ยุยง
“เรื่องนี้สหายหล่งโปรดวางใจ ชีวิตน้อยๆ ของข้านั้นล้ำค่ามาก ไม่มีทางทำอะไรที่เสี่ยงแน่” ชายหนุ่มคิ้วขาวหัวเราะหึๆ
“เหล่าสหายตัดสินใจอย่างไร” หล่งตงเอ่ยถาม
“พวกเราก็ล่องหนแยกกันเป็นสองฝั่งลอบโจมตีกิ้งก่าและมนุษย์ยักษ์ที่อยู่ด้านล่าง ให้พวกมันเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายโจมตี ก็ได้แล้วมิใช่หรือ” ชายหนุ่มคิ้วขาวดูเหมือนว่าจะเคยครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ด้านล่างมาแล้ว จึงเอ่ยออกมาอย่างไม่ต้องคิด
“พูดง่าย แต่ไม่รู้ว่าเจ้าสองตัวด้านล่างมีจิตสัมผัสแข็งแกร่งขนาดไหน หากการล่องหนถูกมองออก สหายที่ลงมือจะไม่ตกอยู่ในอันตรายหรือ มันเสี่ยงไปหน่อยกระมัง!” สตรีครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วสั่นศีรษะ
“หากพูดถึงเคล็ดวิชาล่องหน น้องหญิงมี ‘ยันต์ว่างเปล่า’ อยู่สองแผ่น ขอแค่กระตุ้นมันเต็มอัตรา โดยปกติแล้วผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ระดับต่ำกว่าระดับหลอมสุญตาไม่มีทางมองออกได้ง่ายๆ น้องหญิงเอาออกมาช่วยสนับสนุนได้” หญิงสาวชุดขาวเม้มริมฝีปากขณะเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“ยันต์ว่างเปล่า นั่นคือยันต์ลูกอ๊อดสีเงินชนิดหนึ่ง มีประโยชน์ในการต่อกรกับเจ้าสองตัวนี้อย่างแน่นอน เริ่มแรกพวกเราไม่จำเป็นต้องใช้ร่างจริงลงมือ ข้าน้อยมี ‘หุ่นเชิดมังกรเงินวารี’ อยู่สองตัว ทุกตัวล้วนเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เอายันต์แปะไว้บนร่างของหุ่นเชิด ให้พวกมันลงมือก็ได้แล้ว เช่นนั้นจะยิ่งปลอดภัยขึ้นหน่อย” หล่งตงหน้าเปลี่ยนสีขณะเอ่ยด้วยรอยยิ้มยินดี
“วิธีนี้เยี่ยมมาก ต่อให้หุ่นเชิดนั้นไม่ได้ผล พวกเราก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม สี่คนตัวล่อพวกมันเอาไว้ จากนั้นก็ให้สหายคนหนึ่งที่เคล็ดวิชาหลีกหนีว่องไวแอบอยู่ข้างๆ คอยลงมือเด็ดผลวิญญาณไปในเวลาที่เหมาะสม ขอแค่ได้ผลวิญญาณมา ทุกคนก็จะสำแดงเคล็ดวิชาลับหนีไปในทันที บางทีเจ้าสองตัวนี้อาจจะมีกำลังเท่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา แต่หากพวกเราจะหนีละก็ พวกมันคงไม่อาจขวางกั้นได้ แค่สหายที่ลงมือหยิบผลวิญญาณ จำต้องมีความรวดเร็ว มิเช่นนั้นจากความเร็วในการแลบลิ้นของกิ้งก่ากลายพันธุ์ ก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง” เสี่ยวหงกลอกตาไปมา แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“เซียนเสี่ยวกล่าวมีเหตุผล แต่แค่ผู้ที่ลงมือชิงผลวิญญาณจะเสี่ยงมาก และยิ่งไปกว่านั้นพวกเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่เอาผลวิญญาณหนีไป มิเช่นนั้นวิธีนี้ก็ไม่มีทางใช้ได้” ชายหนุ่มคิ้วขาวแววตาเปล่งประกายเย็นชา
“จัดการยากจริงๆ ไม่ทราบว่าสหายท่านใดยอมเป็นคนลงมือคนสุดท้ายบ้าง หลังจากเอาสมบัติไปแล้ว พวกเราจะต้องกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แน่นอนว่าสหายผู้นี้ก็ต้องหาวิธีทำให้พวกเราวางใจด้วยเช่นกัน” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อได้ฟังคำพูดของหญิงสาว คนที่เหลืออีกสี่คนก็เผยสีหน้าประหลาดๆ ออกมา
เหมือนกับที่หญิงสาวกล่าวเอาไว้ ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้หยิบผลเห็ดมังกรพวงนั้นไป เกรงว่าก็ต้องต้านทานกับความโกรธเกรี้ยวและขัดขวางของตัวประหลาดทั้งสอง อันตรายนั้นมากมายขนาดไหนคงไม่ต้องพูดถึง ผู้ใดจะไว้ใจให้คนอื่นเอาผลวิญญาณล้ำค่าไปคนเดียว
นี่เป็นภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ช่างทำให้ผู้คนตัดสินใจยากจริงๆ
“หากเหล่าสหายไม่รังเกียจละก็ ข้าน้อยยอมเป็นคนลงมือคนสุดท้าย” ฉับพลันนั้นหานลี่พลันเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“สหายหาน เจ้าเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นกลาง ไม่รู้ว่าอันตรายเกินไปหรือ?” หล่งตงหางตากระตุกพลันเอ่ยแย้ง
“ใช่ พลังยุทธ์ของพี่หานน้อยไปนิด” ชายหนุ่มคิ้วขาวพิจารณาหานลี่สองระลอก แล้วสั่นศีรษะระรัว
“ถึงแม้ว่าผู้แซ่หานจะมีพลังยุทธ์ไม่พอ แต่ในตัวยังมีสมบัติเคลื่อนย้ายระดับสุดยอดที่ใกล้เคียงกับสมบัติวิญญาณอยู่ชิ้นหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดวิชาที่ข้าน้อยฝึกฝนยังค่อนข้างพิเศษ มั่นใจว่าจะรักษาชีวิตได้แน่” หานลี่ฉีกยิ้มน้อยๆ ท่าทางไม่ใส่ใจเลยสักนิด
“อ๋อ ในเมื่อพี่หานมั่นใจเช่นนี้ ก็ไม่มอบให้เจ้าทำไม่ได้แล้วล่ะ แต่พี่หานจะทำให้พวกเรามั่นใจได้อย่างไรว่าหลังจากที่ได้ผลวิญญาณไปแล้วจะไม่หนีเตลิดไป” หล่งตงมีน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เรื่องนี้ข้าน้อยคิดไม่ออกจริงๆ แต่หากเหล่าสหายคิดว่าข้าน้อยไม่เหมาะสมละก็เสนอตัวออกมาเองได้ ถึงอย่างไรเสียหน้าที่นี้ก็เป็นภาระที่หนักมาก ข้าน้อยเองก็อย่างไรก็ได้” หานลี่หัวเราะฮ่าๆ ออกมา เอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม
เมื่อได้ฟังหานลี่ถามเช่นนี้ คนที่เหลือก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
ถึงแม้ว่าทุกคนจะอยากได้สมบัติ แต่ไม่มีผู้ใดอยากรับหน้าที่เป็นเหยื่อล่อให้กับสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาสองตน หากไม่ระวังก็อาจจะได้รับบาดเจ็บหนัก หรือแม้กระทั่งถึงฆาต
“หากพี่หานยอมให้ข้าลงอาคมไว้ น้องหญิงก็ไม่มีข้อคัดค้าน” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่ ข้าน้อยก็คิดเช่นนั้น!” เสี่ยวหงจ้องเขม็งไปที่หานลี่ชั่วครู่แล้วเอ่ยออกมาอย่างเห็นด้วย
หล่งตงและชายหนุ่มคิ้วขาวมองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“ลงอาคมในร่างของข้าน้อย แน่นอนว่าได้! แต่เหล่สหายจำต้องให้ข้าน้อยลงอาคมเอาไว้เช่นกัน” เมื่อได้ยินคำว่าลงอาคม หานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้มเย็นชา
“หึ หากเจ้าเอาสมบัติมาไม่ได้ เกิดอันตรายอะไรขึ้น พวกเราไม่ซวยไปพร้อมกับเจ้าหรือ” ชายหนุ่มคิ้วขาวได้ยินพลันแค่นเสียงด้วยความเย็นชา
“หึๆ นั่นเป็นสิ่งที่ผู้แซ่หานกำลังกังวล” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
ความจริงแล้วต่อให้คนเหล่านี้ยอมรับเงื่อนไขจริงๆ แปดในสิบส่วนเขาก็ไม่ได้เห็นด้วยอยู่แล้ว
อาคมที่ลงเอาไว้กับหงส์น้ำแข็งก่อนหน้า ทำให้เกิดผลที่น่ากลัวอย่างลมปราณหายไปและทารกวิญญาณถูกทำลาย เขาจึงยังรู้สึกหวาดกลัว จะยอมทำพลาดซ้ำง่ายๆ ได้อย่างไร
ฟังจากคำพูดของหานลี่ หล่งตงและพวกก็มองสบตากันด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากนายท่านเอาอะไรมาเป็นของประกัน พวกเราก็จะเชื่อเจ้า อย่างเช่น เอาสมบัติประจำกายของนายท่านมาไว้ที่พวกเราชั่วคราว แล้วถูกลงอาคมติดตามเอาไว้ เช่นนั้นละก็ พวกเราก็ไม่กลัวว่าสหายจะเอาสมบัติหนีไปแล้ว” หญิงสาวชุดขาวกะพริบดวงตาปริบๆ แล้วเผยสีหน้าเจ้าเล่ห์ออกมาขณะเอ่ย
“สมบัติประจำกาย ลงอาคมติดตาม วิธีเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็พอรับได้ ทว่าพวกเราต้องลงตำแหน่งเอาไว้ให้กันและกัน อีกเดี๋ยวตอนที่ล่องหน ข้าน้อยจะได้รู้ตำแหน่งของสหายทุกคน หึๆ หากหุ่นเชิดมังกรเงินวารีของพี่หล่งได้ผล ไม่แน่ว่าก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตราย” หานลี่ขบคิดอยู่ชั่วครู่ ถึงได้พยักหน้าอย่างเชื่องช้า
ทำเครื่องหมายเอาไว้ซึ่งกันและกัน!
พวกของหล่งตงและสตรีพลันใจเต้น มองสบตากันแวบหนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าอย่างเชื่องช้า
ดูแล้วคงมีแต่วิธีนี้ที่ใช้การได้สุดแล้ว แน่นอนว่านั่นก็เป็นเพราะหานลี่มีพลังยุทธ์อยู่แค่ระดับเทพแปลงขั้นกลาง ดูแล้วเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุด จึงไม่กลัวว่าเขาจะชิงสมบัติหนีไปจริงๆ
ทันใดนั้นคนเหล่านั้นก็ปรึกษากันอย่างละเอียดอีกครั้ง ในที่สุดก็ได้แผนการที่เป็นรูปธรรม
หานลี่อ้าปากออกพ่นกระบี่สีทองยาวสองสามชุ่นออกมาสี่ด้าม วนรอบร่างของตนเองเอาไว้ แล้วกลายเป็นกระบี่เล่มเล็กสีทองสี่เล่ม ทยอยกันร่อนลงมาในมือของเขาทั้งสี่คน
หล่งตงและพวกเองก็ไม่เกรงใจ ทันใดนั้นบ้างก็สำแดงเคล็ดวิชาลับ บ้างก็แปะยันต์วิเศษบนตัว เพื่อลงอาคมบนกระบี่ด้ามเล็ก ลำแสงสว่างวาบแล้วเก็บเข้าไปในกำไลเก็บของของตนเอง
จากนั้นทั้งสี่คนก็ทยอยกันมีลำแสงหลากสีสันพ่นออกมาจากหว่างนิ้ว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของหานลี่
หานลี่ชิงใช้จิตสัมผัสตรวจสอบลำแสงเหล่านี้อย่างละเอียด เมื่อมั่นใจว่าเป็นแค่ลมปราณที่บริสุทธิ์ไม่มีอาคมอื่นผสมแล้ว ก็ถึงได้ปล่อยให้พวกมันเข้าไปในร่างกายอย่างวางใจ
จากนั้นหานลี่ก็ทำเช่นเดียวกัน ปล่อยลำแสงสีเขียวสี่ลูกออกมาจมหายเข้าไปในร่างของพวกของหล่งตงทั้งสี่คน
เช่นนั้นทุกคนจึงรู้สึกผ่อนคลายลง
หลังจากที่มองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว พวกเขาก็สลายตัวออก กลายเป็นลำแสงหลีกหนีพุ่งออกไปทั่วทุกสารทิศ
หานลี่ที่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวบินออกมารวดเร็วสองสามพันลี้ แล้วถึงได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
เขาลอยอยู่กลางอากาศ กวาดตามองไปรอบๆ แล้วหลับตาทั้งสองข้างลงเบาๆ แผ่จิตสัมผัสออกไปอย่างช้าๆ
รอบ ไม่มีสิ่งผิดปกติ หลังจากที่ตนเองไม่ถูกจับจ้อง เขาก็ลืมตาทั้งสองข้าง สองมือพลันร่ายอาคม
ชั่วขณะนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นที่แผ่นหลัง ปีกขนนกสีขาวคู่หนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นมือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ยันต์สีม่วงแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น นั่นก็คือ ‘ยันต์หายตัว’
ชิงสมบัติใต้จมูกของสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตา เขาจึงไม่กล้าประมาท แน่นอนว่าจึงเอายันต์วิเศษแผ่นนี้ออกมา
แปะยันต์บนร่าง อักขระสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบในลำแสงสีม่วง หานลี่หายตัวไปตามสายลม
เขาที่ล่องหนอยู่ลอยวนไปมาอยู่ที่เดิม
ถึงแม้ว่าความเร็วจะไม่ได้เร็วเท่าตอนมา แต่ก็ไม่อาจพูดว่าช้าได้ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่เดิมอีกครั้ง
กิ้งก่ายักษ์ตัวนั้นและมนุษย์ยักษ์พันตายังคงยืนกรานต่อกันไม่ยอมขยับเขยื้อน
อาศัยแค่ตาเนื้อ แน่นอนว่าไม่อาจสัมผัสการดำรงอยู่ของคนอื่นได้
ดังนั้นหานลี่พลันพ่นลมหายใจออกมา ในใจพลันร่ายคาถา ชั่วขณะนั้นจิตสัมผัสพลันสัมผัสตำแหน่งที่อยู่ของตนเองได้
คนอื่นๆ ก็กลับมายังบริเวณใกล้ๆ ดังคาด และค่อยๆ ลอยตัวอยู่กลางอากาศเหมือนกับเขา
ทั้งสองคนลอยอยู่เหนือกิ้งก่ายักษ์ อีกสองคนอยู่ด้านหลังมนุษย์ยักษ์พันตา
เคล็ดวิชาอำพรางตัวของคนเหล่านั้นก็ไม่ธรรมดา ไม่อาจสัมผัสล่องลอยได้ จากจิตสัมผัสของหานลี่ก็ไม่อาจพบเห็นอะไรได้เช่นกัน
นอกจากนี้หุ่นเชิดมังกรเงินวารีทั้งสองของหล่งตง เขาก็ยังไม่พบร่องรอยเลยสักนิด
ไม่รู้ว่ายันต์ว่างเปล่านั้นมีความมหัศจรรย์ถึงขั้นนี้ หรือว่ายังไม่ถูกสำแดงออกมา
ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ดวงตาทั้งสองก็ยังจ้องไปด้านล่างตาไม่กะพริบ
ทุกอย่างรอบๆ ล้วนเงียบสงัด ความรู้สึกประหลาดเหมือนพายุกำลังเข้ามาปะทุขึ้น
ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหารก็ยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลง
หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในใจกลับรู้สึกทนไม่ไหว เหมือนว่าเวลาที่นัดกันไว้ ใกล้จะถึงแล้ว
ในตอนนั้นเองกิ้งก่ายักษ์ก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกไม่สบายกรงเล็บยักษ์ จึงเงยหน้าขึ้นไปตามความรู้สึก แต่ทันใดนั้นก็ร่อนลงมาข้างล่างอีกครั้ง
แต่ชั่วพริบตาที่กรงเล็บนี้ตะปบลงมา ฉับพลันนั้นกรงเล็บด้านล่างก็เปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ทันใดนั้นเส้นไหมสีเงินก็พุ่งออกมา โจมตีไปทางมนุษย์ยักษ์พันตา
ดูแล้วเหมือนว่ากิ้งก่าจะใช้กรงเล็บของตนเองโจมตีออกมา
มนุษย์ยักษ์ใช้กระบองยักษ์ที่อยู่ในมือต้านเอาไว้ด้วยความตกตะลึง ทันใดนั้นก็ร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว เงาสีดำเบื้องหน้าเปล่งแสงสว่างวาบ พายุพัดเข้ามา คาดไม่ถึงว่าทำให้เส้นไหมสีเงินที่อยู่เบื้องหน้าหายไปในหอบเดียว
แต่แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ด้านล่างมนุษย์ยักษ์พันตาก็มีของรางๆ เปล่งแสงสว่างวาบ ทันใดนั้นเสาลำแสงสีเงินหนาๆ สายหนึ่งก็พ่นออกมาจากกลางอากาศด้วยความรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็มาอยู่ตรงหน้าหัวกิ้งก่ายักษ์
กิ้งก่ากลอกดวงตาสีเขียวเข้มทั้งสองข้าง เขาคู่สีแดงสดบนหัวเปล่งแสงสว่างวาบ พ่นเสาลำแสงสีแดงสายหนึ่งออกมาเช่นกัน
หลังจากเสียงระเบิด “ตูม” ดังขึ้น เมื่อเสาลำแสงทั้งสองสายสัมผัสกัน คาดไม่ถึงว่าจะสลายหายไปราวกับเดินไปสู่ความตายพร้อมกัน
แต่จากนั้นกิ้งก่าก็ชูคอเปล่งเสียงร้องคำรามดังสนั่นออกมา แขนขาทั้งสี่ออกแรง ร่างกายที่แต่เดิมหมอบอยู่กับพื้นยืนขึ้น
มันอ้าปากออก เผยเขี้ยวเต็มปากออกมา