บทที่ 75 ถอนภูเขา

ท่องภพสยบหล้า

กระบี่ยาวพุ่งราวสายอัสนี จนเหลือเพียงแสงเย็นเยียบ

ในคลื่นสัตว์ร้ายที่โถมทะลักเข้ามา เจียงวั่งใช้วิชาเต๋าไม่ทัน พึ่งพาเพียงวิชากระบี่ติดตัว พลิกหมุนไปมาอยู่ในฝูงสัตว์ร้าย

ศรแสงทองที่สลักอยู่บนกระบี่ ยิงเข้าใส่ดวงตาสัตว์ร้ายร่างราชสีห์ตัวหนึ่งไปพักหนึ่งแล้ว การโจมตีถัดไปยังต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกระยะหนึ่ง

ถ้าหากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของเคล็ดวิชาหลอมกายาสี่วิญญาณ เจียงวั่งคงแทบจะไม่รอดแล้ว

ในการปะทะของคลื่นสัตว์ร้ายครั้งนี้ ผู้ฝึกบำเพ็ญล้มตายไปมากกว่าร้อย! กระทั่งศพยังไม่เหลือทิ้งไว้

เจียงวั่งตัวติดกับสัตว์ร้ายร่างวัวขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง หมุนซ้ายหมุนขวารอบตัวมัน แม้เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้จะอาละวาดเหมือนสายฟ้าฟาด แต่ก็ทำให้สัตว์ร้ายตัวอื่นๆ โจมตีเข้ามาได้ลำบาก

แต่เขาก็เข้าใจว่าเวลานี้ยังไม่ใช่ช่วงที่ปลอดภัย เพราะตอนนี้เขายังคงเต้นรำอยู่บนคมมีด หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็หมายถึงความตายที่ไม่เหลือแม้กระดูก

เขากระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ ว่าสัตว์ร้ายพุ่งเข้าหาเสาแสงก่อนหน้านั้นอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไรบ้าง

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังคลาดกับเจ้าหรู่เฉิงแล้วด้วย

เขาเองยังรับมือได้ยากลำบากเลย แล้วเจ้าหรูเฉิงจะเป็นอย่างไร

เจียงวั่งไม่กล้าจะจินตนาการ

เขาระเบิดพลังทั้งหมดออกมาแล้ว ขณะเดียวกันที่หมุนตัวต่อสู้ ก็พยายามคนหาเงาของเจ้าหรู่เฉิงอย่างสุดกำลัง และตรวจสอบทิศทางของเสาแสงนั่นด้วย

จากการห้อตะบึงของสัตว์ร้ายร่างวัว เจียงวั่งก็เห็นเจ้าสัตว์ร้ายที่มีพลังวิเศษวิชาเวทตัวนั้น

แม้ว่าในฝูงสัตว์จะบ้าคลั่งเพียงไหน แต่ก็ยังคงเว้นที่ว่างให้กับมันภายใต้สัญชาตญาณ

นั่นคือสัตว์ร้ายที่เหมือนแมวดำตัวหนึ่ง รูปร่างเล็กปราดเปรียวกว่าที่คาดไว้ แต่มันกลับยืนตระหง่านนิ่งๆ อยู่ท่ามกลางคลื่นสัตว์ร้าย เหมือนหินโสโครกกลางกระแสน้ำไหลอย่างไรอย่างนั้น มีเพียงดวงตาสีแดงก่ำทั้งคู่ของมันเท่านั้นที่มองเห็นถึงสัญชาตญาณเดิมของสัตว์ป่า

ตอนนั้นมันดูเหมือนจะหาวออกมาอย่างขี้เกียจ ทว่าปากของมันยิ่งอ้าก็ยิ่งกว้าง ยิ่งอ้ายิ่งกว้าง เพียงครู่เดียวก็โตจนเหมือนอ่างไม้ และใจกลางปากที่อ้าออกมาของมัน ก็มีทรงกลมสีแดงลูกหนึ่งค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

เจียงวั่งมองไปตามทางที่มันเล็ง ถลึงตาโตออกมาในพริบตา ทางนั้นเจ้าหรู่เฉิงกำลังโดนสัตว์ร้ายเจ็ดแปดตัวล้อมจะฉีกทึ้งอยู่ สถานการณ์อันตรายยิ่ง

เจียงวั่งพลิกตัวไปด้านหลังสัตว์ร้ายร่างวัว ใช้กระบี่กระตุ้นสัญชาตญาณเถื่อนของมัน จากนั้นดีดตัวออกไปด้วยปลายเท้า!

เขาเคลื่อนตัวไปยังบนศีรษะของสัตว์ร้าย

คอยหลบหลีกการฉีกทึ้งและการโจมตีอันมหาศาลตลอดทาง และเขาดีดตัวขึ้นฉับพลัน

เคล็ดกระบี่ปราณม่วงบูรพา วิชาสังหารกระบวนที่สี่ แสงกระบี่สาดยิงออกไป

เจียงวั่งห่อหุ้มอยู่ในแสงกระบี่เจิดจ้า กระแทกฝูงสัตว์ร้าย ใช้ความเร็วสูงสุดพุ่งตรงไปเบื้องหน้าเจ้าหรู่เฉิง ดึงไหล่ของเขากระชากไปด้านหลัง!

ขณะเดียวกับที่เจ้าหรู่เฉิงถูกกระชากกลับ เจียงวั่งหมุนตัวกลางอากาศสามครั้ง และเสาแสงสีแดงก่ำที่สัตว์ร้ายแมวดำยิงออกมาก็แฉลบหวิวผ่านร่างเขาไปอย่างหวุดหวิด

ตึงเครียดถึงขีดสุด และยอดเยี่ยมสุดขีดด้วยเช่นกัน

แต่เขามองข้ามไป เจ้าสัตว์ร้ายร่างวัวที่ถูกเขา ‘จับเชิด’ อยู่นานสองนานตัวนั้น

นั่นคือวัวกวาง รูปร่างเหมือนวัวกับกวางผสมกัน หนังหยาบเนื้อหนา พละกำลังสุดลิ่ม หลังจากที่ถูกเจียงวั่งนำมาเป็นโล่คุ้มกายอยู่นานสองนาน มันก็มองข้ามทุกสิ่งอย่าง จ้องเขม็งมาทางเจียงวั่ง จากนั้นพุ่งขวิดเข้ามาอย่างรุนแรง

เวลาเดียวกับที่เสาแสงสีแดงเบิกทางขึ้นอีกครั้ง เจียงวั่งหมุนตัวเหยียบลงไปบนแมงมุมภูเขาตัวหนึ่ง จากนั้นใช้กระบี่จัดการทำลายตารองของแมงมุมภูเขายักษ์ตัวนี้ไป

และเวลานี้เอง เจ้าวัวกวางก็กระโจนขึ้นกลางอากาศ กระแทกตัวเจียงวั่งอย่างจัง!

ภายใต้ความฉุกละหุกเจียงวั่งทำเพียงแค่ยกกระบี่ขึ้นขวางไว้เบื้องหน้า ร่างทั้งร่างถูกกระแทกจนลอย และด้านหลังของเขาก็เป็นหน้าผา!

ยอดเขาสมดุลหยกสูงแค่ไหน อย่างน้อยมองลงไปจากกลางเขา ก็ล้วนถูกเมฆหมอกบดบังจนมิด

“พี่สาม!”

เจ้าหรู่เฉิงพุ่งตัวขึ้นหน้าเหมือนคนบ้า แต่สิ่งที่รอเขาอยู่คือฝูงสัตว์ร้ายที่กำลังโถมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

สนามรบที่พวกเขาอยู่ อยู่ทางหน้าผาทิศเหนือ

เยี่ยชิงอวี่เดินทางไปด้วยสู้ไปด้วย นางค้นหาตัวเจียงวั่งมาถึงตรงนี้

ก่อนหน้าที่คลื่นสัตว์ร้ายระลอกสองที่น่ากลัวกว่าจะระเบิดขึ้น คนที่หยิ่งทะนงเช่นนาง สิ่งที่คิดได้คือ นางจะต้องช่วยเหลือเจียงวั่งให้ได้สักครั้งจึงจะถูก

ไม่พูดถึงจำนวนสมบัติของวิเศษคุ้มครองกายที่ใช้ไปในครั้งนี้ อยู่ต่อหน้าคลื่นสัตว์ร้ายที่หลั่งทะลักออกมาเรื่อยๆ นางคิดในใจ ยังเหลือสมบัติอยู่อีกสองชิ้น ถ้าหากด้านหน้ายังหาตัวคนไม่พบคงต้องออกจากพื้นที่นี้เสียแล้ว

จากนั้นสิ่งที่นางเห็นคือ…กองเศษเนื้อของศพกองหนึ่ง

เป็นศพสัตว์ร้ายที่ถูกฟันทิ้งจนละเอียดที่สุดตั้งแต่นางเห็นมาในสนามรบครั้งนี้

พื้นที่ภูเขาก็เต็มไปด้วยหลุมนูน มีอยู่สามหลุมที่ชัดเจนที่สุด ถูกพลังบางอย่างซัดจนกลายเป็นร่องคู

และหนึ่งในร่องคูนั้นมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่

แค่มองเห็นด้านข้างใบหน้าเขา ก็หล่อเหลางดงามอย่างมาก

ข้างกายมีเลือดสดหลั่งไหล เศษชิ้นศพกระจายเต็มพื้น ชายคนนั้นเพียงแค่นั่งอยู่บนพื้น ก้มหน้าลงตก ผมยาวสยายบ่า

“…นี่” เยี่ยชิงอวี่ลองทดสอบทักถาม

ชายคนนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองมาทางนางผาดหนึ่ง

เป็นสายตาที่เย็นชาและเหี้ยมเกรียมอย่างมาก!

แต่เขาก็เพียงโยกไปโยกมา จากนั้นจึงล้มลงกลางบ่อเลือด

และเวลานี้ มาพูดถึงสถานการยอดเขาสมดุลหยกทั้งหมดต่อ

เจ้าสำนักเต๋าเมืองซานซานสู้จนตัวตายไปแล้ว ผู้ฝึกบำเพ็ญที่ระดมกลุ่มกว่าห้าร้อยนายก็ตายไปกว่าครึ่ง

กลุ่มสัตว์ร้ายทำลายแนวป้องกันทั้งหมดลง ที่ไกลที่สุดคือบุกลงไปถึงฐานที่มั่นกองหลังตรงบริเวณตีนเขา เข้าสังหารอย่างเหิมเกริม

จากที่เห็นคือพ่ายแพ้ไปแล้ว

หรือไม่ก็ตอนที่ฝูงเหยี่ยวหยินหยางสองหัวปรากฏตัวออกมา สถานการณ์ก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

ในความสิ้นหวัง โต้วเยวี่ยเหมยเจ้าเมืองซานซานลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

แต่ไม่มีใครเชื่อมั่นว่านางจะสร้างปาฏิหาริย์

ซุนเหิงในอดีตคือผู้ฝึกบำเพ็ญขั้นอวัยวะภายใน ใช้ร่างกายทวนกระแสคลื่นสัตว์ สังหารจ่าฝูงของสัตว์ร้ายลงไปจึงได้พลิกสถานการณ์กลับมา แต่เขาเองก็ยังต้องล้มตายจากไป

และใครก็รู้ว่าโต้วเยวี่ยเหมยเป็นแค่ผู้ฝึกบำเพ็ญระดับหกมังกรทะยานสูงสุด ในปีนั้นเพราะราชวงศ์จวงเห็นแก่การเสียสละของซุนเหิง บวกกับการรวมตัวกันเพื่อขอร้องจากผู้ฝึกบำเพ็ญเมืองซานซาน จึงให้นางเข้ามาเป็นเจ้าเมืองต่อ

มิเช่นนั้น ตำแหน่งเจ้าเมืองถึงแม้จะสืบทอดต่อในตระกูลได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีขั้นฝึกบำเพ็ญที่ระดับห้าอวัยวะภายในเสียก่อน

ในอดีตเจ้าเมืองเก่าเมืองเฟิงหลินเอง ก็เพราะไม่มีคนสืบทอด จึงต้องสละตำแหน่งลงหลังจากพลังที่ลดหลั่นตามความชรา ย้ายตนเองไปอยู่ยังเมืองซินอันเพื่อพักฟื้น

ทว่าโต้วเยวี่ยเหมยกลับยืนเผชิญหน้าต่อคลื่นสัตว์ร้าย

นางเป็นสตรีคนหนึ่ง แต่กลับฮึกเหิมเสียยิ่งกว่าผู้ชายทั้งหมดเสียอีก

นางเป็นแค่ระดับมังกรทะยานสูงสุด แต่กลับระเบิดพลังอันแข็งแกร่งไร้เทียมทานออกมาอย่างไม่คาดคิด

ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังระเบิด ในร่างกายนางส่งเสียงระเบิดออกมา

พลังของนางเพิ่มขึ้นเป็นจังหวะ!

ทุกคนรู้ดี ด่านต่อไปของชีพจรเต๋ามังกรทะยาน ก็คือการเคาะเปิดอวัยวะภายใน

เช่นนั้นระหว่างมังกรทะยานและอวัยวะภายใน คั่นกลางอะไรเอาไว้กัน

นั่นคือการสำรวจที่ขีดจำกัดของร่างกาย เป็นการปลุกมังกรแห่งชีพจรเต๋าให้แหวกว่ายในทะเลลำตัว!

ปกติแล้ว ขั้นตอนนี้จะยาวนานและละเอียดมาก

เพียงแค่หลังจากที่ผู้ฝึกบำเพ็ญมองทะลุปรุโปร่งถึงทะเลช่วงลำตัวส่วนใหญ่แล้ว ก็สามารถที่จะทดลองเคาะเปิดอวัยวะภายใน

และร่างกายมนุษย์มีห้าอวัยวะภายใน และทั้งห้าก็ล้วนมีความลับซ่อนอยู่

การฝึกบำเพ็ญที่ใหญ่ที่สุดในระดับอวัยวะภายใน ก็คือการเปิดความลับของห้าอวัยวะภายใน จากระดับขั้นตอนการสำรวจที่แตกต่างกัน จากความแตกต่างของพรสวรรค์แต่ละบุคคล จากประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกันของผู้ฝึกบำเพ็ญ…สิ่งที่ได้รับมาตอนท้ายก็จะแตกต่างกัน

หลายครั้งที่มันจะเป็นตัวตัดสินความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ

และในความลับทางร่างกายของคนทุกคน สิ่งที่ได้รับยากที่สุดและล้ำค่าที่สุด ก็คือพลังวิเศษ…อย่างไม่ต้องสงสัย!

พูดให้ถูกก็คือเมล็ดพันธุ์พลังวิเศษ หรือก็คือพลังวิเศษแท้จริงที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่ขอแค่มีเมล็ดพันธุ์พลังวิเศษ สักวันหนึ่งก็จะสามารถบุกเบิกได้จนสมบูรณ์ สุดยอดทรงพลัง

แล้วตอนนี้โต้วเยวี่ยเหมยกำลังทำอะไร

นางกำลังจะเปิดพลังอวัยวะภายในล่วงหน้า ในขณะที่ยังไม่ได้สำรวจทะเลลำตัวอย่างสมบูรณ์

ยิ่งไปกว่านั้นจะทะลวงอวัยวะภายในทั้งห้าไปด้วย!

นี่แทบจะเป็นการปล่อยวางต่ออนาคตอย่างสิ้นเชิง ตัดขาดจากวิถีเต๋า

นางเพียงแค่แฉลบเงาผ่านอวัยวะภายในทุกชิ้น ไม่พิจารณาที่จะสำรวจอย่างละเอียด แต่ตอนที่ไปถึงอวัยวะภายในชิ้นที่ห้า กลับได้รับพลังวิเศษมา!

นางมั่นใจถึงขนาดนี้ มั่นใจว่าตอนที่ยังไม่ได้ควบคุมทะเลลำตัวอย่างสมบูรณ์จะสามารถเคาะเปิดอวัยวะภายในได้ และยิ่งมั่นใจว่าสามารถได้รับพลังวิเศษมา!

นางทำได้แล้ว!

“ซุนเสี่ยวหมาน! สะเทือนเขา!” นางตะโกนขึ้น

สาวน้อยเท้าเปลือยที่กำลังล่าสังหารอยู่ พอได้ยินก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมเปียทั้งสองโบกสะบัด สองมือชูลูกตุ้มสะเทือนเขาขึ้นสูง ฟาดลงผืนพสุธาอย่างรุนแรง!

หินภูเขาแตกกระจุย พื้นดินสั่นสะเทือนโดยมีลูกตุ้มสะเทือนเขาเป็นศูนย์กลาง แตกจนเกิดร่องแตกลึกร่องหนึ่งออกมา

ส่วนโต้วเยวี่ยเหมยเพียงแค่นั่งยองๆ ใช้มือที่อ่อนยวบเหมือนไม่มีกระดูกทั้งสองของนางแนบลงกับพื้นดิน

พลังวิเศษที่นางได้รับมาจากการทะลวงอวัยวะภายในทั้งห้า

มีชื่อว่า เคลื่อนคีรี!

……………………………………….