ชิวเยี่ยไป๋ก้มดูก็เลิกคิ้วกล่าวว่า “ให้รางวัลทีเป็นร้อยตำลึงเชียวหรือ ดูท่าคงร่ำรวยหรือไม่ก็ใหญ่โต แต่…โรงแลกเงินชางเหอ เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยิน”

 

 

หลี่หมัวมัวพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าอยู่ในวังมานาน รู้ว่าตั๋วเงินชางเหอไม่แพร่หลายทั่วไป ใช้เฉพาะในวังเท่านั้น ที่ผ่านมาเบี้ยหวัดและรางวัลของคนในวังล้วนเป็นตั๋วเงินชางเหอ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋งงงัน “เจ้าหมายความว่า แขกที่มาเป็นคนในวังหรือ”

 

 

แขกสตรี นี่โทษนางว่าคิดนอกลู่นอกทางมิได้

 

 

เทียนซูพลันกล่าวว่า “ก็ไม่แน่ อาจเป็นองค์หญิงองค์ใดองค์หนึ่งก็เป็นได้”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เหลือบมองเทียนซูแวบหนึ่ง “ตู้เจินหลานชอบมาหาเจ้าใช่ไหม”

 

 

พอเทียนซูพูดถึงองค์หญิง นางก็นึกถึงแม่เลี้ยงเจ้าชู้ในจวนของตระกูลชิว คนเช่นนั้นคงบริการไม่ง่าย ดีใจเสียใจเอาแน่เอานอนไม่ได้ เผลอๆ จะฆ่าคนที่บริการตนเสียด้วยซ้ำ

 

 

เทียนซูหน้าเครียดลง แต่ยังคงส่ายศีรษะ กล่าวเบาๆ ว่า “เปล่า”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขาไม่อยากพูดก็ไม่ได้ซักไซ้ หันไปสนใจตั๋วเงินในมือ “อาหลี่ เจ้าเห็นเป็นอย่างไร”

 

 

หลี่หมัวมัวกล่าวว่า “บ่าวคิดว่าคงไม่ใช่องค์หญิงที่ออกเรือนไปแล้ว เพราะองค์หญิงที่วิวาห์แล้วการกินการอยู่ย่อมอยู่ข้างนอก เบี้ยหวัดเงินเดือนหรือการตกรางวัลมีกฎเกณฑ์เฉพาะ ที่ได้ไปอาจนำไปใช้นอกวังได้ แต่…”

 

 

นางคิดดูแล้วกล่าวต่อ “เมื่อครู่ข้าเห็นตั๋วเงินนี้ก็แปลกใจ จึงลอบใช้กล้องส่องทางไกลสังเกตแขกสตรีผู้นั้น นางสวมชุดดำ ท่าทางเหมือนองค์หญิงที่ยังไม่ออกเรือน”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กล่าวอย่างข้องใจว่า “ไม่เหมือนองค์หญิงที่ออกเรือนแล้ว อาจเป็นนางสนมก็ได้นี่นา”

 

 

นางสนมเช่นนี้ออกจะใจกล้าไปหน่อยกระมัง ลอบออกจากวังโดยพละการก็แย่พอแล้ว แถมยังมาหาความสำราญในหอคณิกาด้วย!

 

 

หลี่หมัวมัวลังเลแล้วกล่าวว่า “บ่าวแน่ใจว่าเป็นคนในวัง เพราะดูแล้วคุ้นตา แต่อีกฝ่ายหันหลังให้หน้าต่างตลอดเวลา บ่าวจึงเห็นหน้าไม่ถนัด และคนรับใช้ของนางก็ยืนในที่ที่บ่าวมองไม่เห็น ดังนั้นบ่าวจึงมิกล้าเจาะจงว่าเป็นผู้ใด”

 

 

ใบหน้าของหลี่หมัวมัวเอง คนในวังจำนวนไม่น้อยก็คุ้นอยู่ นางจึงไม่กล้าอ้างว่าจะมาส่งของเพื่อถือโอกาสตรวจสอบคนในห้อง ได้แต่รายงานต่อเจ้านายก่อนค่อยว่ากัน

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ใช้ปลายนิ้วไล้ตามขอบตั๋วเงินใบใหม่เอี่ยม หัวร่อเบาๆ ว่า “นี่ก็แปลกแล้ว คนสูงศักดิ์ในวังถึงกับตื่นตัวระดับนี้”

 

 

นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ประเดี๋ยวเจ้าให้อี้หมัวมัวจัดโต๊ะสุราอาหารส่งเข้าไป กับข้าวไม่ต้องมากแต่ต้องเป็นอาหารชั้นดี ทางที่ดีต้องเป็นอาหารที่คนในวังไม่ค่อยมีโอกาสลิ้มชิม ส่วนสุรา…”

 

 

นางหยุดลง แววตาฉายประกายเจ้าเล่ห์ “ส่งเมาใจไปป้านหนึ่งก็แล้วกัน”

 

 

เมาใจ เมาใจ สุราชนิดนี้เป็นสุราชั้นเลิศ เป็นสุราพรากวิญญาณที่ปรุงแต่งโดยพระเก้าพันปีของข้าหลวงซือหลี่เจียนผู้โฉดชั่วซึ่งตายไปแล้วอย่างอนาถ ทิ้งเพียงชื่อเหม็นโฉ่ไว้ในประวัติศาสตร์ เป็นสุราที่ใช้สำหรับสอบปากคำ

 

 

สุรานี้ดื่มแล้วจิตใจเลื่อนลอย พอถูกคะยั้นคะยอเข้าก็จะถือว่าคนที่มาเค้นปากคำเป็นผู้รู้ใจ และคายความลับจนหมดเปลือก

 

 

แม้จะยังไม่รู้ว่าในจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ จู่ๆ ก็มีคนสูงศักดิ์จากในวังมาที่หอไผ่เขียวด้วยเจตนาอย่างไร แต่ลองดูหน่อยคงไม่เป็นอะไร

 

 

หลี่หมัวมัวรับคำแล้วรีบออกไปจัดการ

 

 

หลังประตูปิดลง ชิวเยี่ยไป๋ส่งตั๋วเงินให้เทียนซู “เผาทิ้งเถอะ”

 

 

เทียนซูงงงัน “เผาหรือ”

 

 

เงินหนึ่งร้อยตำลึงเท่ากับค่าครองชีพของครอบครัวทั่วไปราวสามถึงห้าปี มิใช่เงินจำนวนเล็กน้อย ชิวเยี่ยไป๋กลายเป็นคนมือเติบเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

 

 

นางฟุบกับโต๊ะอย่างเกียจคร้านแค่นเสียงเย็นชา “เหอะ ถ้าคนในวังที่ให้ตั๋วเงินใบนี้มิใช่คนสูงศักดิ์ผู้โง่เขลาสิ้นดีก็ย่อมเป็นเล่ห์ร้าย หากคนของเราที่นี่นำตั๋วเงินนี้ไปใช้ รับรองว่าได้วันนี้พรุ่งนี้ทางการต้องมาค้นแน่”

 

 

เทียนซูจึงเข้าใจ เขาพยักหน้าแล้วเปิดเตาทองเหลืองสำหรับเผาเครื่องหอมบนโต๊ะ โยนตั๋วเงินเข้าไป

 

 

ครู่เดียวตั๋วเงินก็กลายเป็นขี้เถ้า

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อเย็นชา “จะอย่างไรก็ตาม ถึงกับกล้ามาตอแยนายน้อยสี่เช่นข้า ไอ้คนสูงศักดิ์ต้องทิ้งอะไรไว้บ้างสิน่า!”

 

 

 

 

ณ อีกด้านหนึ่งของหมู่อาคาร คนสองคนกำลังแลดูอาหารชั้นดีบนโต๊ะ “โจ๊กหอมไผ่มรกต เผือกหอมตุ๋นเนื้อ ท้องปลานึ่งส้มหอม…โอ้โฮ อาหารในหอไผ่เขียวประณีตเลิศรสเกินคาด ในจวนไม่เคยได้ลองด้วยซ้ำ”

 

 

คนงามชุดดำแลดูกับข้าวหอมกรุ่นเหล่านี้พลางกล่าวคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม

 

 

เมื่อครู่เขาคิดจะพาอีไป๋ออกตรวจตรา กลับพบว่าอี้หมัวมัวคนเดิมกลับมาอีกครั้ง จึงคิดเอาเองว่าในเมื่อมีอาคันตุกะสูงศักดิ์รอคนที่นี่ ตามธรรมเนียมของหอไผ่เขียวคงต้องให้การต้อนรับเป็นอย่างดี จึงได้สั่งโต๊ะสุราอาหารมาให้

 

 

อีกฝ่ายนำอาหารมาให้ พอจัดแจงเสร็จก็จากไป

 

 

อีไป๋เห็นเจ้านายหยิบตะเกียบจะลองชิมก็รีบห้าม “นายท่าน ถ้านายท่านไม่อยากกินของว่างไว้เรากลับวังก่อนค่อยกินมื้อดึกเถิด ของพวกนี้ไม่สะอาด เกรงว่าจะไม่ดีกับอาการบาดเจ็บของนายท่านนะ”

 

 

จุดอ่อนของเจ้านายตนก็คือเรื่องกินนี่แหละ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพกของกินติดตัวตลอดเพื่อมิให้เจ้านายของตนกินของนอกบ้าน

 

 

ไป๋หลี่ชูยังคงคีบเนื้อชิ้นหนึ่งไว้ในจานของตน ลองดมดูแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ “ถ้าเจ้าของหอไผ่เขียวโง่เขลาเหมือนเจ้าคงเจ๊งไปนานแล้ว ดูสิวันนี้การค้าคึกคักดีเชียวนะ”

 

 

พริบตานั้นอีไป๋รู้สึกเหมือนโดนตบหน้า ใบหน้างดงามที่อึมครึมอยู่แล้วยิ่งเครียดลง ฝ่าบาทด่าว่าเขาโง่หรือ

 

 

ไป๋หลี่ชูไม่สนใจกับความเสียใจของอีไป๋ คีบกับข้าวทีละจานลองชิมดูแล้วชูนิ้วโป้งให้

 

 

อีไป๋เห็นไป๋หลี่ชูเริ่มกินแล้วก็ไม่ห้ามอีก เพราะใครก็ตามที่ห้ามไป๋หลี่ชูเวลากินมักลงเอยไม่ค่อยดีนัก

 

 

เขาจึงตัดใจช่วยไป๋หลี่ชูจัดแจงเสียเลย ลองลิ้มชิมกับข้าวที่เจ้านายชมเชย รู้สึกรสชาติไม่เลวจริงด้วย มือข้างหนึ่งจึงคว้าป้านสุราที่อยู่ข้างๆ รินให้ไป๋หลี่ชู

 

 

พริบตาที่เขารินสุรา ตะเกียบในมือของไป๋หลี่ชูก็เงื้อค้าง มองดูสุราด้วยแววตาเย็นเยือกพิกล

 

 

“นายท่าน” อีไป๋ส่งจอกสุราให้ เห็นไป๋หลี่ชูเอาแต่จ้องจอกเงินในมือตนเขม็ง พลันตื่นตัว “สุรามีปัญหาหรือ”

 

 

ไป๋หลี่ชูกลับรับจอกไว้ ยิ้มอย่างพิกล “ต้องมีปัญหาจึงจะเป็นสุราที่ดี”

 

 

จากนั้นก็ดื่มสุราจอกนั้นท่ามกลางสายตาที่งงงัน

 

 

แต่ครั้งนี้อีไป๋มิได้ห้ามแล้ว แต่ก็มิได้ดื่มตามเพื่อพิสูจน์ว่าสุรามีปัญหาหรือไม่

 

 

และแล้วสุราอาหารทั้งโต๊ะก็ถูกกินจนหมด ไป๋หลี่ชูเช็ดปากด้วยกิริยางดงาม ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เอาล่ะ กินอิ่มแล้วเราไปเดินเล่นกันให้อาหารได้ย่อย”