บทที่ 78 ซ่งหรูอี้

ท่องภพสยบหล้า

ตระกูลหลินเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองวั่งเจียง แตกต่างจากหวัง ฟาง จางสามตระกูลใหญ่เมืองเฟิงหลิน ในเมืองวั่งเจียงตระกูลหลินเป็นตระกูลที่ยอดเยี่ยม หยิ่งผยองโดดเด่นอยู่เพียงตระกูลเดียว

โดยเฉพาะหลังจากที่หลินเจิ้งเหรินได้รับชัยชนะในรอบนักเรียนชั้นปีห้าของงานเสวนาเต๋าสามเมือง ชื่อเสียงบารมีก็พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด

ถึงแม้ต่อมาจะมีเรื่องจู้เหวยหว่อแบกหอกเข้าไปอาละวาดในเมืองคนเดียว แต่ครั้งนั้นที่เสียหน้าไม่ใช่มีแค่ตระกูลหลิน หากแต่เป็นเมืองวั่งเจียงทั้งเมือง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เป็นการทำลายชื่อเสียงบารมีต่อตระกูลหลินเท่าใดนัก

มีคนโดดเด่น ย่อมต้องมีคนตกต่ำเป็นธรรมดา

ตอนที่คนเหล่านั้นยิ่งโดดเด่น เขาก็จะยิ่งตกต่ำลงไปอีก

พอสูญเสียเส้นทางธุรกิจร้านขายสมุนไพรตระกูลหลินที่ได้มาง่ายๆ ไป หลินเจิ้งหลุนก็ร่วงจากชั้นฟ้าสู่ดินภายในคืนเดียว

ในฐานะที่เป็นคนตระกูลหลิน ของกินเครื่องใช้ไม่มีขัดสนอยู่แล้ว แต่การไปหอวั่งเจียงกับเพื่อนๆ ในสมัยก่อน ปัจจุบันกลับทำได้แค่ซื้อสุราจากข้างถนน เฝ้าฝันอยู่กลางดินเพียงเท่านั้น

เขาแค้นลึก แต่ก็ไม่มีพลังที่จะทำอะไร

หลินเจิ้งหลี่เป็นทายาทภรรยาหลวงของตระกูลหลิน เป็นยอดฝีมือในสำนักเต๋าเมืองวั่งเจียง บิดาของเขาเป็นเจ้าแห่งตระกูลหลิน พี่ของเขาคือหลินเจิ้งเหริน!

เขาจะเอาอะไรไปสู้กัน!

มีบางเรื่องที่ถูกกำหนดมาแต่กำเนิด แต่ก่อนเขาไม่เคยเชื่อ ตอนนี้กลับต้องจำใจเชื่อไปเสียแล้ว

“เต็มไห!” หลินเจิ้งหลุนเดินโซซัดโซเซเข้าไปในร้านสุรา โยนไหน้ำเต้าใบเขื่องใบหนึ่งลงบนโต๊ะ

เถ้าแก่ร้านสุรารับน้ำเต้าสุราไป สีหน้าเผยความลำบากใจ “คุณ…ชายหลิน สุราที่ท่ามเติมไปครั้งที่แล้ว ยังไม่…”

“ทำไม” หลินเจิ้งหลินยืนตัวตรง จ้องเขม็งไปที่เถ้าแก่ “กลัวว่าข้าคืนค่าสุราเจ้าไม่ไหวหรือ สิ้นเดือนคิดมาพร้อมกันเลย!”

“เฮ้อ ได้ได้ได้” ถึงอย่างไรก็เป็นคนจากตระกูลหลิน ต่อให้พังร้านสุรามาเขาก็ทำอะไรไม่ได้ จำใจต้องก้มหน้าไปเติมสุรา

จากนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในร้านสุรา “นี่ไม่ใช่น้องเจิ้งหลุนหรือ”

หลินเจิ้งหลุนหันหน้ากลับไป มองเห็นหลินเจิ้งหลี่ที่มีคนติดตามมากลุ่มใหญ่ ดูท่ากำลังจะทำอะไรอยู่แล้วเดินผ่านทางนี้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงพัวพันวุ่นวายของหลินเจิ้งหลุนกับเถ้าแก่ร้านสุรา

“เจิ้งหลี่…นายน้อยเจิ้ง” หลินเจิ้งหลุนเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก ภาพตอนนี้มันดูทุเรศเหลือแสน โดยเฉพาะตอนที่โดนหลินเจิ้งหลี่มาพบเข้า

หลินเจิ้งหลี่เงยหน้ามองสีท้องฟ้า จากนั้นจึงมองหลินเจิ้งหลุนที่หน้านิ่วคิ้วตก เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “กลางวันแสกๆ อย่างนี้ ดูจะชื่นชอบสุรามากเลยสินะ”

“ปล่อยไก่ให้ท่านเห็นเสียแล้ว” หลินเจิ้งหลุนฝืนยิ้ม หอบน้ำเต้าสุราเดินจากไป

เขาแทบจะวิ่งหนี เหมือนกับสุนัขไร้บ้าน

“ข้านึกขึ้นมาได้…ร้านสมุนไพรช่วงนี้ขาดผู้ดูแลไปคนหนึ่ง!” หลินเจิ้งหลี่เอ่ยขึ้นลอยๆ ตามหลังมาประโยคหนึ่ง

เท้าของหลินเจิ้งหลุนหยุดลง

เขาหันกลับ ใบหน้ายิ่งฉีกยิ้มที่ไม่เป็นธรรมชาติออกมาอีก “นายน้อยหลินคิดว่า…ข้าไหวหรือ”

“ด้วยความสามารถของน้องเจิ้งหลุน ต้องไม่มีปัญหาแน่นอน” หลินเจิ้งหลี่ยิ้ม พุ่งประชิดร่างงองุ้มของหลินเจิ้งหลุน เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “ข้าได้ยินว่า แม่ม่ายที่เจ้าแต่งด้วยคนนั้นสวยมากเลย…ใช่ไหม”

“หรูอี้หรือ” หลินเจิ้งหลุนถอยกรูดสองก้าว “ไม่ ไม่ได้!”

เขาออกแรงส่ายศีรษะ ราวกับเป็นการดิ้นรนที่ไม่อาจต้านทานความหวาดกลัวในจิตใจอย่างไรอย่างนั้น “นี่ไม่ได้!”

หลินเจิ้งหลี่ยืนตัวตรง ยังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้ “ไม่ฝืน”

เขาหันหน้า ยิ้มให้กับเถ้าแก่ในร้านสุรา ชี้ไปยังหลินเจิ้งหลุนที่อยู่ตรงหน้า เอ่ยขึ้นเสียงสูง “นี่คือคนจากตระกูลหลิน! เจ้าจะมาดูถูกไม่ได้! หลังจากนี้หากเขาอยากได้สุราอะไร เจ้าก็มอบให้กับเขาเสีย สิ้นเดือนมาจัดการเรื่องเงินที่ตระกูลหลินก็พอ”

เถ้าแก่ร้านสุราตอบกลับเสียงสูง “เฮ้อ! นายน้อยหลินเอ่ยปากเองแล้ว ข้าน้อยเองก็มิกล้าชักช้าหรอก!”

หลินเจิ้งหลุนฝืนยิ้มเอ่ยขึ้น “ขอบคุณนายน้อยหลิน”

“เกรงใจไปแล้ว” หลินเจิ้งหลี่โบกไม้โบกมือ เดินตรงจากไป

คนกลุ่มนั้นก็เดินติดตามเขาไปด้วย

มีเสียงสรรเสริญแว่วออกมา

“นายน้อยหลินคุณธรรมสูงส่ง!”

“เรียกนายน้อยหลินได้ยังไง ไม่ได้มีตาเลย! ต้องเรียกว่าประมุขน้อยสิ!”

หลินเจิ้งหลุนหิ้วน้ำเต้าสุรา เดินโซซัดโซเซกลับมาที่บ้าน

วันนี้สุราดูแรงเป็นพิเศษ จิบไปสองอึกระหว่างทางแต่เหมือนกับว่าเมาเสียแล้ว

นี่เป็นเรือนสี่ประสานสองทางเข้าชุดหนึ่ง ถูกปัดกวาดจนสะอาดสะอ้าน โดยเฉพาะด้านหน้าเรือนยังปลูกดอกไม้ใบหญ้าไว้บางส่วน ถูกบำรุงเอาไว้อย่างดี ดูสวยงามลานตาเป็นพิเศษ

หลินเจิ้งหลุนเท้าเหยียบไม่มั่นคง ชนเข้ากระกระถางดอกไม้ใบหนึ่ง เขาเกิดรำคาญขึ้นมาจนยกขาพัดมันลอยหวือออกไป!

เพล้ง!

ซ่งหรูอี้พุ่งออกมาจากในบ้านอย่างรีบร้อน เอ่ยตำหนิขึ้นอย่างทนไม่ไหว “หลินเจิ้งหลุน! ท่านเป็นบ้าอะไรขึ้นมา”

“เจ้ามายุ่งอะไรด้วย” หลินเจิ้งหลินหรี่ตามองนางผาดหนึ่ง จากนั้นจึงก้าวโงนเงนเข้าไปในบ้าน

ซ่งหรูอี้เดินเข้าไปขวางหน้าตัวเขา เอ่ยขึ้นอย่างข่มความน้อยเนื้อต่ำใจ “เจ้าเอาแต่แช่อยู่ในร้านสุราตั้งแต่เช้าจนค่ำ นี่มันหมายความว่าอะไร จะเลิกกันแล้วใช่ไหม”

“หา! น่าสนใจ” หลินเจิ้งหลุนหิ้วน้ำเต้าสุรา ฉีกยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ทำไม เจ้าคิดจะหย่ากับข้าหรือ”

“หย่าก็หย่าสิ”

“หา ข้าได้ยินไม่ชัด เจ้าว่าอะไรนะ”

ซ่งหรูอี้ปิดตาลงแน่น บีบน้ำตากลับเข้าไป ตอนลืมตาขึ้นมาใหม่ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาเสียแล้ว “ข้าบอกว่า พวกเราหย่ากันเถิด”

“ฮ่า! ฮ่า!”

หลินเจิ้งหลุนหัวเราะออกมาสองเสียง จู่ๆ ก็ขว้างน้ำเต้าสุราในมือลงบนพื้น!

น้ำเต้าสุรากระเด้งสองทีบนพื้น จากนั้นก็กลิ้งตกบันไดลงไป ตัวน้ำเต้าไม่แตกเสียหาย เพียงแต่จุกน้ำเต้ากระเด็นออกไปแล้ว สุราไหลรินออกมาจนทั่วทั้งบ้านคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา

“เจ้าเองก็ไม่ได้ดูตัวเองเลย!” หลินเจิ้งหลุนคำรามขึ้นด้วยความโกรธ “แม่ม่ายคนหนึ่ง ตอนนี้ยังอยากจะเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งอีก! เจ้าคิดว่าเจ้ายังตบแต่งกับคนดีดีได้อีกหรือ”

ซ่งหรูอี้กัดฟันตอบกลับอย่างเคียดแค้น “แต่ก็ยังดีกว่าติดตามขยะคนหนึ่งนั่นล่ะ!”

“เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าพูดมาอีกทีซิ!” หลินเจิ้งหลุนสาวเท้าใหญ่ขึ้นหน้า บีบคอนางเอาไว้ กดนางไว้บนกำแพง สองตาแดงเถือก “เจ้าพูดอีกทีซิ!”

ซ่งหรูอี้ใบหน้าแดงเถือก เอ่ยต่ออย่างดิ้นรน “เจ้า…บีบข้าให้ตายไปเลย! ถึงอย่างไรชีวิตเช่นนี้ ข้าตายไป…ยังดีเสียกว่า”

หลินเจิ้งหรูปล่อยมือ เซถอยหลังสองก้าว

“เจ้าน้อยใจหรือ เจ้ายังน้อยใจใช่ไหม” หลินเจิ้งหลุนชี้หน้านางเอ่ยต่อว่า “เจ้าส่งเงินไปที่เมืองเฟิงหลิน! ส่งหยกไปด้วย! ใช่ไหม เจ้าเอาเงินข้า ชดเชยให้กับลูกสาวสามีคนก่อน! เจ้ารู้สถานะบ้านตัวเองไหมตอนนี้ ข้าแทบจะไม่มีเงินไปร่ำสุราอยู่แล้ว!”

ซ่งหรูอี้โค้งตัวสำลักอยู่ครู่หนึ่งถึงปรับลมหายใจได้ นางมองชายตรงหน้า รู้สึกว่าทั้งหมดนี้มันช่างแปลกหน้าเสียเหลือเกิน

“ยังไม่พูดถึงว่าข้าควรจะส่งสิ่งของให้กับอันอันหรือไม่ แค่สินเดิมของตัวข้า ข้ายังส่งให้นางได้สิบปีไม่ซ้ำกันเสียด้วยซ้ำ!”

“สินเดิมของเจ้าพวกนั้นน่ะหรือ” หลินเจิ้งหลุนลากเสียงสูง จากนั้นคำรามขึ้น “แล้วมันอยู่ที่ไหนกัน”

เขาตะโกนเสียงดัง “ตัวข้าทำไมมันถึงไม่มีอะไรเลย!?”

“ตัวเจ้าไม่มีฝีมือจึงถูกคนอื่นแย่งไป แล้วมาโทษข้าหรือ”

“ข้าไม่มีฝีมือ ข้าไม่มีฝีมือหรือ!” หลินเจิ้งหลุนหน้าแดงคอแข็ง ไม่เหลือท่วงท่าท่าทีอีกต่อไป “ข้าแค่ไม่มีพ่อที่ดีเท่านั้น! เจ้าผีชีวิตสั้นคนนั้น นอกจากสกุล ‘หลิน’ ที่ทิ้งไว้ กลับไม่เหลืออะไรไว้ให้ข้าเลย!”

เขามองซ่งหรูอี้ เอ่ยขึ้นอย่างเคียดแค้น “ไม่เช่นนั้นข้าจะตบแต่งกับเจ้าหรือ ให้คนเขามาหัวเราะข้า เย้ยหยันที่ข้าแต่งกับแม่หม้ายคนหนึ่ง”

“ตอนนี้รังเกียจที่ข้าเป็นแม่หม้ายแล้วหรือไร”

น้ำเสียงซ่งหรูอี้สั่นเครือ “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนตระกูลหลิน มีฐานะสูงส่ง แต่กลัวคนจะดูถูก กลัวคนจะเย้ยหยันเจ้า ข้าถึงกับทิ้งอันอันเพื่อติดตามเจ้ามาเมืองวั่งเจียงเลยนะ!

ข้าให้พี่ชายของนางดูแลนาง พี่ชายนางเพิ่งอายุสิบเจ็ด! ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ! แล้วข้ายังเอาทรัพย์สินของบ้านเขาออกมาทั้งหมดอีกด้วย!

ข้าใจดำถึงขนาดนี้แล้ว จะส่งของให้นางบ้างมันไม่ควรหรือไร หา เจ้าคนตระกูลหลินของข้า!”

นางเดินเข้าไปใกล้ จ้องมองหลินเจิ้งหลุน ย้อนถามขึ้นอย่างโกรธเคือง “คนตระกูลหลินที่อยากกินก็ไม่มีกิน อยากจะใส่ก็ไม่มีใส่ ต้องมาอยู่ในเรือนสี่ประสานสองทางเข้าเช่นนี้!”

เผียะ!

หลินเจิ้งหลุนตบนางจนล้มลงกับพื้น

“เหลวไหล! ช่างน่าขัน!”

หลินเจิ้งหลุนหันตัวเดินออกไปด้านนอก เท้าเหยียบสุราล้มกลิ้งลงกับพื้น

เขาปีนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เดินโซซัดโซเซออกไป “เหลวไหลเหลือเกิน! ช่างน่าขันเสียเหลือเกิน!”

“หลินเจิ้งหลุน!” ซ่งหรูอี้หมอบอยู่บนพื้น ใช้มือปิดใบหน้า น้ำตาหลั่งริน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจะถามเจ้าแค่ประโยคเดียวเท่านั้น ตอนนั้นที่เจ้าบอกว่ารักข้า มันคือเรื่องจริงใช่ไหม”

“ฮะฮ่า ฮะฮ่า! รักหรือ”

หลินเจิ้งหลุนยกเท้าเตะกระถางดอกไม้ใบหนึ่งลอยไป

“บ้าบอไร้สาระ! นั่นมันคือสิ่งลวงตาอะไรกัน”

เขาวิ่งหนีออกจากบ้าน

เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน หรือไปที่ไหนได้บ้าง แต่ก็เหมือนกับว่าไม่มีหน้าที่จะทนอยู่ต่อไปอีกแล้ว

เขาต้องออกจากที่นี่ ต้องวิ่งหนี

สุนัขไร้บ้าน ไร้บ้านขึ้นมาแล้วจริงๆ

……………………………………….