเดียวกัน ซือหม่าหรุ่ยในความฝันพลันยื่นมือออกมาคว้ามือที่เดิมจะสัมผัสค้างอยู่ของเขาไว้ “เซียวชิน อย่าไป..เซียวชิน…”
“อาหรุ่ย…” เซียวชินก้มหน้ามองนาง เดิมคิดว่าซือหม่าหรุ่ยตื่นแล้ว
กลับคิดไม่ถึงว่า เมื่อเห็นนางยังหลับตาสนิทไม่ได้ตื่นขึ้นมา เป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่งของนาง
ซือหม่าหรุ่ยจับมือเขาแนบแก้มตน หางตายังมีน้ำตาไหลซึมออกมา
นางเอ่ยเบาๆ “เซียวชิน ท่านอย่าไป…ข้าขอร้องท่านแล้ว อย่าไป…”
เซียวชินเห็นสถานการณ์แล้ว กระบอกตาพลันแดงรื้นขึ้นมาในบัดดล
เหมือนกับที่นางคิดถึงเขา ระยะเวลาสี่ปีนี้ไม่มีวันใดเลยที่เขาไม่คิดถึงนาง แต่เขาไม่อาจรั้งอยู่ข้างกายนาง ทันทีที่ร่องรอยของเขาเปิดเผย จะนำพาภัยคร่าชีวิตมาสู่นาง
ขณะที่เขาคิดจะดึงมือออก แต่นางกลับจับแน่นขึ้น
เซียวชินจนปัญญา เพียงหยิบยาออกมาแกว่งอยู่ที่จมูกซือหม่าหรุ่ย เมื่อได้กลิ่นหอมของยาสลบ นางก็หลับลึก เซียวชินถึงได้ดึงมือออกมากระโดดออกจาหน้าต่างไป
ฟ้าสว่างแล้ว
ซือหม่าหรุ่ยตื่นขึ้นมา นางมองไปรอบๆ กลับไม่พบคนที่นางอยากพบ ชั่วขณะนั้นนางไม่ใส่ใจว่าสวมเพียงชุดตัวในวิ่งออกไปนอกห้องด้วยเท้าเปลือยเปล่า
เยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเพิ่งกลับถึงจวน เห็นซือหม่าหรุ่ยท่าทางลนลานวิ่งออกมา
นางชะงักไปเล็กน้อย ขณะกำลังจะเข้าไปถาม
ซือหม่าหรุ่ยคล้ายกับคนเสียสติ พุ่งเข้ามาที่เบื้องหน้าเยี่ยเม่ย จับมือนางไว้ ร้องไห้เอ่ยว่า “เยี่ยเม่ย เขากลับมาแล้ว! เขากลับมาแล้ว! ข้ารู้สึกถึงเขา เขากลับมาแล้ว เขาอยู่ข้างกายข้า เมื่อคืนข้าจับมือเขาไว้แบบนี้…เขากลับมาแล้วแน่ๆ ข้าไม่ได้รู้สึกไปเอง ครั้งนี้เขากลับมาแล้วจริงๆ!”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เยี่ยเม่ยเห็นซือหม่าหรุ่ยเสียกิริยาเช่นนี้ นางไตร่ตรองดูก็เข้าใจแล้ว “เจ้าหมายถึง เซียวชิน?”
ดวงตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับลุ่มลึกลง กวาดมองไปมุมใดมุมหนึ่งในกลางตัวเรือน