บทที่ 76 ดินแดนยังเปลี่ยนได้ แต่ใจคนยากจะสงบนิ่ง

ท่องภพสยบหล้า

พริบตาที่โต้วเยวี่ยเหมยนาบมือลงกับพื้น คลื่นสัตว์ร้ายที่ฉีกเสียงคำราม และกำลังโถมซัดเข้ามาเบื้องหน้าหินผาประดุจคลื่นทะเล ก็หยุดชะงักลงฉับพลัน

สัตว์ร้ายที่บินอยู่บนท้องฟ้าทั้งหมด รวมถึงเหยี่ยวหยินหยางที่ส่งเสียงอยู่ฝูงนั้น ล้วนวิ่งชนกันสับสนอลหม่านเหมือนแมลงวันหัวขาด หรือกระทั่งวิ่งลี้หนีหายไปเลย

สัตว์ร้ายที่ไม่สามารถบินได้ ล้วนคลานหมอบลงกับพื้นตัวสั่นงันงก

นั่นคือความหวาดกลัวที่มาจากสัญชาตญาณของชีวิตตนเอง ถึงแม้สัตว์ร้ายจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสติปัญญา ก็ยังมิอาจต้านทานได้

เพราะว่า…ปฐพีสั่นสะเทือนภูเขาโยกไหว!

ทั้งยอดเขาสมดุลหยก สูงส่งทะลุเมฆ แม้จะไม่ใช่เขายิ่งใหญ่แห่งใต้หล้า แต่ก็ถือว่าใหญ่โตมโหฬาร

และภูเขาสูงเช่นนี้ เวลานี้ตั้งแต่ช่วงกลางเขา หรือพูดให้แม่นยำหน่อยก็คือจากตำแหน่งที่มือทั้งคู่ของโต้วเยวี่ยเหมยสัมผัสกับตัวภูเขา….พื้นดินเริ่มสั่นไหวขึ้นมา!

หินภูเขากลิ้งหลุน สัตว์ร้ายกรีดร้อง

“อ๊าก…ย่ะ!”

โต้วเยวี่ยเหมยคิ้วงามตั้งตรง รากพลังเต๋ายิ่งใหญ่ระเบิดออก

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ! ครืน!

นางค่อยๆ ลุกขึ้นจากท่านั่งยอง ถอนยอดเขาสมดุลหยกขึ้นมาจากตำแหน่งกลางเขา แยกออกเป็นสองท่อน!

พอเทียบกับยอดเขาสมดุลหยก นางยังดูเล็กจ้อยเสียยิ่งกว่ามด

แต่หญิงสาวที่ดูอ่อนแอคนหนึ่ง กลับใช้แรงถอนขุนเขาออกมาราวกับเทพเจ้า

ฉากที่สั่นสะเทือนใจคนเช่นนี้ จะคงอยู่นิรันดร์ในใจคนมากมายแน่นอน!

“เฮ้อ”

จู่ๆ ก็มีเสียงถอนใจอันชราภาพเสียงหนึ่งดังขึ้น เขาถอนหายใจแผ่วเบาราวกับถอนเข้าไปในจิตใจของคนทั้งหมด

“หยุดแค่นี้เถิด”

เสียงเอ่ยขึ้นเช่นนี้

ตูม!

โต้วเยวี่ยเหมยสองมือดีดออก พื้นดินสั่นสะเทือนรุนแรง ยอดเขาหล่นกลับมารวมกันอีกครั้ง!

นางมองไปทางส่วนยอดของยอดเขาสมดุลหยกด้วยสีหน้าตกตะลึง นั่นคือทิศทางที่เสียงลอดออกมา

ส่วนยอดของยอดเขาสมดุลหยกสูงทะลุเมฆที่มีสัตว์ร้ายอาศัยกันอยู่เต็มไปหมด กลับมีคนอาศัยอยู่!

และยังดูเป็นผู้แข็งแกร่งน่ากลัวที่ลึกล้ำมิอาจคาดเดาได้ขนาดนี้อีกด้วย!

“ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะพึ่งตนเองจนมาได้ถึงขนาดนี้”

เสียงนั่นเอ่ยซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง “แต่ว่า หยุดไว้แค่นี้เถิด”

นี่เป็นผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย ยังไม่ทันปรากฏตัวก็หยุดยั้งการถอนภูเขาของโต้วเยวี่ยเหมยได้แล้ว นี่อธิบายได้ถึงการไร้พ่ายของตัวเขา

แต่ว่า

“เจ้ากำลังผายลมอะไรออกมา!” โต้วเยวี่ยเหมยได้สติกลับมาจากอาการตกตะลึงตอนแรก สองมือของนางกำแน่น เมล็ดพันธุ์อภินิหารของอวัยวะทั้งห้ากำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าบ้า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน คิดจะให้เราเดินก็เดิน ให้พวกเราหยุดก็หยุดหรือ”

ซุนเสี่ยวหมานยกลูกตุ้มสะเทือนเขา เดินมาอยู่ด้านหลังโต้วเยวี่ยเหมย

หลีเจี้ยนชิวก็แบกกิ่งท้อ เดินไปอยู่ด้านหลังโต้วเยวี่ยเหมย

เจ้าเถี่ยเหอเดินกะโผลกกะเผลก มาอยู่ด้านหลังโต้วเยวี่ยเหมย

หยางซิ่งหย่ง เสิ่นหนานชี หวงอาจ้าน ผู้ฝึกบำเพ็ญสำนักเต๋าเมืองซานซาน ผู้ฝึกบำเพ็ญกองทหารเมืองซานซาน กระทั่งเหล่าผู้ฝึกบำเพ็ญที่ถูกเงินรางวัลล่อเข้ามา…

คนที่ยังมีชีวิตอยู่ และคนที่ยังมีแรงต่อสู้ ล้วนนิ่งเงียบเดินเข้ามารวมตัวกันด้านหลังโต้วเยวี่ยเหมย

แม้เวลานี้คนลึกลับที่อยู่บนส่วนยอดของยอดเขาสมดุลหยกจะแสดงออกมาอย่างแข็งแกร่งและไร้พ่าย

นี่คือท่าที…นิ่งเงียบอันไร้ซึ่งเสียง!

“เฮ้อ!”

เสียงชรานั้นถอนใจขึ้นอีกครั้ง “มีคนบางคนที่ทั้งชีวิตก็ไม่ได้สัมผัสถึงพลังวิเศษแม้แต่ปลายก้อย”

เขาถอนหายใจเอ่ยต่อ “เจ้าเคลื่อนไหวในทะเลลำตัวได้เพียงครึ่ง ก็สัมผัสล่วงหน้าได้ถึงเมล็ดพันธุ์พลังวิเศษของตัวเจ้าได้แล้ว เจ้าดูมีพลังแฝงยิ่งกว่าซุนเหิงเสียอีก น่าเสียดาย…”

จากในน้ำเสียง แม้บนยอดเขาสมดุลหยกแห่งนี้มีผู้ฝึกบำเพ็ญอยู่มากมาย แต่เหมือนมีแค่เพียงคนเดียวที่อยู่ในสายตาเขา นั่นก็คือโต้วเยวี่ยเหมย

ไม่มีใครมองเห็นเขา และไม่รู้ว่าเขาทำอะไร แต่เมล็ดพันธุ์พลังวิเศษในอวัยวะภายในชิ้นที่ห้าของโต้วเยวี่ยเหมยที่กำลังหมุนคว้าง กลับหยุดนิ่งลงอย่างไร้ซุ่มเสียง

โต้วเยวี่ยเหมยกระตุ้นพลังทั้งหมดเพื่อต่อต้านกับแรงกดดันไร้รูปร่างนั้น “เจ้าที่มุดหัวหลบอยู่บนยอดเขา ร่วมมือกับเหล่าสัตว์ร้าย นั่งดูพวกมันอาละวาดเพียงฝ่ายเดียว กระทั่งยังคอยปกป้องพวกมัน จะไปเข้าใจอะไร

เจ้าไม่รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเขาเลยสักนิด

ต่อให้เจ้าจะแข็งแกร่งเพียงไหน ข้าเองก็ยังมองว่าเจ้าเป็นคนขี้ขลาด เจ้า…ตาแก่!”

ลมภูเขาพัดหวีดหวิว เสียงสะท้อนก้องไปไกล

จนเสียงนั้นเงียบลงก็มีเสียงดังขึ้นมาอีก

“มีเรื่องบางเรื่องที่เจ้าไม่เข้าใจ ข้าเองจะไม่โทษเจ้า ถอยออกไปก่อนเถิด จะพัวพันไปก็ไร้ประโยชน์”

“ข้าไม่ได้อยากพัวพัน!” โต้วเยวี่ยเหมยคำรามด้วยความโกรธ “แต่ผู้ฝึกบำเพ็ญเมืองซานซานที่ตายไปมากมาย เหล่าประชาชนที่ถูกกินไปนับไม่ถ้วน…พวกเขาไม่รับปาก!”

“เรื่องราวเกี่ยวข้องกับความลับ เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติที่จะล่วงรู้”

“ข้าไม่มีคุณสมบัติ” โต้วเยวี่ยเหมยหัวเราะขึ้นด้วยโทสะ “ข้าคือเจ้าเมืองซานซาน! เจ้าแห่งรัฐลงนามในตำราหยกด้วยตนเอง ตราประทับแห่งจักรพรรดิราชวงศ์จวง เจ้าของดินแดนนี้ ผู้ปกครองของประชาชนทั้งหมดในเขตแดนเมืองซานซาน!

แล้วตอนนี้เจ้ามาบอกกับข้าว่า ในเขตเมืองซานซานแห่งนี้ข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะล่วงรู้ถึงความลับหรือ”

“รัฐจวงมีสามเขตปกครองใหญ่ เขตปกครองชิงเหอมีสิบสามเมือง เจ้าเป็นแค่ผู้ปกครองชั่วคราว…จากหนึ่งในสิบสาม ไม่ใช่ผู้ปกครอง และยิ่งไม่ใช่เจ้าของ! ดินแดนสามพันลี้ของรัฐจวง มีเจ้าของเพียงคนเดียว นั่นก็คือฝ่าบาทแห่งรัฐจวง! ไม่จำเป็นต้องพูดมาก เจ้ารับคำสั่งไปก็พอ!”

ในคำพูดนี้เผยข้อมูลสำคัญออกมามากมาย จุดที่สำคัญที่สุดก็คือการคงอยู่ของสัตว์ร้ายบนยอดเขาสมดุลหยก ได้รับการยอมรับโดยนัยจากเจ้าแห่งรัฐจวง

หรืออาจจะไม่ใช่แค่ยอมรับโดยนัย

“ฮ่าๆๆๆๆ!”

โต้วเยวี่ยเหมยหัวเราะขึ้น หัวเราะร่าจนน้ำตายังไหลออกมา

“สามีของข้าตายลงที่นี่ ศิษย์พี่ของข้าก็ตายลงที่นี่

ศิษย์ของข้า เพื่อนของข้า คนที่ข้ารัก คนที่รักข้า ล้วนตายลงที่นี่

ลูกสาวข้าเพิ่งอายุสิบห้า ลูกชายข้าอายุสิบสาม พวกเขาล้วนต้องลงสู่สนามรบ ต่อสู้เพื่อเมืองซานซาน!

ตอนนี้เจ้ามาบอกข้าว่าเมืองซานซานไม่ใช่ของข้า แต่เป็นของเจ้าคนที่ไม่ได้สนใจชีวิตคนที่นี่ เอาแต่หลบหัวอยู่ในวังลึก คนที่สูงส่งยิ่งใหญ่จนไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่…อย่างเจ้าแห่งรัฐขยะนั่นน่ะหรือ”

“เจ้าบังอาจ!” เจ้าของเสียงชรานั่นดูเหมือนจะเริ่มโกรธขึ้นจริงๆ แล้ว แรงกดดันคุกคามที่น่ากลัวอย่างมากปกคลุมลงมาจากยอดเขา จนทำให้สัตว์ร้ายหลายสิบตัวเลือดอาบตายไปทันที

เขาสะกดควบคุมเอาไว้ ให้แรงกดดันหยุดลงตรงหน้าโต้วเยวี่ยเหมย

แต่ด้วยเสียงคำรามเดือดดาลนี้ ทั้งยอดเขาสมดุลหยกตกอยู่ในความเงียบสงัด

ในความเงียบที่ทำเอาใจคนสั่นคลอน มีเพียงเสียงเย็นเยียบของโต้วเยวี่ยเหมยดังขึ้น “นับตั้งแต่วันที่ชายคนรักข้าตายไป ข้าก็ไม่มีสิทธิ์ขี้ขลาดอีก”

หลายครั้ง ที่นางเองก็เป็นหญิงสาวขลาดกลัวคนหนึ่งเหมือนกัน

นางเคยหวาดกลัวตอนที่เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง เคยถอยหนีเวลาที่พบกับความยากลำบาก กระทั่งบางครั้งเห็นหนูเพียงตัวเดียว นางก็ยังเคยร้องเสียงแหลมพุ่งเข้าหาอ้อมกอดของสามี

แต่หลังจากที่ชายคนรักของนางตายไป นางก็ไม่สามารถทำได้อีก

นางต้องเลี้ยงดูลูกชายลูกสาวทั้งสอง ยังต้องแบกรับเมืองซานซานทั้งเมืองอยู่อีก

หรือว่านางจะยอมกำหมัดไปยืนอยู่แนวหน้า นางยอมเสียงค่อยๆ แหบพร่า ยอมมีเอวที่ตันขึ้นทุกวันหรือ

ใครบ้างที่ไม่อยากมีคืนวันที่สงบสุข คอยปลูกหญ้าปลูกดอกไม้กัน

แต่นางทำได้หรือ

โต้วเยวี่ยเหมยกำหมัดทั้งสอง ขบฟันสีเงิน บุกทะลวงพันธนาการพลังของตนเองอย่างต่อเนื่องไม่เคยหยุดพัก

ครั้งนี้ เสียงชายชรานั้นนิ่งงันไปนาน จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าขึ้นมาเถิด”

โต้วเยวี่ยเหมยเดินตรงไปส่วนยอดเขาภายใต้การส่งด้วยสายตาของเหล่าผู้ที่ยังรอดชีวิต

ฝูงสัตว์ร้ายแหวกทางออกเงียบๆ ภายใต้พลังสะกดบางอย่าง ส่วนนางก็เดินตรงขึ้นไป

เมฆหนาที่ขอบฟ้าเบิกออกตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เผยให้เห็นจันทร์โค้งมุมหนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็ถูกบดบังไปอีกครั้ง

ค่ำคืนมืดสนิท

ระหว่างที่รอ เวลาก็ดูจะยาวนานเป็นพิเศษ

ตอนที่ร่างของโต้วเยวี่ยเหมยปรากฏขึ้นในระยะสายตา สายตาทั้งหมดก็จับจ้องอยู่บนตัวนาง

ผู้คนล้วนกำลังเฝ้ารอ ปรารถนา หวาดกลัวและไม่สงบ

จนกระทั่งเดินกลับมาถึงกลางเขา เดินมาถึงจุดที่นางถอนภูเขาขึ้นมาก่อนหน้า โต้วเยวี่ยเหมยจึงสังเกตเห็นถึงกลุ่มคนที่กำลังรอคำตอบ

นางจ้องมองทุกคนผาดหนึ่ง จากนั้นจึงเดินลงจากเขา

“แยกย้ายเถิด” นางเอ่ยขึ้น

ซุนเสี่ยวหมานจู่ๆ ก็อยากจะร้องไห้ เพราะนางพบว่า มารดาที่สวยสดราวกับไม่มีวันจะแก่เฒ่าไปตลอดกาลของนาง ครั้งนี้เหมือนจะดูแก่ลงแล้วจริงๆ

……………………………………….