บทที่ 77 ดอกบัวกระดูกขาว

ท่องภพสยบหล้า

ร่างกาย…เจ็บปวดเหลือเกิน!

เจียงวั่งตื่นขึ้นมาจากอาการหมดสติ พริบตาแรกที่ฟื้นขึ้นมาก็คลำไปข้างกายไปตามสัญชาตญาณเพื่อหากระบี่ของตน

ดีที่กระบี่อยู่ข้างกาย

มือกำกระบี่ เขาถึงลืมตาขึ้น

สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกคือหินย้อยที่ห้อยอยู่

นี่เป็นในถ้ำที่ไหนสักแห่ง

เหตุการณ์การต่อสู้ทั้งหมดก่อนหน้านี้สลักอยู่ในความทรงจำของเขา น่าจะไม่มีอะไรตกหล่น

การประมาทต่อวัวกวางตัวนั้นเป็นข้อผิดพลาดอันถึงแก่ชีวิตของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

นี่ทำให้เขานึกเสียใจ แต่ตอนที่วัวกวางตัวนั้นพุ่งทะยานมา เขาก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่สามารถหลบหลีกได้

ก่อนที่จะเปิดประตูฟ้าดิน มนุษย์ไม่สามารถเหาะเกินเดินอากาศได้ เจียงวั่งอาศัยข้อได้เปรียบของเคล็ดวิชาฝึกกายสี่สัตว์เทพอย่างมากก็แค่เพิ่มช่วงเวลาลอยกลางอากาศนิดหน่อยก็เท่านั้น ไม่มีทางเอาชีวิตรอดหลังจากที่ตกลงมาจากหน้าผาสูงแบบนั้น

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกระแทกอย่างเต็มแรงจากวัวกวางตัวนั้น ก็ทำให้รากพลังเต๋าที่กระตุ้นสะเทือนสลายไปหมด

เขายังจำได้ถึงความกลัวที่…ร่างกายร่วงลงไปอย่างรวดเร็ว หัวใจที่เต้นแรงจนแทบหลุดออกมาข้างนอก แทบจะรีดเอาพลังชีวิตทั้งหมดออกมา

แต่ก็จำไม่ได้ว่าสลบไปอย่างไร

ดังนั้นมีคนช่วยข้าอย่างนั้นหรือ

“แน่นอนว่าเป็นข้าใช้เคล็ดวิชาลับช่วยเจ้า”

เสียงทรงเสน่ห์แปลกประหลาดนี้เหมือนมองทะลุความคิดของเจียงวั่ง ดังจากที่ไกลเข้ามาใกล้ๆ เจียงวั่ง

เจียงวั่งลุกขึ้นนั่ง สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างของร่างกาย แต่ไม่ทันได้สำรวจอย่างละเอียด เพราะผู้หญิงที่สวมชุดกระโปร่งสีดำ ใช้ผ้าโปร่งบางสีดำปิดหน้าเดินมาถึงข้างหน้าเขา

นางแข็งแกร่งมาก!

นี่เป็นการวิเคราะห์อย่างแรกของเจียงวั่ง

“บุญคุณช่วยชีวิตจะขอจดจำไม่ลืม” เจียงวั่งเอ่ยขอบคุณอย่างจริงจัง แล้วจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “นามของท่านคือ”

“ชื่อสงวน ข้าไม่บอกก็แล้วกัน อย่างไรเสียผู้ชายก็เหมือนกันหมด ของที่ได้มาง่ายเกินไปจำไม่เคยได้” เสียงของสตรีผ้าคลุมหน้าโปร่งบางสีดำแผ่วเบา ชวนคันๆ จั๊กจี้จะเกาอย่างไรก็ไม่ตรงจุด

นางยื่นมือขาวกว่าหิมะ ใช้ปลายนิ้วลูบปลายจมูกเจียงวั่งเบาๆ “เจ้าจำไว้ว่าเป็นข้าที่ช่วยเจ้าเอาไว้ก็พอ…”

เจียงวั่งไม่ใช่เจ้าหรู่เฉิง เคยผ่านเรื่องเรื่องแบบนี้เสียที่ไหน ทั้งยังเพิ่งหนีความตายมาได้ ใจจึงลนลานอย่างอดไม่ได้

ดีที่มือกุมกระบี่เอาไว้ สัมผัสเย็นยะเยือกนั่นทำให้เขาใจเย็นลงมาเล็กน้อยได้หลายส่วน

เขาพยายามขยับปากพูดขึ้นว่า “ข้าไม่รู้ทั้งนามของแม่นาง…”

เขามองไปทางผ้าคลุมหน้าโปร่งบางของนาง ยิ้มแข็งๆ เอ่ยขึ้นว่า “ทั้งไม่รู้หน้าตาของท่าน นี่…”

จะจำอย่างไรกัน เขาคิด

“คิก~” สตรีผ้าคลุมหน้าโปร่งบางสีดำกุมหน้าผากหัวเราะ “เจ้านี่นะ ช่างน่ารักเสียจริง”

“เอ่อ…” เจียงวั่งกำกระบี่แน่นโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่ว่าสัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม แต่เป็นเพราะตื่นเต้นจริงๆ

สตรีผ้าคลุมหน้าสีดำย่อตัวลงต่อหน้าเจียงวั่ง กระโปรงยาวระพื้น เข่าค้ำศอก มือเท้าคาง มองดวงตาเจียงวั่งตรงๆ เอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นไร วันหน้าข้าจะมาหาเจ้า ถึงตอนนั้น ขอเพียงเจ้าเห็นข้าก็จะจำได้เอง นอกเสียจากเจ้า…จะแกล้งทำเป็นไม่รู้จัก”

ดวงตาที่ชวนให้คนใจหวั่นไหวพลันมีแววเศร้าโศก “เจ้า…จะทำอย่างนั้นหรือไม่”

“ไม่…ไม่แน่นอน” เจียงวั่งแอบสวดมนต์บทส่งวิญญาณในใจ เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “บุญคุณช่วยชีวิตไม่กล้าลืมเลือน”

“ข้ารู้อยู่แล้ว เจ้าเป็นเด็กดี”

เด็กรึ

นี่บางทีอาจะเป็นผู้อาวุโสที่บำเพ็ญเพียรสำเร็จ…

เจียงวั่งถอยไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว

แต่ผู้หญิงเหมือนอ่านใจเขาออก กระเง้ากระงอดขึ้นมา “คิดอะไรอยู่น่ะ ข้าอายุเท่าเจ้า!”

ความกระอักกระอ่วนเหมือนกับดักลูกโซ่ มักจะเหยียบไปแล้วเหยียบโดนไปอีก

เจียงวั่งอดไม่ได้ถามขึ้นว่า “บนเขาหยกสมดุลตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

“จะเป็นอย่างไรไปได้ คว้าน้ำเหลวกลับไปเท่านั้นน่ะสิ” สตรีผ้าคลุมหน้าโปร่งบางสีดำเอ่ยรับคำอย่างสบายๆ จากนั้นก็เอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “วางใจเถอะ คนรักตัวน้อยของเจ้าไม่เป็นไร”

“คนรักตัวน้อยอะไรกัน!” เจียงวั่งแทบเต้นผาง “ข้ากับเจ้าหรู่เฉิงเป็นพี่น้องกัน!”

“ข้าหมายถึงหญิงงามของรัฐอวิ๋นคนนั้นต่างหาก เจ้าอารมณ์ขึ้นทำไมกัน” สตรีผ้าคลุมดำจงใจเบิกตาโต แสดงเหมือนว่าตกใจนัก แต่แววหยอกล้อในจุดลึกของดวงตากลับทรยศนาง

“สาวงามอะไรกัน นางคลุมหน้าเอาไว้ ใครจะรู้ว่าสวยหรือไม่” ถูกหยอกล้อมาโดยตลอด เจียงวั่งอดไม่ได้ที่จะสวนกลับไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่รู้จักนางเลย ท่านอย่าพูดแบบนั้น…”

“อ้อ ขนาดสาวงามเจ้าก็ไม่สนใจ…” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ “เช่นนั้นวางใจเถอะ พี่น้องของเจ้า…ก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน”

นางจงใจเน้นคำว่า ‘พี่น้อง’ คำนี้เป็นพิเศษ

เจียงวั่งรับมือไม่ไหวจริงๆ หากนี่เป็นการต่อสู้ เขาโยนกระบี่ทิ้งยอมแพ้ไปนานแล้ว

เขาจึงประสานมือเสียเลย เอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสยื่นมือช่วยชีวิต วันข้างหน้าจะขอตอบแทนอย่างสุดกำลัง ตอนนี้ข้าต้องกลับไปแล้ว เหล่าสหายของข้าน่าจะร้อนใจมากแล้ว”

“ใครเป็นผู้อาวุโสของเจ้ากัน บางทีข้าอาจจะอายุน้อยกว่าก็ได้”

“เช่นนั้น…”

ในดวงตาของหญิงสาวแฝงรอยขบขัน “เรียกพี่สาว”

“…”

“เอาล่ะ ไม่แกล้งเจ้าแล้ว แต่ว่าร่างกายเจ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่รู้สึกเลยหรือ”

พูดถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ก็มีจริงๆ นั่นแหละ โดยเฉพาะที่กระดูกสันหลัง มีความรู้สึกเย็นๆ อย่างหนึ่ง แค่เขาเพิ่งตื่นขึ้นมา ผู้หญิงคนนี้ก็เข้ามาใกล้ ไม่มีเวลาได้สำรวจ

“ท่านหมายถึงอะไรหรือ” เจียงวั่งถาม

“เจ้าไม่รู้ว่าตกลงมานสภาพไหน สภาพน่าอนาถนั่น…” สตรีผ้าคลุมหน้าดำส่านหน้า เหมือนว่าไม่อยากจะนึกย้อน “พี่สาวช่วยเจ้าเอาไว้ได้ ทำให้เจ้าสดใสมีชีวิตชีวาแบบนี้ได้ หนึ่งเพราะพี่สาวพลังฝึกบำเพ็ญสูง สองเพราะเคล็ดวิชาลับยอดเยี่ยม สาม…เป็นเพราะเจ้าเข้ากันได้ดีกับเคล็ดวิชานี้มาก!”

จากน้ำเสียงของหญิงสาวคนนี้ เจียงวั่งรู้สึกไม่ค่อยสู้ดี “ไม่ทราบว่าเคล็ดวิชาลับที่แม่นางใช้คือวิชาอะไรหรือ”

สตรีผ้าคลุมดำเลี่ยงไม่ตอบ เพียงแค่พูดขึ้นว่า “เจ้าเหมือนจะมีความสัมพันธ์รางๆ บางอย่างกับดวงจันทร์ ในสำนักเต๋าสายตรงมีวิชาที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์ไม่มาก โดยเฉพาะระดับอย่างเจ้าระดับนี้”

รับพลังดาวนั่นเป็นเรื่องที่ขอบเขตหอนอกถึงจะทำ หากบอกว่าเจียงวั่งมีความสัมพันธ์อะไรกับพลังเทพจันทรา นั่นมีเพียงเพราะมิติมายาห้วงจักรวาล แต่นี่เป็นความลับใหญ่ที่สุดของเขา

ตอนนี้เขาเป็นขั้นเหนือมนุษย์อย่างแท้จริงแล้ว ความรู้ของโลกฝึกบำเพ็ญก็มีมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงไม่เคยได้ยินใครพูดถึงมิติมายาห้วงจักรวาลมาก่อน คิดแล้วมันคงห่างกับที่จะประกาศให้คนอื่นรู้อีกไกล หรือจะบอกว่าระดับขึ้นของเจียงวั่งในตอนนี้ยังห่างชั้นจากคุณสมบัติที่จะแตะต้องมันอีกไกล

เขาย่อมไม่อยากเปิดเผย

“วิชาลับของท่าน…เกี่ยวพันธ์กับดวงจันทร์หรือ ความหมายของแม่นางคือ…” เจียงวั่งจงใจเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกท่านไม่ใช่สำนักเต๋าสายหลักอย่างนั้นหรือ”

“เรียกพี่สาว” สตรีผ้าคลุมดำตีเจียงวั่งไม่เบาไม่แรงไปหนึ่งที นั่นเหมือน หยอกล้อเสียมากว่า ไม่ใช่โกรธจริงๆ

จากนั้นถึงได้พูดขึ้นว่า “พวกเราเป็นหนึ่งในสายหลักที่มีไม่มากนั่น”

“ขอถามว่า…” เจียงวั่งเลี่ยงคำเรียกไปเลย “สืบทอดจากเขาต้าหลัว เขาอวี้จิง เกาะเผิงไหลสายไหนหรือ”

“ความลับ!” ในดวงตาของหญิงสาวผ้าคลุมดำล้วนเป็นรอยขบขับ “เจ้าไม่อยากดูหรือ”

“ดู…อะไร”

มือนวลเนียนอ่อนนุ่มดุจไร้กระดูกข้างหนึ่งของหญิงผ้าคลุมหน้าดำยกมาข้างหน้าเจียงวั่ง จากนั้นนิ้วมือก็ลากไปทีหนึ่ง

เจียงวั่งไม่ทันได้ตั้งตัว เสื้อทั้งตัวก็ฉีกไปเช่นนี้แล้ว เผยให้เห็นท่อนบนเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ

เขาคิดอยากใช้สองมือกอดหน้าอกไปตามสัญชาตญาณ แต่ก็รู้สึกว่าแบบนั้นน่าอายเกินไป จึงทำเพียงยืนตัวแข็งไม่ขยับ

กลับไม่รู้ว่าแบบนี้ยิ่งดูไม่เป็นธรรมชาติเข้าไปอีก

สตรีผ้าคลุมดำเอากระจกบานเล็กมาจากไหนไม่รู้ นางค่อยๆ เข้าไปใกล้เจียงวั่งช้าๆ แล้วเอากระจกวางไว้ข้างหลังเขา

“มองข้า” นางพูด

“เอ๋” เจียงวั่งอึ้งตะลึง

“มองตาข้า~”

หญิงสาวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนี้ เหมือนว่าลมหายใจหอมรวยรินที่มาพร้อมด้วยนั้นจะเป่ามาที่หน้าของเจียงวั่งผ่านผ้าคลุมโปร่งบางสีดำนั่น

“อย่าคิดมาก…เจ้าน่ะจะมองเห็นกระดูกสันหลังของเจ้าที่กระจกนั่นสะท้อนผ่านจากดวงตาของข้า”

เคร้ง!

เจียงวั่งชักกระบี่จากฝัก

หญิงสาวผ้าคลุมหน้าโปร่งบางสีดำเหมือนไม่ตกใจแม้แต่น้อย ไม่ขยับแม้แต่นิด ยังคงมองอยู่อย่างนั้น ชิดเข้าไปใกล้แบบนั้น

เจียงวั่งแหงนหน้าเล็กน้อย ใช้กระบี่วางขวางไว้ด้านหน้า ให้คมกระบี่สะท้อนภาพจากกระจกข้างหลัง

“ดูแบบนี้ชัดกว่า” เขาพูด

จากนั้นเขาก็เห็นที่กระดูกคอเชื่อมกับกระดูกสันหลังบริเวณนั้น มีดอกบัวดอกหนึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร

นั่นเป็นดอกบัวที่แปลกประหลาด มีกระดูกเป็นกลีบดอกหนึ่ง

………………………………………………………