บทที่ 355 : ล้างบางเมืองจิงฉู (4)

“พี่หยุน.. นี่มันกลิ่นอะไรทำไมหอมจัง ฉันดมจนเคลิ้มไปหมดแล้ว..!”

ถังเมิ่งที่อยู่ในห้องนั่งเล่น กำลังนั่งสูดกลิ่นหอมของน้ำลายมังกรอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่เพียงสูดดมเข้าทางจมูกอย่างเดียว แต่กลับอ้าปากดูดเอาอากาศเข้าไปด้วย

หลิงหยุนยิ้มบาง “มันเป็นกลิ่นหอมของน้ำลายมังกร ต่อไปฉันจะใช้มันเปลี่ยนร่างกายของนาย!”

ถังเมิ่งได้ยินถึงกับนิ่งอึ้งไป “พี่หยุน.. พี่หายไปใหนมากันแน่? แล้วไปเอาของพวกนี้มาได้ยังไง?”

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใจว่าไม่เล่าน่าจะเป็นการดีกว่า เขาจึงเพียงแค่ยิ้มสบายๆ แล้วตอบถังเมิ่งกลับไปว่า

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้ นายคิดว่าจากนี้ไปเราควรทำยังไง?”

หลิงหยุนได้รักษาถังเมิ่งกับเหยาลู่จนหายดีแล้ว ส่วนหนิงหลิงยู่นั้นมีเพียงเรื่องของสภาพจิตใจ แต่ร่างกายนั้นไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง จากนี้ไป.. สิ่งที่เขาคิดไว้ก็คือ การบุกรังของยอดฝีมือเซียงซีในคืนนี้!

แต่ตอนนี้ยังไม่ดึกมากพอ หลิงหยุนตั้งใจไว้ว่าหลังเที่ยงคืนเขาจะบุกเข้าไปสังหารพวกมัน เขาจึงอยากฟังความเห็นของถังเมิ่งก่อน

ถังเมิ่งตอบกลับมาว่า “พี่หยุน.. พี่สะใภ้และตระกูลเฉิง ถูกตระกูลซันควบคุมไว้หมดแล้ว..”

ถังเมิ่งที่เห็นเฉิงเม่ยเฟิงเป็นพี่สะใภ้ของเขามาตั้งแต่ต้น ดังนั้นคำว่าพี่สะใภ้ของเขาจะหมายถึงใครไปไม่ได้นอนจากเฉิงเม่ยเฟิง

“ส่วนพี่เสี่ยว.. หลังจากออกไปตามหานายตั้งแต่คืนวันอังคาร จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับข่าวคราว หรือแม้แต่ข้อความจากเธอเลย..”

หลิงหยุนมั่นใจเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่าเสี่ยวเม่ยเม่ยนั้นต้องกลับไปที่องค์กรนักฆ่าอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าในตอนนี้เธอจะถูกองค์กรนักฆ่าจับตัวไว้ หรือว่าถูกสังหารไปแล้ว หรือเธออาจจะหนีรอดออกมาได้ แต่ที่ยังไม่ยอมปรากฏตัวเพราะยังไม่รู้ข่าวว่าเขาได้กลับมาแล้ว จึงต้องหลบซ่อนตัวอยู่ก่อน หลิงหยุนนึกถึงความเป็นไปได้เพียงเท่านี้

“ส่วนลุงหลี่กับพ่อของฉัน.. มันก็เป็นเกมการเมืองของข้าราชการด้วยกัน พวกเราคงยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากไม่ได้ แต่ฉันว่าทั้งพ่อฉันกับลุงหลี่ก็คงกำลังคิดหาวิธีรับมือยู่ล่ะ”

“ตอนนี้เหลือนายเพียงแค่คนเดียว.. คนอื่นๆคงยากที่จะรับมือกับอำนาจและอิทธิพลของตระกูลซันได้ แต่การที่นายจะบุกเดี่ยวไปเหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว ก็ไม่น่าจะเป็นวิธีที่ดีนัก”

เมื่อถังเมิ่งนึกถึงเหตุการณ์ที่หลิงหยุนลุยเดี่ยวเข้าไปจัดการกับตระกูลซันในคืนนั้น เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที เพราะครั้งนี้ซันเทียนเปียวเป็นได้นำยอดฝีมืออีกมากมายมาที่จิงฉูด้วยตัวเอง ดังนั้นครั้งนี้ถังเมิ่งจึงไม่ต้องการให้หลิงหยุนบุกเดี่ยวเข้าไปเหมือนเมื่อครั้งที่แล้วอีก

แต่ถังเมิ่งกลับได้ยินหลิงหยุนหัวเราะและตอบกลับมาว่า “ใครบอกล่ะว่าฉันจะบุกเข้าไปคนเดียว?”

หลิงหยุนยังมีตู้กู่โม่อีกคน อีกทั้งยังมีเจ้าขาวปุยที่ใกล้จะกลายร่างแล้ว ในตอนนี้นอกจากความเร็วที่น่าอัศจรรย์ของมัน เจ้าขาวปุยยังสามารถใช้วิชาล่องหนและพรางตาได้อีกด้วย และด้วยกำลังภายในของมันตอนนี้ มันสามารถรับมือกับยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9ได้อย่างไม่ยากนัก

ถังเมิ่งได้ยินถึงร้องออกมาอย่างตกใจ “อะไรนะ.. ครั้งนี้นายมีผู้ช่วยมาด้วยเหรอ?!”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า แต่ถังเมิ่งกลับพูดต่อว่า “แต่มีเพียงแค่ผู้ช่วยคงจะไม่พอ นายต้องศึกษาฝ่ายตรงข้ามให้ดีด้วย รู้เขารู้เรา.. ยิ่งรู้จักฝ่ายตรงข้ามดีมากเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะชนะก็มีมากเท่านั้น!”

หลิงหยุนอดชื่นชมถังเมิ่งไม่ได้ แต่ก็อดที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังไม่ได้เช่นกัน พร้อมกับพูดแหย่ถังเมิ่งว่า

“ทำเป็นพูดดี.. รู้เขารู้เรางั้นเหรอ? ฉันเคยบอกนายแล้วว่านายสู้เสียเจิ้นเหยินไม่ได้ ยังจะกล้าไปมีเรื่องกับมันอีก?!”

ถังเมิ่งทำน้ำเสียงไม่พอใจ “เชอะ.. ฉันปล่อยมันไว้ไม่ได้หรอก นายไม่รู้อะไร เดี๋ยวนี้มันทำตัวกร่างมากตอนอยู่ที่โรงเรียน! มันกล้ามาวุ่นวายกับหลิงยู่ ฉันก็ต้องจัดการกับมันสิ!”

“นายก็ไม่อยู่ ตี้เสี่ยวอู๋ก็ถูกจับอีก.. ถึงฉันจะได้รับบาดเจ็บปางตายก็เถอะ แต่อย่างน้อยฉันก็ได้ชกหน้ามันไปทีนึง!” ถังเมิ่งพูดพร้อมกับกัดฟันกรอด

หลิงหยุนถึงกับหัวเราะเสียงดัง.. เสียเจิ้นเหยินเป็นแค่กังฟูนิดๆหน่อยๆ ยังไม่ได้ขั้นโฮ่วเทียน-1ด้วยซ้ำไป  แต่ถังเมิ่งกลับไม่สามารถเอาชนะมันได้..

“พี่หยุน.. ครั้งนี้เพื่อจัดการกับพวกเรา ตระกูลซันถึงกับใช้อิทธิพลปลดพ่อของฉัน แล้วตั้งหลัวจ้งขึ้นมาดูแลสำนักงานรักษาความมั่นคงแทน และการที่คนของพวกมันได้ขึ้นมามีอำนาจแบบนี้ พวกมันก็ได้เปรียบพวกเราอย่างมากเลยล่ะ..”

“แต่ถ้าพวกเราสามารถทำให้หลัวจ้งยกเลิกคำสั่งต่างๆที่เป็นผลเสียกับฝั่งเราได้ ถึงตอนนั้นโอกาสก็จะกลับมาเป็นของพวกเราทันที!”

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า “ได้.. ถ้างั้นก็เอาตามนั้น พวกเราจะจัดการกับหลัวจ้งก่อน ฉันมีวิธีที่จะทำให้มันยอมยกเลิกคำสั่งทั้งหมด และช่วยตี้เสี่ยวอู๋ได้!”

พูดจบ.. หลิงหยุนก็ยิ้มเหยียดอย่างเย็นชา และรังสีอำมหิตก็ปรากฏขึ้นวูบหนึ่งในแววตาของเขา

ในเวลานั้นเอง เสี่ยวเม่ยหนิงกับเหยาลู่ก็แต่งตัวเสร็จและเดินออกมาจากห้องนอนพอดี หลิงหยุนจึงรีบเข้าไปหาหนิงน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“หนิงน้อย.. ถังเมิ่งจะตามผมไปสะสางปัญหาเอง ส่วนคุณไม่ต้องตามผมไป และถ้าหลิงยู่กับเหยาลู่ไปอยู่ที่บ้านของคุณ ผมก็จะได้หมดห่วง คุณช่วยดูแลทั้งสองคนแทนผมจะได้ไม๊?”

แน่นอนว่า.. ตอนนี้หลิงหยุนไม่เห็นว่าจะมีที่ใหนปลอดภัยเท่ากับบ้านของท่านหมอเสี่ยว เขาจึงอยากจะฝากหญิงสาวทั้งสองคนให้อยู่ในความดูแลของหนิงน้อย

หลายวันมานี้.. ทั้งหนิงหลิงยู่ เสี่ยวเม่ยหนิง และเหยาลู่ ต่างก็ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเขามากจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน อีกทั้งเหยาลู่ก็เพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ หลิงหยุนรู้ดีว่าร่างกายของหญิงสาวทั้งสามคนต้องการการพักผ่อน และที่บ้านหมอเสี่ยวก็เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด

เสี่ยวเม่ยหนิงเองก็คิดเช่นเดียวกันกับหลิงหยุน เธอจึงพูดขึ้นมาอย่างขุ่นเคือง “ฉันก็คิดแบบนี้อยู่แล้ว และก็เพิ่งจะบอกพี่ลู่เหมือนกัน พี่ไม่ต้องมาสั่งฉันก็ได้!”

หลิงหยุนรีบเข้าไปในห้องนอนของเสี่ยวเม่ยเม่ย จัดการอุ้มหนิงหลิงยู่ที่กำลังนอนสลบไสลอยู่บนเตียงขึ้นมา พร้อมกับตะโกนสั่งถังเมิ่ง

“ถังเมิ่ง.. นายจัดการปิดประตูให้เรียบร้อยด้วย!”

ทั้งห้าคนต่างก็รีบเร่งออกจากอพาร์ทเมนท์และมุ่งหน้าไปยังบ้านของท่านหมอเสี่ยว ระหว่างทางหลิงหยุนรับรู้ได้ว่ามียอดฝีมือแอบสะกดรอยตามพวกเขามา

หลิงหยุนสัมผัสได้ว่ายอดฝีมือที่ติดตามเขามานั้นเป็นคนที่มีกำลังภายในสูง และดูเหมือนจะไม่ต้องการเปิดเผยตัวด้วยเหตุผลบางอย่าง คนผู้นั้นแอบสะกดรอยตามมาห่างๆ

หลิงหยุนคิดว่ายอดฝีมือผู้นี้ น่าจะเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนที่คอยตามปกป้องคุ้มครองหนิงหลิงยู่อยู่เงียบๆอย่างที่ท่านหมอเสี่ยวบอก

‘เขาเป็นใครกันนะ?!’

หลิงหยุนค่อนข้างงุนงงอย่างมาก.. และเขาเองก็ไม่ต้องการมีปัญหากับยอดฝีมืออายุห้าสิบท่านนี้ หรือจะเป็นยอดฝีมือที่แม่ของเขาส่งมาคุ้มครองหนิงหลิงยู่?

นี่คือความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่หลิงหยุนคิดออก! แต่ก็ไม่น่าจะถูกต้อง.. เพราะหากเป็นคนของแม่เขาส่งมาจริง ที่บ้านของเขาคงจะไม่เกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ เพราะชายสูงวัยผู้นี้น่าจะช่วยปกป้อง แต่นี่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ทำอะไรเลย!

ตลอดทางที่หลิงหยุนเร่งรีบไปที่บ้านของท่านหมอเสี่ยว ชายสูงวัยที่คอยสะกดรอยตามเขามาก็หายตัวไปแล้ว แต่หลิงหยุนไม่สนใจนัก เพราะมั่นใจว่าเขาจะต้องปรากฏตัวอีกอย่างแน่นอน

ท่านหมอเสี่ยวได้ยินเสียงแตรรถ จึงรีบออกมาต้อนรับทุกคนด้วยตัวเอง เมื่อเขาเห็นเหยาลู่ปรากฏตัวพร้อมกับถังเมิ่ง เขาจึงส่งกระแสจิตคุยกับหลิงหยุน

“เก่งมาก.. แม้กระทั่งเด็กสองคนที่อาการเป็นตายเท่ากัน เธอก็ยังสามารถรักษาพวกเขาให้หายได้ คนแก่อย่างฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ!”

หลิงหยุนหัวเราะ และตอบท่านหมอเสี่ยวกลับทางกระแสจิตเช่นกัน และอธิบายถึงเหตุผลที่เขาต้องพาหลิงยู่และเหยาลู่มาให้อยู่ในการดูแลของท่านหมอเสี่ยว

ท่านหมอเสี่ยวพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า “ยอดฝีมือผู้นั้นยังอยู่ในบริเวณนี้ เธอต้องระวังตัวให้มาก”

ทั้งสองคนพูดคุยแลกเปลี่ยนกันทางกระแสนจิตอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหลิงหยุนก็อุ้มหนิงหลิงยู่เข้าไปในบ้าน และขึ้นไปยังห้องนอนของเสี่ยวเม่ยหนิง

ตอนนี้ทุกคนที่เขาเป็นห่วงก็อยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว หลิงหยุนจึงเดินออกมาจากบ้านของท่านหมอเสี่ยวด้วยแววตาที่เป็นประกายด้วยรังสีอาฆาต!

“พี่หยุน.. พวกเราจะไปที่ใหนต่อดี?”

ถังเมิ่งขับรถเฟอรารี่ออกไปพร้อมกับหันไปถามหลิงหยุนที่นั่งอยู่ด้านข้าง

หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปตอบว่า “ไปที่บ้านฉันก่อน!”

หลังจากที่แยกย้ายกับตู้กู่โม่ หลิงหยุนก็สั่งให้เจ้าขาวปุยไปคอยเขาอยู่ที่บ้าน แต่ตอนนี้เขาต้องไปจัดการสังหารศัตรูจึงต้องกลับมาพาเจ้าขาวปุยไปด้วย

เนื่องจากบ้านของท่านหมอเสี่ยวนั้นอยู่ใกล้กับบ้านหลิงหยุนมาก เพียงแค่หนึ่งหรือสองนาที รถเฟอรารี่ก็มาถึงหน้าประตูบ้าน

หลิงหยุนลงจากรถ และเห็นป้ายติดอยู่ที่หน้าประตูบ้านสองอัน เขาจัดการดึงมันออก และฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“หลัวจ้ง.. เจ้ากล้ายึดบ้านของข้า! เจ้าคงจะกินอิ่มเกินไปแล้วอยากหาเรื่องใส่ตัวสินะ!” หลิงหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เงาสีขาวปรากฏขึ้น เจ้าขาวปุยวิ่งออกมาจากมุมบ้านตรงเข้าหลิงหยุน พร้อมกับสะบัดหางไปมาอย่างดีใจ

ถังเมิ่งถึงกับงุนงง เขาชี้ไปทางเจ้าขาวปุยพร้อมกับร้องเสียงดัง “พี่หยุน.. เจ้าขาวปุยมีสองหางนี่ แล้วทำไมตอนนี้เหลือแค่หางเดียวแล้วล่ะ”

หลิงหยุนคิดในใจว่าตอนนี้มีสามแล้วต่างหาก แต่กลับตอบถังเมิ่งไปว่า “มันรวมกันเป็นหางเดียวแล้วไง แล้วต่อไปก็จะไม่มีหาง..”

เจ้าขาวปุยใกล้ที่จะกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว และเมื่อไหร่ก็ตามที่มันกลายร่างเป็นคน ก็จะไม่มีหางแล้วจริงๆ

“ไปกันได้แล้ว..”

หลิงหยุนสั่งถังเมิ่งให้ขับรถไปยังโรงแรมที่ตู้กู่โม่พักอยู่..

อีกไม่นานก็จะเที่ยงคืน.. ใกล้เวลาที่หลิงหยุนจะบุกเข้าไปที่รังของคนเซียงซีแล้ว ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม สำหรับหลิงหยุนในเวลานี้ ไม่ต่างจากราชสีห์ที่กำลังจะสู้กับกระต่ายตัวน้อย และเขาจะสังหารทุกคน!

หลิงหยุนจะใช้เหตุการณ์ในคืนนี้ ป่าวประกาศให้ดังกึงก้องไปทั่วทั้งเมืองจิงฉูว่า ข้า..หลิงหยุนได้กลับมาแล้ว!

ถังเมิ่งขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับบนรถ ส่วนหลิงหยุนก็สั่งเจ้าขาวปุยให้ขึ้นไปรอบนรถเช่นกัน จากนั้นก็ยิ่งไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป เขายืนยิ้มพร้อมกับประสานมือพร้อมกับน้อมศรีษะลงและพูดขึ้นว่า

“อาวุโส.. ท่านสะกดรอยตามข้ามา ข้ารู้สึกไม่สบายใจนัก ถ้าอย่างไรให้ข้าไปส่งท่านจะดีหรือไม่?”

“พี่หยุน.. พี่พูดกับใครน่ะ?!” ถังเมิ่งตะโกนถามออกมาจากรถ

ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงตะโกนถามของถังเมิ่ง เงาสีดำก็โผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ที่อยู่ห่างไปราวเจ็ดสิบเมตร

หลิงหยุนจ้องเขม็ง และพบว่าเป็นชายชราอายุราวห้าสิบปี สูงปานกลาง ผมสั้น ผิวคล้ำ คิ้วหน้า จมูกโด่งเป็นสัน ไม่ต่างจากที่ท่านหมอเสี่ยวบอกไว้แม้แต่น้อย!

“ข้าชื่อกุ่ย.. ท่านเรียกข้าว่าเหล่ากุ่ยก็ได้!”

ทันทีที่ชายชราปรากฏตัว หลิงหยุนก็สำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า สีหน้าชื่นชมและประหลาดใจปรากฏออกมาบนใบหน้าของหลิงหยุนอย่างชัดเจนพร้อมกับพยักหน้าแทนคำตอบ!