บทที่ 368: การเปิดเผยอย่างกะทันหันเกี่ยวกับนิเวศวิทยาของยมโลก (2)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 368: การเปิดเผยอย่างกะทันหันเกี่ยวกับนิเวศวิทยาของยมโลก (2)

น่าเสียดาย ฉินเย่จะสามารถห้ามปรามสิ่งที่อาร์ทิสกำลังจะพูดได้อย่างไร? นางแสยะยิ้ม “สถานการณ์ที่พวกเรากำลังพูดกันอยู่นี้คือเรื่องในอดีต ตอนนั้น อสูรวิญญาณนั้นมีอยู่มากมายและอาละวาดไปทั่ว การที่เราจะได้เผชิญหน้ากับพวกมันอย่างแน่นอน หากพูดกันตามความจริง พื้นที่บริเวณภูเขาและหนองน้ำจะมีโอกาสที่จะพบเจอกับอสูรวิญญาณมากกว่าพื้นที่ปกติ นอกจากนี้ การปรากฏตัวของอสูรวิญญาณในแต่ละท้องที่ย่อมหมายความว่าพื้นที่แต่ละแห่งจะมีราชาอสูรวิญญาณอยู่”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนทั้งหมดก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉินเย่

แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็ทำให้คนทั้งหมดต้องกลั้นหายใจอีกครั้ง

“แต่ตอนนี้…” อาร์ทิสเหลือบมองฉินเย่อย่างชั่วร้ายและหัวเราะเยาะกับความทุกข์ใจของอีกฝ่าย “การล่มสลายของยมโลกแห่งเก่าหมายถึงการล่มสลายของระบบนิเวศเดิม แม้แต่ข้าเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเราจะต้องพบเจอกับสิ่งใดหลังจากที่เวลาผ่านมานานกว่าร้อยปี”

“บางทีอสูรวิญญาณพวกนั้นอาจจะตายและสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว และดินแดนทั้งหมดก็อาจจะไม่ต่างไปจากภาพในยุคน้ำแข็ง หรือบางที…อาจจะมีวิญญาณที่น่ากลัวกว่าเดิมปรากฏขึ้น อ้อ! ข้าลืมพูดถึงเรื่องบางอย่าง พื้นผิวโลก แมนเทิล และแก่นโลก คือแดนมนุษย์ ลิมโบ และโลกใต้พิภพ ความเข้มข้นของพลังหยินในสถานที่เหล่านี้ก็เพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ ด้วยเหตุนี้ อสูรวิญญาณที่สามารถอาศัยอยู่นอกโลกใต้พิภพจึงจะอยู่ขั้นยมทูตขาวดำเป็นอย่างต่ำ ยิ่งกว่านั้น วิญญาณจากโลกใต้พิภพยังไม่ต่างอะไรกับอาหารอันโอชะของพวกมัน พวกมันเป็นเพียงอสูรที่ป่าเถื่อน และมันก็ยอมจำนนต่อความต้องการแรกของตัวเอง ดั่งเช่นที่เสือโคร่งที่ชอบกินเนื้อมนุษย์ ทันทีที่พวกเจ้าเผชิญหน้ากับมัน… ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวก็คือความตายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”

“ว่าไงนะ?!” “ขั้นยมทูตขาวดำ…” “ไม่ใช่นั่นหมายความว่าเราอาจจะได้เห็นดินแดนที่มีอสูรขั้นตุลาการนรกอย่างนั้นหรือ? หรืออาจจะสุนัขขั้นฝู่จวิน?!” “ในทางกลับกัน ต่อให้ฝ่าบาททรงขึ้นเป็นขั้นตุลาการนรก แต่เราก็มีขั้นตุลาการนรกอยู่เพียงแค่สองคนเท่านั้น…”

“เงียบ” อาร์ทิสเอ่ยเสียงเรียบ “หากพวกเจ้าหวาดกลัวเพียงเพราะการมีอยู่ของเหล่าอสูรวิญญาณ เช่นนั้นข้าก็เกรงว่าเรื่องที่จะตามมามีแต่จะทำให้พวกเจ้าหวาดกลัวมากกว่าเดิม”

ยังมีอีกหรือ?!

ฉินเย่ยกมือขึ้นทาบอก เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดบางอย่างที่ก่อตัวขึ้น ให้ตายเถอะ ฉินเย่… ไอ้ปากพาซวยนี่อีกแล้ว! คิดได้ยังไงถึงจะสร้างเส้นทางการค้าทางทะเล?! ไม่คิดว่านั่นจะเป็นการหาที่ตายให้ตัวเองหรืออย่างไร?! แค่นั่งอยู่ในอาคารหลังเล็ก ๆ ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรืออย่างไร? นี่ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากเหล่าผู้ก่อตั้งประเทศเลยใช่หรือไม่?!

ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา ท่ามกลางความเงียบที่บีบคั้น อาร์ทิสก็เริ่มพูดต่อ “ภัยคุกคามอีกอย่างก็คือ… ตัวโลกใต้พิภพเอง”

โนบูนางะเอียงศีรษะเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ “โลกใต้พิภพ?”

“ถูกต้อง” อาร์ทิสสูดหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยประกายบางอย่างในแววตา “ตอนนี้นรกมีขนาดเล็กเกินไป… เล็กจนเราไม่สามารถเรียกว่าโลกใต้พิภพได้ด้วยซ้ำ แหล่งที่มาหลักของธาตุในโลกใต้พิภพนั้นมีอยู่ทั้งสิ้นสองแหล่ง ซึ่งก็คือดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ มันยังมีลม ฝน สายฟ้า หิมะ และลูกเห็บ… ข้ามีวิดีโออีกวิดีโอหนึ่งที่จะเอาให้พวกเจ้าดู… ลองพิจารณาเรื่องนี้ดู วิดีโอที่ข้ากำลังจะเป็นคือวิดีโอเกี่ยวกับพายุหิมะที่จะเกิดขึ้นสักครั้งในร้อยปี ซึ่งเกิดขึ้นในมณฑลหมินเฟิงที่ข้าเคยดูแลอยู่”

นางวาดมือ และหน้าจอพลังหยินก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้…ภาพบนหน้าจอก็เผยให้เห็นเมืองโบราณที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างสวยงาม ท้องฟ้าขนาดใหญ่ซึ่งดูราวกับภาพที่ปรากฏในนิยาย แสงสว่างปกคลุมทั่วทั้งดินแดน วาววาบให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราว ทว่าสิ่งที่ดึงความสนใจของคนทั้งหมดก็คือกลุ่มก้อนเมฆเบื้องบนที่มีบางอย่างสีแดงโปรยลงมา

มันคือหิมะ

หิมะสีแดง

นอกจากนี้ หิมะที่ตกลงมายังดูราวกับมีด กระทบกับม่านแสงอย่างชัดเจน พวกเขาสามารถบอกได้ว่าต้นไม้ที่อยู่ด้านนอกเขตป้องกันถูกเจาะเกิดเป็นรูพรุนมากมาย และสิ่งที่ตามมาจากการทำลายล้าง…ก็คือการลุกโชนขึ้นของเปลวไฟสีเขียวหยก!

เมื่อมองจากไกล ๆ มันดูไม่ต่างอะไรกับฝนเพลิงที่ตกลงมายังเมืองด้านล่างเลยแม้แต่น้อย!

ตกตะลึง

คนทั้งหมด รวมถึงฉินเย่และโนบูนางะ ต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น

ไม่คิดเลยว่าเกล็ดหิมะที่เปราะบางไร้อันตรายที่พวกเขาเคยรู้จักจะกลายเป็นหิมะที่มีอาณุภาพทำลายล้างเช่นนี้เมื่อมาอยู่ในยมโลก! ไม่จำเป็นต้องมีตัวอย่างอื่น ๆ คนทั้งหมดเข้าใจทันทีว่าไม่ว่าจะเป็นอสูรวิญญาณหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ พวกมันไม่ต่างอะไรกับโรคระบาดที่พวกเขาจะต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อหลบเลี่ยงมัน

“ปรากฏการณ์เช่นนี้คือสิ่งที่เราอาจได้พบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเดินทางที่ยาวนานอย่างที่เรากำลังจะเริ่มนี้” อาร์ทิสสะบัดมือและสลายหน้าจอพลังหยิน “ยมโลกแห่งใหม่เป็นเหมือนกับเรือนกระจก และสิ่งที่อยู่ด้านนอกของมัน…ก็คือป่ารกร้าง”

“มันยังมีกฎข้อบังคับบางอย่างที่เราจะต้องจำให้ดีหากต้องการจะเอาชีวิตรอดในความทุรกันดารของยมโลก ข้อแรก หนีทันทีที่เจอกับอสูรวิญญาณ หากหนีไม่รอด ก็จงฆ่าตัวตายเสีย ไม่เช่นนั้น… เจ้าอาจจะตกอยู่ในสภาพที่แย่กว่าความตายเสียอีก”

เงียบ

เงียบกริบ

ไม่มีใครคาดคิดว่าการสำรวจดินแดนใหม่จะมีราคาที่สูงถึงเพียงนี้!

มันไม่น่าเชื่อ ไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าพวกเขาจะสามารถรอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่

อึก… ฉินเย่ลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล น่ากลัวจริง ๆ นี่ดอกไม้งามของเขาจะสามารถพิชิตโลกที่โหดร้ายด้านนอกได้จริง ๆ น่ะหรือ?

“แต่มันดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง…” เขาเอ่ย “มันเคยมีอสูรวิญญาณอยู่ แล้วพวกที่รอดพ้นจากยมโลกเก่าเล่า? พวกมันจะไม่โจมตีเราหรอกหรือ? เจ้าแน่ใจหรือว่ามันจะไม่ซุ่มโจมตีอสูรภูเขาที่เราขี่ไป?”

“พระองค์คิดว่ายมโลกแห่งเก่าเคยแข็งแกร่งมากเพียงใด?” อาร์ทิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด “พวกเราเคยมีขั้นตุลาการนรกมากกว่า 1,000 คน แต่บนแผ่นดินจีนกลับมีมณฑลอยู่เพียง 30 กว่ามณฑลเท่านั้น ซึ่งขั้นตุลาการนรกส่วนใหญ่ก็ไม่ได้จบลงโดยการเป็นผู้ปกครองของมณฑลเหล่านี้ พวกเขาเพียงทำหน้าที่ในฐานะของผู้คุ้มกัน บริษัทขนส่งรายใหญ่ย่อมมีขั้นตุลาการนรกเป็นของตัวเอง และบางบริษัทที่มีอิทธิพลมากกว่าก็มีแม้กระทั่งวัตถุหยินให้ใช้ แม้แต่อสูรวิญญาณขั้นฝู่จวินก็ไม่รอดพ้นจากการปราบปรามของพระยมและถูกจับมาใช้แรงงาน!”

อย่างนี้นี่เอง…

ฉินเย่ก้มหน้าลงและครุ่นคิดเกี่ยวกับข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับมา ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจิวยี่จึงบอกว่าจะส่งหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรมมาให้เขา

การเดินทางเช่นนี้ไม่ต่างอะไรไปจากการเดินทางไปชมพูทวีป และเขาก็ไม่ได้มีพละกำลังแข็งแกร่งอย่างซุนหงอคงด้วย!

“สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกก็มีเท่านี้ เอาล่ะ ทุกท่าน” อาร์ทิสนั่งลงและผายมือเชิญคนทั้งหมด “ตอนนี้ข้าคิดว่าทุกคนคงเข้าใจถึงความยากลำบากที่เราจะต้องเผชิญหน้าในการเดินทางในครั้งนี้แล้ว ข้ามั่นใจว่าเราจะตัดสินใจอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นในการเลือกจุดหมายที่จะใช้เป็นเมืองท่า”

มันใช้เวลาอีก 30 กว่าวินาทีก่อนที่โถงประชุมจะเริ่มร้อนระอุอีกครั้ง

ทุกคนต่างคิดพิจารณาถึงความแตกต่างของโลกใต้พิภพกับแดนมนุษย์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพอเข้าใจบ้างแล้ว แต่คำอธิบายของอาร์ทิสก็ทำให้พวกเขาเข้าใจและตระหนักถึงสิ่งที่พวกตนกำลังต้องเผชิญหน้ามากขึ้น เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาต่างรู้สึกตกตะลึงกับขนาดของอันตรายที่ต้องเผชิญหน้าจากการกระทำที่เรียบง่ายอย่างการสำรวจดินแดนใหม่ มันแตกต่างจากบนแดนมนุษย์อย่างสิ้นเชิง ที่แดนมนุษย์ พวกเขาเพียงแค่ส่งขบวนรถ อุปกรณ์ที่จำเป็นและตั้งรั้วกั้นอาณาเขต ทำการก่อสร้างอาคารขั้นพื้นฐาน ส่งคนงาน กำหนดนโยบาย และการสร้างเมืองใหม่ก็จะเสร็จสิ้น

แต่เมืองในโลกใต้พิภพ กลับถูกสร้างขึ้นจากการเสียเลือดเนื้อ!

สิ่งที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำในเวลานี้ก็คือคิดหาที่ตั้งที่ดีที่สุดสำหรับเมืองแห่งใหม่ของยมโลก นี่รวมถึงพิจารณาระยะทางจากเมืองเป่าอัน จำนวนอาณาเขตของอสูรวิญญาณที่พวกเขาจะต้องพบเจอ จำนวนภัยพิบัติทางธรรมชาติ ยมโลกแห่งใหม่จะมีความสามารถมากพอในการรับมือกับสิ่งเหล่านี้หรือไม่ รวมถึง…พวกเขาจะสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาจากการสำรวจครั้งนี้ได้ด้วยหรือไม่

อ้อ… และพวกเขาก็ยังต้องปกป้องเสบียงและหินวิญญาณอีกด้วย เพราะอย่างไรแล้ว หากวิญญาณถือว่าเป็นอาหารอันโอชะของอสูรวิญญาณที่ซ่อนตัวอยู่ในดินแดนที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ แล้วหินวิญญาณเล่า?

หากปราศจากความแข็งแกร่งที่เพียงพอ พวกเขาจะสามารถป้องกันหินวิญญาณนับพันล้านของตัวเองได้อย่างไร?

“เอาล่ะ เอาข้อมูลพวกนี้ไปดูก่อนก็แล้วกัน” ฉินเย่พยายามสงบใจของตัวเองและเริ่มส่งสำเนาเอกสารที่ได้มาจากสำนักฝึกตนแห่งแรกให้คนทั้งหมด ในขณะเดียวกันเขาก็หันไปหาอาร์ทิสและกระซิบอีกฝ่ายเสียงเบา “นี่ท่านคงไม่ได้จงใจทำให้ข้ากลัวใช่หรือไม่?”

“เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้นด้วย?!” อาร์ทิสตอบกลับสั่น ๆ

คิดดูสิว่าเจ้าหวาดกลัวเพียงใดหากข้าเสริมจิตนาการของตัวเองเข้าไปเพิ่มอีก… ริมฝีปากของอาร์ทิสยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยกับความเป็นไปได้นั้น

นิ้วมือของฉินเย่พันกันยุ่งอยู่ใต้โต๊ะ ให้ตายเถอะ…ทำไมเรื่องมันถึงยากแบบนี้?! ทำไมทุกอย่างมันถึงไม่ต่างอะไรกับการขอให้กุ้งตัวเล็กไปท้าทายราชาวานร?! ครั้งนี้เขาตายจริง ๆ แน่… เขามั่นใจว่าตัวเองจะต้องตาย… บางทีเขาควรจะเตรียมโลงศพไว้ฝังตัวเองด้วย…

เมื่อเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของฉินเย่ อาร์ทิสก็ยอมจำนนและเอ่ยปลอบอีกฝ่าย “หากพูดกันตามจริง การออกจากเมืองเป่าอันก็เป็นประโยชน์กับเรา”

“…มันคือความหวังเดียวของเราในตอนนี้อย่างนั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว” อาร์ทิสหัวเราะเบา ๆ “อาณาเขตของโลกใต้พิภพนั้นเกี่ยวโยงกับอาณาเขตของแดนมนุษย์อย่างไม่สามารถแยกออกได้ และขนาดของมันก็เท่ากัน หากเจ้าจะสำรวจดินแดนในโลกใต้พิภพ เจ้าก็ควรจะตั้งหลักปักดินแดนไว้ที่แดนมนุษย์เสียก่อน”

“หลักปักดินแดน?”

“ข้าเคยทำสิ่งนี้มาก่อน และข้าก็ยังพอจำได้ราง ๆ ว่ามันจะต้องทำเช่นไร ยิ่งมีหินวิญญาณมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งดีกับตัวเจ้ามากเท่านั้น หินวิญญาณสิบตันสามารถใช้สร้างหลักปักดินแดนได้หนึ่งชิ้น พวกเราไม่รู้ว่ามันจะต้องใช้มากเพียงใด แต่หลักปักดินแดนจะต้องถูกปักลงในทุก ๆ ระยะทาง 200 กิโลเมตรที่เจ้าเดินทาง หลักปักดินแดนเหล่านี้ที่เจ้าจะต้องติดตั้งมีชื่อว่าตะเกียงหวนหยาง พวกมันจะทำหน้าที่คล้ายกับประภาคารแสงที่คอยชี้ทางให้กองกำลังของยมโลก และช่วยทำให้คนของเราสงบได้แม้ว่าพวกเขาจะถูกไล่ล่าโดยฝูงอสูรวิญญาณ พวกที่พลัดหลงกับกองกำลังหลักเองก็จะไม่สิ้นหวังเช่นกัน”

“…ข้าสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงของความสิ้นหวังที่แฝงอยู่ในประโยคเหล่านี้ของท่าน…”

“เลิกขัดและตั้งใจฟังให้ดี! โลกใต้พิภพด้านนอกนั่นเป็นสถานที่ที่กว้างใหญ่ และมันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะพลัดหลงจากกัน ภูมิประเทศของพวกมันแตกต่างจากบนแดนมนุษย์อย่างสิ้นเชิง แม้แต่เข็มทิศก็ไม่สามารถใช้งานได้ ตะเกียงหวนหยางคือสิ่งจำเป็นสำหรับการสำรวจของยมโลก! นับตั้งแต่วินาทีที่เจ้าได้ตัดสินในที่จะสร้างเมืองท่าขึ้น ชะตากรรมของเจ้าก็ได้ปิดลงและกำหนดว่าเจ้าจะไม่ต้องอยู่ในสำนักฝึกตนแห่งแรกอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ทำได้”

ฉินเย่แทบจะหักนิ้วของตัวเองอยู่ใต้โต๊ะ

เขาอยากจะรู้จริง ๆ ว่าจ้าวนรกองค์แรกสามารถบรรลุสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร… นี่เรากำลังพูดถึงอสูรวิญญาณขั้นตุลาการนรกหรืออาจจะขั้นฝู่จวินเลยนะ… ไม่คิดเลยว่าตอนนี้เขาจะถูกบังคับให้ต้องเดินบนเส้นทางเดียวกันกับจ้าวนรกองค์แรกของยมโลก… นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว…

เด็กหนุ่มยังคงพยายามให้กำลังใจตัวเองเท่าที่สามารถทำได้ นี่อาจจะเป็นข้อดีเพียงอย่างเดียวของเขา – เมื่อไม่มีที่ให้หนีและไม่มีที่ให้ซ่อน เขาก็จะสลัดคราบจอมขี้ขลาดของตัวเองออกไป… และแสดงความฉลาดและความสามารถทางการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมของตนเองออกมา ทั้งหมดล้วนเพื่อการเอาชีวิตรอด เพียงมองแค่แวบเดียว อาร์ทิสก็ตระหนักได้ทันทีว่าตอนนี้ฉินเย่กำลังอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้…

กลุ่มรัฐมนตรีแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ และไม่มีใครสังเกตถึงการกระซิบกระซาบระหว่างผู้นำลำดับหนึ่งและสองของยมโลกเลยแม้แต่น้อย เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปภายในชั่วพริบตา และการอภิปรายก็เข้าใกล้ถึงจุดจบ ปัญหาหลักในตอนนี้ก็คือพวกเขามีข้อมูลไม่เพียงพอ และทุกคนก็ไม่มีอะไรให้หารือมากนัก

ไม่นาน ซูตงเซวี่ยก็ลุกขึ้นยืนและเริ่มเก็บเอกสารจากคนทั้งหมด หลังจากตรวจดูอย่างรวดเร็ว นางก็นับอีกครั้งเป็นการยืนยัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและเอ่ยรายงาน “ฝ่าบาทเพคะ รัฐมนตรีทั้งหมดได้หารือกันเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพคะ”

อ่าาาา… สถานที่สำหรับฝังศพของเขาถูกกำหนดแล้วหรือ…? ฉินเย่ทรุดตัวนั่งลงอย่างสิ้นหวัง “ว่ามา”

ดูเหมือนว่าอารมณ์ของฝ่าบาทจะแปลกไป… ซูตงเซวี่ยสัมผัสได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่นางก็รู้ดีว่าตนไม่ควรถามอะไร ดังนั้นนางจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม “ฝ่าบาท…ทุกคนมีมติเป็นเอกฉันท์เพคะ”

“ที่ใด?” ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

“มณฑลซานตงเพคะ!”

ทำไมกัน?

ความสงสัยเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการเบี่ยงเบนความสนใจ ฉินเย่นั่งตัวตรงทันที เขาขมวดคิ้วยุ่งและเริ่มพิจารณาการตัดสินใจนี้ มณฑลซานตงนั้นไม่ได้อยู่ใกล้เลยสักนิด จากมณฑลอันฮุ่ย พวกเขาต้องเดินทางข้ามมณฑลเจียงซูก่อนจะไปถึงที่มณฑลซานตง จริงอยูที่มณฑลซานตงนั้นตั้งอยู่ใกล้กับญี่ปุ่นและแดฮัน… แดฮัน… อย่างนี้นี่เอง!