บทที่ 60 กลางหิมะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ในฐานะบุคคลที่ถูกคำเล่าลือทำร้ายจิตใจ เฟิ่งชิงเฉินตระหนักดีถึงอิทธิพลของข่าวลือเหล่านั้น แต่นางคาดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะทวีรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อเดินทางออกไปจากจวนเฟิ่งก็ถูกผู้คนเข้ามาห้อมล้อม สายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ การดูถูก การเหล่มองเยาะเย้ยถากถางพุ่งตรงมาที่นาง พวกเขานินทาว่าร้ายนางต่อหน้าต่อตา
“ดวงตานางเล็กเหลือเกิน เหมาะแก่การยั่วยวนยิ่งนัก”
เมื่อมีคนกล่าวขึ้นมาเช่นนี้ ก็มีคนเอ่ยต่อไปว่า “จริงอยู่ ดวงตานางนั้นเรียวเล็กน่าหลงใหลเหลือเกิน ข้ามองแล้วแทบละสายตาไม่ได้”
“สะโพกนางเล็กเกินไป คลอดลูกลำบาก”
“เชอะ……สตรีเช่นนี้ หากนางคลอดลูกออกมาเจ้ากล้ารับไว้หรือ ดีไม่ดีนางอาจไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าพ่อของเด็กคือใคร”
“ก็ถูกของเจ้า”
“มองไปแล้วแข็งแรงยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเรื่องบนเตียงจะเป็นอย่างไร”
“เหอะๆ ไม่รู้ว่าหากต้องการจะใช้ค่ำคืนอันเร่าร้อนกับคุณหนูเฟิ่งจะต้องใช้เงินเท่าใด”
“เงินงั้นหรือ? นางไม่สนใจเงินทองหรอก นางชอบความแข็งแกร่งต่างหาก”
“ฮ่าๆๆ!”
นอกจากน้ำเสียงเหล่านี้แล้วก็ยังมีผู้คนมากมายส่งแม่สื่อเดินทางมากล่าวว่า นายท่านของพวกเขาต้องการจะรับนางไปเป็นอนุภรรยา ส่วนคนที่เอ่ยเหล่านี้ล้วนเป็นพวกที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่
แม้กระทั่งแม่เล้าของซ่องโสเภณีก็ได้เดินทางมาถามว่า เฟิ่งชิงเฉินมีแผนการจะขายบริการเรือนร่างหรือไม่ ซ่องของพวกนางจะให้ราคาสูงอย่างแน่นอน
เฟิ่งชิงเฉินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินตรงไปข้างหน้า มีเพียงริมฝีปากที่เย้ยยิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็น
เรื่องในวันนี้ หากกล่าวว่าไม่มีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ให้ตายนางก็ไม่เชื่อ
การที่นางเดินทางยืนกรานจะเดินทางออกมาในวันนี้ นอกเสียจากจะไปเปลี่ยนยาให้กับฮูหยินรองเซี่ยแล้ว นางต้องการใช้การกระทำของตนชี้ให้คนที่ปล่อยข่าวลือเหล่านี้เข้าใจว่า วิธีการเช่นนี้ไม่สามารถล้มล้างนางเฟิ่งชิงเฉินได้ อย่าได้เสียเวลาไปเลย รีบใช้โอกาสนี้วางมือเถิด
เฟิ่งชิงเฉินเพิกเฉยต่อประโยคยุ่งเหยิงมากมายที่เสียดสีดังเข้ามาในหู นางเดินถือกล่องยาเชิดหน้าเดินตรงไป……
ท่ามกลางเสียงติฉินนินทาเหล่านี้ แต่นางรู้ตัวดีว่านางบริสุทธิ์
อวี่เหวินหยวนฮั่วเหลือบมองนางจากระยะไกลแล้วส่ายหน้า เดินตรงไปที่ประตูเมือง
ผู้ที่มีความเย่อหยิ่งและเฉลียวฉลาดเช่นนี้ น่าเสียดายเหลือเกินที่เป็นสตรี!
นอกเสียจากอวี่เหวินหยวนฮั่วแล้ว บรรดาองค์หญิงและองค์ชายแห่งซีหลิงก็ไม่พลาดประเด็นร้อนเหล่านี้
ขณะนั้นพวกเขากำลังนั่งอยู่ที่โรงน้ำชาอีกฟากถนน จากตำแหน่งหน้าต่างบนชั้นสองสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ภายนอกที่เกิดขึ้นกับ จวนเฟิ่งได้อย่างชัดเจน แต่คนอื่นไม่อาจมองเห็นพวกเขา
“พี่ใหญ่ ข้าประเมินนางต่ำไป” ซีหลิงเหยาหวาเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตนคิดว่าจะไม่สามารถอดทนต่อผลกระทบของข่าวลือได้ และรีบ วิ่งกลับไปที่จวนเฟิ่งเพื่อขอความช่วยเหลือ ในทางกลับกันนางทำท่าทีสงบนิ่งอย่างเป็นธรรมชาติ แววตาประหลาดใจปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่
เหตุการณ์ด้านนอกจวนเฟิ่งนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่ฝีมือของนางทั้งหมด แต่นางก็มีส่วนจุดเปลวไฟนี้ขึ้นมา ไม่ใช่ว่านางว่างเสียเหลือเกินแต่ว่า……
นางรู้สึกมองไปแล้วขัดหูขัดตาเหลือเกิน ประกอบกับซีหลิงเทียนเหล่ยต้องการจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ดูว่าสามารถบีบบังคับหลานจิ่วชิงให้ออกมาได้หรือไม่ หรือต้องการค้นหาร่องรอยจากเฟิ่งชิงเฉินว่ามีความเกี่ยวข้องกับหลานจิ่วชิงหรือไม่
“ผู้ที่ทำให้หลานจิ่วชิงยื่นมือเข้ามาช่วยได้ คงไม่ใช่ธรรมดา” ทันใดนั้นเองสายตาที่ซีหลิงเทียนเหล่ยมองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน ความดูถูกนั้นน้อยลงและ สนใจนางมากขึ้น
บางทีการรับเฟิ่งชิงเฉินไว้เป็นอนุภรรยาอาจเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว แม้ว่าในวันนี้จะยังไม่อาจบีบบังคับให้หลานจิ่วชิงออกมาได้ แต่การที่จะรับนางเข้ามาเป็นอนุภรรยานั้นแตกต่างออกไป
หลานจิ่วชิง ชื่อนี้อาจไม่เป็นที่รู้จักในอาณาจักรใหญ่ทั้งสี่ แต่มีอิทธิพลมากในยุทธจักร อีกทั้งเป็นบุคคลตัวอย่างของบรรดาชายหนุ่มรุ่นใหม่ในยุทธจักร
เมื่อสามปีก่อนบนยอดเขาไท่ซาน หลานจิ่วชิงปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางอากาศและเอาชนะปู้จิงหยุนบู๊ลิ้มอันดับหนึ่งในยุทธจักรได้ จากนั้นกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงจากการต่อสู้ในครั้งนั้น
แต่ว่า หลานจิ่วชิงมีนิสัยที่แปลกมากเช่นกัน หลังจากที่เขาได้รับชื่อเสียงว่าเป็นอันดับหนึ่งในการต่อสู้ครั้งนั้นแล้ว เขาก็ไม่ได้ก่อตั้งนิกายขึ้นในยุทธจักร แต่กลับเดินทางออกไปจากยุทธจักรอย่างเงียบๆ และร่อนเร่ไปทั่วทั้งสี่อาณาจักรใหญ่
หลานจิ่วชิง นอกจากชื่อนี้แล้วไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร เขาเปรียบเสมือนตำนานในยุทธจักร แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ไม่ใช่คนในยุทธจักรทุกคนจะเคารพผู้ที่เป็นตำนานเช่นนี้ อย่างน้อยซีหลิงเทียนเหล่ยก็เป็นหนึ่งในนั้น
จะว่าไปแล้วซีหลิงเทียนเหล่ยก็นับว่าโชคร้ายเหลือเกิน เขาออกเดินทางไปที่หนานหลิง เป่ยหลิงด้วยอ้างเหตุผลว่าจะเดินทางออกมาเลือกพระชายา แต่ไม่ว่ากี่ครั้งกี่หน เขาก็จะต้องพบกับหลานจิ่วชิง และทุกครั้งหลานจิ่วชิงจะทำลายเรื่องดีๆ ของเขาไปจนสิ้น ในครั้งนี้เมื่อเดินทางมายังตงหลิง ตนยังไม่ทันจะลงมือก็ถูกหลานจิ่วชิงจับจ้องมองเอาไว้แล้ว
ความบังเอิญเช่นนี้ทำให้ซีหลิงเทียนเหล่ยผู้ที่ไม่เชื่อต่อโชคชะตาเริ่มคิดว่าหลานจิ่วชิงคือศัตรูในชีวิตนี้ของเขาที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
น่าเสียดาย หลังจากที่การเผชิญหน้าหลายต่อหลายหน เขาก็ยังคงทำอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งคราก่อนที่เหยาหวาใช้ธนูยิงปักไปที่หัวใจของเขา แต่ก็ยังหนีไปได้
เมื่อได้ยินคำชมจากพี่ชาย และเมื่อคิดว่าหลานจิ่วชิงวีรบุรุษเช่นนั้นมีความเกี่ยวข้องกันกับเฟิ่งชิงเฉิน ซีหลิงเหยาหวาจึงได้ขมวดคิ้วเข้าหากัน แววตาดูเหยียดหยามเป็นประกาย
“นอกจากความเย่อหยิ่งจองหองที่ไม่เหมือนกับบรรดาสตรีในเรือนใหญ่แล้ว ข้ามองไม่ออกเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินมีสิ่งใดที่ทำให้หลานจิ่วชิงชื่นชม เป็นเพราะทักษะด้านการรักษาของนางหรือ ตงหลิงใหญ่โตเพียงนี้ มีหมอขึ้นชื่อมากมายนับไม่ถ้วน ต่อให้นางมีทักษะที่ดีแล้วอย่างไร? เฟิ่งชิงเฉินไม่มีแม้แต่มารยาทขั้นพื้นฐานของสตรีเสียด้วยซ้ำ แล้วสตรีเช่นนี้เหตุใดจึงดึงดูดหลานจิ่วชิงได้”
เมื่อได้ยินคำชมจากพี่ชาย และเมื่อคิดว่าหลานจิ่วชิงวีรบุรุษเช่นนั้นมีความเกี่ยวข้องกันกับเฟิ่งชิงเฉิน ซีหลิงเหยาหวาจึงได้ขมวดคิ้วเข้าหากัน แววตาดูเหยียดหยามเป็นประกาย
ซีหลิงเทียนเหล่ยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เหยาหวา เจ้าอย่าได้ดูถูกนางไป สิ่งที่นางมีนั้นมิใช่การไม่มีค่าหรือไม่มีเกียรติแต่อย่างใด การที่นางต้องเผชิญหน้ากับการดูถูกมากมายเช่นนี้แต่กลับสามารถสงบนิ่งได้ อย่าว่าแต่สตรีเลยแม้แต่ บุรุษเองก็อาจจะไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เหยาหวา หากเป็นเจ้าล่ะ เจ้าสามารถทำได้เช่นนางหรือไม่?”
ไม่ใช่ว่าซีหลิงเทียนเหล่ยจะดูถูกเหยาหวา แต่เขารู้ดีว่าหากจิตใจไม่แข็งพอ และไม่มีความตั้งมั่นอันแข็งแกร่ง เฟิ่งชิงเฉินคงจะไม่กล้าออกจากจวนเฟิ่งแม้แต่ครึ่งก้าว
ต่อให้เป็นตัวเขาซีหลิงเทียนเหล่ย หากรู้ว่ามีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นก็ไม่กล้าที่จะปรากฏกายขึ้นท่ามกลางพายุเหล่านี้ เขาคงจะปิดประตูอยู่แต่ในเรือน รอจนกระทั่งข่าวลือเหล่านั้นผ่านพ้นไป
แต่ว่า เฟิ่งชิงเฉินกลับมีความกล้าหาญมากพอที่จะต่อสู้กับลมพายุเหล่านี้แล้วก้าวออกมาจากจวนเฟิ่ง
สตรีผู้บอบบางคนหนึ่ง จะต้องเผชิญหน้ากับคำครหาของคนทั้งโลก โดยไม่มีผู้ใดพร้อมจะออกมาปกป้องนาง นางใช้แขนทั้งสองข้างของตนกางออกเพื่อป้องกันตนเอง เผชิญหน้ากับข่าวลือเหล่านั้นด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม ตอบกลับผู้บงการเรื่องนี้ด้วยตัวของนางเองอย่างภูมิใจ
เฟิ่งชิงเฉินเดินออกมาด้วยท่าทางเช่นนั้น เพื่อต้องการให้ผู้ที่ใส่ร้ายนางเข้าใจว่า นางเฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่ผู้ที่จะถูกผู้ใดทุบตีจนล้มลงง่ายๆ เรื่องข่าวลือเรื่องนินทาเหล่านี้ไม่สามารถทำร้ายนางได้เลย
เป็นจริงดังนั้น เมื่อซีหลิงเหยาหวาได้ยินก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก แก้วในมือสั่นคลอนจนน้ำชากระเซ็นออกมา
นางรู้ดีว่าตัวของนางพบกับศัตรูเข้าให้แล้ว!
“จะยังดำเนินแผนการต่อหรือไม่?” ซีหลิงเหยาหวาเก็บท่าทางเย่อหยิ่งจองหองเอาไว้แล้วเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
“เรื่องไร้ประโยชน์จะทำไปเพื่อสิ่งใด ลองดูว่าหลานจิ่วชิงจะยื่นมือออกมาเพราะเรื่องนี้หรือไม่” ซีหลิงเทียนเหล่ยทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคก่อนจะก้าวขาเดินออกไป
……
ซีหลิงเทียนเหล่ยมองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน นางรู้สึกเศร้าที่ได้ยินคนอื่นกล่าวถึงนางราวกับนางเป็นสิ่งของ จะไม่ให้นางโศกเศร้าได้อย่างไร แต่เศร้าไปแล้วมีประโยชน์ใดเล่า?
นางจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป นางต้องการจะมีชีวิตอยู่ในราชวงศ์ตงหลิงนี้ นางต้องการจะอยู่ในแผ่นดินทั้งเก้ารัฐนี้ต่อไป นางจะทำให้ข่าวลือเหล่านี้แพร่หลายไปไม่ได้ แต่วิธีเดียวที่จะทำลายข่าวลือเหล่านั้นให้สยบก็คือนางจะต้องทำให้โลกเห็นว่านางไม่สนใจข่าวลือเหล่านั้นเลย
ในโลกนี้ที่พึ่งเดียวของนางก็คือทักษะทางการแพทย์ ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่านางจะหยิบยกเรื่องที่รักษาฮูหยินรองเซี่ยมาใช้ในการสร้างชื่อเสียงให้แก่ตน นางจะไม่ยอมแพ้เพียงครึ่งทางเช่นนี้แน่นอน
อีกอย่าง แพทย์ควรมีจรรยาบรรณ บาดแผลบนร่างกายของฮูหยินรองเซี่ยนางเป็นคนทำความสะอาดและพันแผลด้วยตนเอง ดังนั้นนางควรจะรับผิดชอบให้ถึงที่สุด
แต่ว่าสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินคิดไม่ถึงก็คือ ข่าวลือเหล่านี้จะสร้างปัญหาใหญ่โตได้เพียงนั้น
นางรู้ดีว่าในตอนนี้คงไม่มีใครอยากจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับนาง ดังนั้นนางจึงได้ใช้โอกาสนี้ แฝงตัวเข้าไปในร้านค้าแล้วเปลี่ยนชุดใหม่ แต่งตัวเป็นหญิงสาวผู้อ่อนโยน จากนั้นสลัดผู้คนที่ออกมามุงดูเรื่องราวบนท้องถนน ก่อนจะอ้อมไปสองสามซอกซอยเมื่อนางแน่ใจว่าไม่มีใครติดตามนางมาแล้วจึงได้เดินทางไปที่จวนเซี่ย
ทว่ายังไม่ทันเดินทางไปถึงปากประตูจวนเซี่ย ก็ถูกสาวรับใช้ข้างกายของฮูหยินรองเซี่ยเข้ามารั้งเอาไว้……
สาวรับใช้ผู้นี้ได้รับคำสั่งจากฮูหยินรองเสียให้มารอนางอยู่ที่นี่เป็นเวลาสี่วันสี่คืนแล้ว จุดประสงค์ของนานก็คือไม่ต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินก้าวเข้าไปในจวนเสีย
บทที่ 59 คำพูดบ้าๆ

บทที่ 61 ผลสืบเนื่อง