ตอนที่207 ยังอ่อนเยาว์แต่ดื้อรั้น

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล]

ตอนที่207 ยังอ่อนเยาว์แต่ดื้อรั้น

เหลียวปี้เอ๋อร์ไม่มีทางกลับคำพูดเปลี่ยนฝั่งแน่นอน เธอกล่าวปฏิเสธกลับไปโดยตรงว่า

“แม้ว่าบริษัทของพวกฉันจะล้มละลาย แต่ก็ไม่มีวันยอมรับความช่วยเหลือจากคนอย่างแกแน่นอน! ที่มาพล่ามไร้สาระแบบนี้คงเป็นเพราะฉันที่สั่งให้พี่ชายยกเลิกคำสั่งของหัวโหย้วไปใช่ไหม?”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะขึ้นทันที

“อย่าเข้าใจผิดไปสิครับ ผมไม่ได้โทรหาคุณกับอีแค่เรื่องยกเลิกคำสั่ง ผมคิดแค่ว่าบริษัทคุณมีงบการเงินที่ดีมาตลอด และยังมีศักยภาพมากพอที่จะพัฒนาต่อได้ในอนาคคต ถ้าล้มละลายไปทั้งแบบนี้ก็น่าเสียดายแย่ ผมอยากจะช่วยคุณติดต่อกับทางฟู่ไห่ อินเวสเม้นส์ เพื่อพวกเขาจะสนใจเข้ามาลงทุนในบริษัทคุณต่อ นี่เท่ากับการต่อลมหายใจพวกคุณอีกครั้งจริงไหม?”

เหลียวปี้เอ๋อร์ที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับระเลิดหัวเราะลั่น

“แกคิดว่าฉันโง่เหมือนเด็กสามขวบรึไง? เป็นแค่พนักงานกระจอกในบริษัทเล็กๆ พูดอย่างกับสนิทกับฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ขนาดนั้นเลย? ใครเชื่อก็โง่แล้ว!”

จ้าวเฉียนยังคงหัวเราะตอบไปว่า

“ผมจะบอกอะไรคุณให้นะครับ ผมเพิ่งได้รับอำนาจจากสำนักงานใหญ่ของฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ให้มาจัดการดูแลบริษัทต่างๆภายในเมืองตงไห่ที่อยู่ภายใต้การหนุนของบริษัท ตราบใดที่คุณเต็มใจให้ความร่วมมือ ผมก็รับประกันได้ว่า บริษัทของสามีคุณรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ได้ไม่ยาก คุณเองก็น่าจะเข้าใจดีนะครับว่าฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์มีศักยภาพแค่ไหน แม้แต่บริษัทที่ใกล้ล้มละลายยังฟื้นคืนกลับมาจนยิ่งใหญ่ก็ทำมาแล้ว อยากเห็นสามีตัวเองล้มละลายต่อหน้าต่อตางั้นเหรอครับ?”

เหลียวปี๋เอ๋อร์ใจสั่นทันทีที่ได้ยิน เธอรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยและอดจินตนาการตามไม่ได้เลยว่า ถ้าฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์ยอมมาลงทุนกับบริษัทของสามีเธอจริงนับเป็นพรจากสวรรค์แล้ว เหลือแค่ว่าเธอกล้าที่จะเผชิญหน้ากับจ้าวเฉียนตรงๆหรือไม่ ชะตากรรมของสามีเธอขึ้นอยู่กับตัวเธอแล้ว

จ้าวเฉียนนับมาฉลาดหัวไวพอสมควร เขาคาดเดาได้ทันทีว่า ในฐานะภรรยา ย่อมทนไม่ได้อยู่แล้วที่ต้องมาเห็นสามีตัวเองประสบความล้มเหลวในชีวิตต่อหน้าต่อตา ดังนั้นเขาจึงริเริ่มใช้ไม้อ่อน ในเมื่อแตกแยกแล้วสร้างปัญหา สู่สมานฉันท์รวมตัวไม่ดีกว่าเหรอ? ตอนนี้จ้าวเฉียนพยายามหาทางให้เธอลงจากหลังเสืออยู่

“ถ้าคุณเหลียวสนใจ คืนนี้เจอกันที่ห้องอาหารหมายเลข708ของโรงแรมตงไห่เวลาหนึ่งทุ่มได้นะครับ แล้วเรามาหารือกันช่วยกัน แต่ถ้ากลัวผมจะหลอกจริงๆก็พาเหลียวเซียวหยุนมาด้วยกันก็ได้นะครับ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”

ทันทีที่พูดจบจ้าวเฉียนก็วางสายไม่รอฟังคำตอบรับใดๆของอีกฝ่าย

หลังจากนั้นจ้าวเฉียนก็โทรหาผู้จัดการโรงแรมตงไห่ต่อทันที

“ฮาโหลครับผู้จัดการ รบกวนจองห้องอาหาร708ให้ผมหน่อย วันนี้มีนัดดินเนอร์เวลาทุ่มนึงครับ”

จ้าวเฉียนสั่งการอย่างรวดเร็ว

ผู้จัดการรีบตอบกลับทันทีว่า

“เข้าใจแล้วครับ ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะรีบจัดการให้โดยด่วน”

จ้าวเฉียนกดวางสายอย่างอารมณ์ดี เขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าเหลียวปี๋เอ๋อร์ไม่มีวันยอมให้บริษัทของสามีเธอล้มละลายทั้งแบบนี้แน่ ถ้ามีความหวังเข้ามาแม้จะเล็กน้อยเพียงใด เธอต้องพยายามคว้าเอาไว้แน่นอน

เวลาหกโมงเย็นก่อนนัดหนึ่งชั่วโมง สรุปว่าจ้าวเฉียนกับเหลียวเซียวหยุนออกมานั่งรอในห้องอาหารก่อน เหมือนว่าทางเธอมีเรื่องอยากจะคุยกับจ้าวเฉียนสองต่อสอง

เหลียวเซียวหยุนดูอารทณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า

“เธอเป็นอะไร?”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวตอบน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า

“ยังจะเรื่องอะไรอีกล่ะ? ฉันพร้อมที่จะทำงานกับโปรเจคนี้เพื่อพิสูจน์ตัวเองแล้ว แต่ดันมีเรื่องบ้าๆแบบนี้เกิดขึ้นเฉยเลย พ่อฉันก็เอาแต่ใจอ่อนให้น้องสาว ส่วนคุณป้าก็เอาแต่บ่น ปฏิเสธเสียงแข็งจะให้พ่อยกเลิกความร่วมมือนี้ให้ได้ คุณป้าเป็นพวกหัวรั้นตั้งแต่สมัยสาวๆแล้ว พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนวัยรุ่น คุณปู่พยายามจับเธอไปแต่งงานกับลูกของเพื่อนคุณปู่ แต่เธอไม่ยอมจนถึงขั้นหนีตามผู้ชายออกจากบ้าน แล้วก็ร่วมกันสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยกัน พอเริ่มมีฐานะมั่นคงจึงค่อยกลับไปเยี่ยมคุณปู่ ดังนั้นฉันมั่นใจเลยว่า ตราบใดที่เธอไม่ยอมรับในตัวนาย เรื่องโปรเจคความร่วมมือก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน นายต้องเตรียมใจไว้ด้วย!”

 จ้าวเฉียนหัวเราะขึ้นทันทีอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ฟังเรื่องเล่าของเธอ เขากล่าวปลอบไปว่า

“คนเราเปลี่ยนได้เสมอ ถ้าดูจากอุปลักษณ์นิสัยของคุณป้าอย่างที่คุณเล่ามา ก็ยิ่งมีโอกาสสูงมากที่เธอจะมาตามนัด ในเมื่อบริษัทนี้เป็นสิ่งที่เธอกับสามีก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาด้วยกัน มีหรือจะยอมให้ล้มละลายง่ายๆแบบนี้?”

“เหอะ ตอนที่ฉันโทรไปหาอีกที เธอก็ปฏิเสธ ฉันพนันว่าเธอไม่มา”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวคาดคะเนอย่างมั่นอกมั่นใจ

แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบดี เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

จ้าวเฉียนยิ้มและเดินออกไปเปิดประตูให้ ส่วนเหลียวเซียวหยุนก็รีบลุกติดตามออกไปเช่นกัน

ทันทีที่ประตูเปิดออก ม่านตาของเหลียวเซียวหยุนถึงกับขยายใหญ่ด้วยความตะลึง ผู้มาถึงที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เหลียวปี้เอ๋อร์ หรือก็คือคุณป้าของเธอนั้นเอง

“คุณป้า! เข้ามาก่อนค่ะ!”

เหลียวเซียวหยุนรีบกอดแขนคุณป้าและพาเข้ามานั่งทันที

จ้าวเฉียนกระดิกมือเรียกเด็กเสิร์ฟทันทีเตรียมสั่งอาหาร

ครั้งนี้เหลียวเซียวหยุนพยายามอย่างมาก เพราะถ้าได้โปรเจคกลับบมา เธอจะได้ลงมือพิสูจน์ความสามารถอย่างจริงๆจังๆสักที เธอรีบเปิดเมนูและแนะนำอาหารรายการต่างๆให้คุณป้าฟังอย่างละเอียด

เหลียวปี้เอ๋อรน์ถึงกับต้องแปลกใจ เธอยิ้มถามหลานสาวขึ้นว่า

“หลานป้า ทำไมถึงดูคุ้นเคยกับอาหารที่นี่จัง? มากินบ่อยเหรอ?”

“อิอิ…ใช่ค่ะ ตั้งแต่รู้จักจ้าวเฉียน เขาก็มักจะพาหนูมาทานเข้าที่นี่อยู่ตลอดเลย ไม่เพียงแค่เลี้ยงข้าวหนูนะ ขนาดตอนไปช็อปปิ้งยังออกเงินจ่ายให้ทุกครั้ง!”

เหลียวเซียวหยุนกล่าวตอบไปตามความจริง

ไม่รู้หรอกนะว่าจ้าวเฉียนรักเหลียวเซียวหยุนมาก หรือเป็นเพราะเขาเป็นคนรวยถึงกินอาหารที่นี่เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นตัวเธอเอง ต่อให้เป็นแขกคนสำคัญขนาดไหน เธอก็จะพยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่นี่ เพราะค่าอาหารต่อมื้อแพงมาก

จ้าวเฉียนเป็นแค่พนักงานบริษัทไม่ใช่เหรอ? เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนมีเงินอะไรมากมาย จึงเป็นไปได้ว่า จ้าวเฉียนคงรักเหลียวเซียวหยุนจริงๆ

พอคิดได้แบบนั้น ทัศนคติของเหลียวปี้เอ๋อร์ที่มีต่อจ้าวเฉียนก็คล้ายว่าจะดูดีขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นจึงเอ่ยถามไปว่า

“รู้ใช่ไหมว่าค่าสินสอดของหลานสาวฉันแพงมาก?”

 จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางกล่าวตอบไปว่า

“ผมยังไม่พิจารณาถึงเรื่องนี้เลยครับ แต่ถ้าผมยังยืนหยัดอยู่ในจุดนี้ได้อีกสักปีสองปี ค่าสินสอดสักกี่ล้านก็ไม่ใช่ปัญหาครับ”

ทันใดนั้น เหลียวเซียวหยุนพลันหน้าแดงก่ำฉับพลันเมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสองคน

“โถ่คุณป้า! นี่กำลังเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว! พวกเราเป็นแค่เพื่อนกันค่ะ! ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่ป้าคิด”

เหลียวปี้เอ๋อร์ทราบดี หลานสาวคนนี้กำลังเขิน จึงสานเรื่องนี้ต่อ และหันไปเข้าเรื่องกับจ้าวเฉียนทันทีว่า

“นายเป็นคนของฟู่ไห่จริงๆงั้นเหรอ?”

จ้าวเฉียนหยิบนามบัตรที่หวู่เสี่ยวหัวเตรียมมาให้ก่อนหน้าออกมา และยื่นให้เหลียวปี้เอ๋อร์เพื่อให้เธอตรวจสอบ

เหลียวปี้เอ๋อร์พนักหน้าและคืนนามบัตรกลับไปให้จ้าวเฉียน และเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า

“คงเพิ่งมาใหม่ใช่ไหม? มีมีแนวทางยังบ้างจึงจะขอให้ฟู่ไห่ยอมมาลงทุนกับทางเรา?”

จ้าวเฉียนยิ้มและอธิบายตอบไปว่า

“อย่างที่ผมได้แจ้งไปก่อนหน้าทางโทรศัพท์ไปครับ บริษัทของคุณเหลียวมีศักยภาพมากพอที่จะพัฒนาต่อไปได้ และทางฟู่ไห้เองก็ได้เล็งเห็นในจุดนี้จึงต้องการเข้ามาร่วมลงทุน เมื่อพิจารณากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริษัทคุณเหลียวตอนนี้ เราจะใช้กลยุทธ์หนึ่ง อธิบายง่ายๆคือ‘การใช้ประโยชน์จากไฟ’ ไม่เพียงจะช่วยลดผลกระทบจากวิกฤตได้เท่านั้น ดีไม่ดียังอาจสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสให้แก่บริษัทของคุณเหลียวได้อีกด้วย หวังว่าคุณเหลียวจะเต็มใจยอมให้พวกเราเข้ามาช่วยเหลือนะครับ”

เหลียวปี้เอ๋อร์ระเบิดหัวเราะขึ้นลั่นและกล่าวตอบไปว่า

“นายเป็นเด็กที่น่ารักและเก่งมากเลยนะ เสียดายที่นายไม่น่ามีเรื่องกับสามีฉันก่อนเลย ไม่อย่างนั้นฉันคงยอมรับนายเข้ามาในตระกูลเหลียวของเรานานแล้ว อย่างไรก็เถอะนะ นี่ไม่ใส่สิ่งที่ฉันจะสามารถตัดสินใจได้เพียงลำพัง แต่ถ้าหากฟู่ไห่มาร่วมมือกับเรา และสามารถขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้จริงๆ มันก็น่าสนใจไม่น้อยเลย”

จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบ และเชิญให้เหลียวปี้เอ๋อร์ทานอาหารก่อนที่มันจะเย็น

หลังจากมื้ออาหารค่ำสิ้นสุดลง ก่อนที่เหลียวปี้เอ๋อร์จะลาจากไป เธอยังเดินมาเตือนเหลียวเซียวหยุนว่า เสร็จากนี้ให้กลับบ้านได้แล้ว อย่าไปค้างคืนข้องนอกเชียวล่ะ

ใบหน้าของเหลียวเซียวหยุนแดงกล่ำขึ้นมาอีกครา เธอรีบอธิบายให้คุณป้าฟังโดยเร็ว

“โถ่คุณป้า…ป้ากำลังเข้าใจผิดจริงๆนะ หนูกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย…. คุณป้าเองก็ขับรถกลับดีๆนะ กลับบ้านปลอดภัยค่ะ”

“ไม่ต้องอายหรอกน่า ตอนที่ฉันยังเป็นสาวก็เป็นแบบนี้เหมือนกันนั้นแหละ ก็เลยเข้าใจความรู้สึกหลานตอนนี้ดีว่าคิดยังไง แต่ถึงแบบนั้น ห้ามมีอะไรกับผู้ชายก่อนแต่งงานเด็ดขาดเข้าใจไหม?”

“โอเคค่ะ โอเค…หนูจะจำไว้ค่ะ คุณป้ารีบกลับได้แล้ว”

เหลียวเซียวหยุนรีบผลักป้าของเธอเข้าไปในรถ และเฝ้ามองอีกฝ่ายจากไป เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้นทันทีพอเรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดี

พอเห็นท่าทางแบบนั้น จ้าวเฉียนก็เดินเข้าไปทักเหลียวเซียวหยุน จงใจหยอกเธอเล่นว่า

“คุณป้าเป็นอะไรไปครับ? หายใจไม่ทันเหรอ?”

“อีบ้า! เห็นฉันเป็นคนแก่รึไง?”

เหลียวเซียวหยุนบู้หน้าถามกลับ

“ถ้ายังเป็นสาวก็ต้องรู้จักรักนวลสงวนตัวนะ อย่าเที่ยวเลียนแบบผู้ใหญ่ที่เขาโตแล้ว ห้ามมีอะไรกับผู้ชายคนอื่นก่อนแต่งงานรู้ไหม? ฮ่าฮ่า…เธอนี่มันเด็กน้อยจัง! สงสัยต้องสอนให้เธอโตขึ้นหน่อยซะแล้ว สนใจเข้าโรงแรมไปต่อกันไหม? เดี๋ยวฉันอาสาสอนพิเศษให้?”

เหลียวเซียวหยุนคล้ายว่าปี๊ดแตก ยกจ้าวเฉียนไปหนึ่งหมัดด้วยความหงุดหงิด

จ้าวเฉียนพูดติดตลกอีกครา

“แหมๆ อย่าเขินไปเลย ฉันก็ยังซิงอยู่เหมือนกันนะ!”

เหลียวเซียนหยุนชกใส่จ้าวเฉียนไปอีกหมัด แต่ในขณะนั้นเอง หวังเฉียงก็ตรงเข้ามาพร้อมกับกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง นอกจากเธอแล้วยังมีหวังซินซินและหวังเจียงหลินอีกด้วย

จ้าวเฉียนขมวดคิ้วแน่นทันที คนพวกนี้คบหารู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่?