อีไป๋รีบเช็ดปากลุกขึ้น เดินตามเจ้านายออกไป 

 

 

…… 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋สีหน้าสะทกสะท้อนใจ “เทียนซู เสน่ห์เจ้าร้ายแรงมาก เจ้าว่าประเดี๋ยวคนในวังที่เมามายจะบอกว่าความจริงเจ้าเป็นคู่หมั้นหมายของนางตั้งแต่วัยเยาว์หรือไม่หนอ บัดนี้เติบใหญ่แล้ว กำลังจะมาช่วยเจ้าออกจากกองไฟ” 

 

 

เทียนซูอดหัวร่อมิได้ “เทียนฉีพูดถูก ปากเจ้าถ้าไม่ได้ซี้ซั้วพูดคงกลุ้มใจตาย” 

 

 

คนบางคนแม้คำพูดที่หยาบคายที่สุด กลับสามารถพูดออกมาอย่างนุ่มนวลน่าฟัง คุณชายเทียนซูคือคนประเภทนี้ 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หรี่ตาอย่างเกียจคร้าน ทำมือที่ไหล่ตน “เอ้า นวดให้หน่อย ข้าจะได้หยุดพูด” 

 

 

เทียนซูเห็นนางแม้จะยิ้มหัว แต่ดวงตาฉายแววอ่อนล้า จึงลุกขึ้นแล้วใช้นิ้วมือเรียวยาวคลึงไหล่นางตามที่บอก แล้วนวดเบาๆ 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หลับตาอย่างเป็นสุข กล่าวอย่างพึงพอใจว่า “ใครๆ ก็ว่าคุณชายเทียนซูลายมืองดงาม มีค่าเท่าพันตำลึงทอง แต่คนนอกหารู้ไม่ว่ามือของเจ้ายังมีฝีมือในการนวดได้ดีถึงเพียงนี้” 

 

 

ในสายตาของนาง หัตถศิลป์ด้านการนวดคลึงของเทียนซูต่างหากที่เก่งกาจที่สุด เนื่องจากปลายนิ้วเรียวยาวของเขาจับพู่กันมานานปี รู้จักปรับเปลี่ยนกำลังไม่ว่าจะน้อยนิดเพียงใด ปลายนิ้วที่ไวต่อความรู้สึกทำให้คนถูกนวดรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก! 

 

 

นับแต่สัมผัสกับฝีมือการนวดของเทียนซูโดยบังเอิญครั้งหนึ่งแล้ว ทุกครั้งที่นางกลับหอไผ่เขียว มักต้องให้เทียนซูบริการให้เสมอ แต่ก็ใช่ว่าจะสมปรารถนาทุกครั้ง ต้องขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคุณชายเทียนซูด้วย 

 

 

คุณชายทั้งสี่คนของหอไผ่เขียวนิสัยไม่เหมือนกัน แม้แต่ตัวนางเองที่เป็นเจ้าของหอไผ่เขียวก็ยังต้องคอยเอาอกเอาใจให้ดี ก็พวกเขาเป็นบ่อเงินบ่อทองของนางนี่นา 

 

 

แม้คำพูดของชิวเยี่ยไป๋ฟังดูแล้วเหมือนมีความนัย แต่เทียนซูก็รู้ว่านางมิได้มีความหมายอื่นใด จึงได้แต่ใช้ปลายนิ้วนวดไหล่ให้นาง แววตาของเขายังคงเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทุกครั้งที่กดปลายนิ้วลงบนไหล่ของชิวเยี่ยไป๋ มักเกิดความรู้สึกประหลาด แต่เขาก็บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกอย่างไร  

 

 

“เออนี่ ข้าจะหาลูกน้องมาฝึกเขียนพู่กันกับเจ้าดีไหม” ชิวเยี่ยไป๋แนบหน้าลงกับท่อนแขนอย่างเกียจคร้าน 

 

 

เทียนซูจิตใจเลื่อนลอย ถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “การเขียนอักษรพู่กันมิใช่ฝึกได้ดีในเวลาอันสั้น ถ้าไม่ลงทุนฝึกอย่างคร่ำเคร่งสักหลายปี คงไม่สำเร็จ” 

 

 

เขาคิดว่าชิวเยี่ยไป๋คงเห็นว่าอักษรพู่กันของเขามีราคาจึงอยากหาคนมาเรียนด้วย 

 

 

พอได้ฟังคำพูดไม่เห็นด้วยของเทียนซูแล้ว ชิวเยี่ยไป๋ก็รู้ว่าคุณชายเทียนซูที่แสนสุภาพนุ่มนวลคนนี้ยังคงมีจิตใจที่ทระนง นางจึงกล่าวอย่างเข้าใจว่า “นั่นนะสิ ลายมือของเทียนซู คนธรรมดาจะเลียนแบบได้อย่างไรกัน ข้าหมายความว่าการฝึกเขียนพู่กันจะช่วยให้ควบคุมพลังฝ่ามือได้ อีกหน่อยพวกคุณชายตัวเล็กตัวน้อยของหอเราจะได้มีฝีมือการนวดติดตัวเผื่อจะได้เปิดโรงนวดยามแก่เฒ่าโรยราได้ ไม่ต้องไปเป็นขอทาน” 

 

 

มือของเทียนซูหยุดลง นิ่งเงียบครู่หนึ่ง ปลายนิ้วไล้ไปบนเนื้อที่อ่อนนุ่มที่สุดบนไหล่แล้วหยิกเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “อย่าได้คิด!” 

 

 

ถึงกับจะขี่บนหัวเขา ให้คุณชายเทียนซูผู้ยิ่งยงสอนคนนวด! 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ไม่ทันระวังโดนหยิกเข้าในส่วนที่อ่อนนุ่มที่สุด รู้สึกเจ็บเหมือนโดนหนอนแมลงกัดเข้า จึงร้องโวยวายว่า “โอ้ย…เอาล่ะ เอาล่ะ ถือว่าข้าไม่เคยพูดก็แล้วกัน…หยุดได้แล้ว!” 

 

 

ทระนงจนต้องลงมือกันขนาดนี้เชียวหรือ 

 

 

นางเจ็บจนน้ำตาจะไหล จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เราคุยกันเรื่องอื่น…เรื่องอื่นดีกว่านะ ที่ข้ามาหาเพราะมีธุระ ข้าอยากให้เจ้าช่วยสอดส่องดูว่า พักนี้พวกคนรวยในเมืองหลวงมีใครที่ผิดแปลกไปบ้าง โดยเฉพาะคนในแถบไหวหนาน…” 

 

 

นิ้วของเทียนซูที่หยิกเนื้อบนไหล่ยังคงไม่คลาย แต่ก็มิได้บิดอีก “ก่อนหน้านี้เป๋าเป่าเคยบอกว่าท่านจะสืบคดี ก็คือเรื่องนี้หรือ” 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋รีบผงกศีรษะ และลูบข้อมือเขาเบาๆ หวังจะให้ปล่อย “ใช่ เรื่องนี้แหละ ข้าคิดดูแล้วถ้าคดีของบรรณาการตระกูลเหมยถูกเปิดโปง คงมิใช่แค่จะเอาเรื่องตระกูลเหมยเท่านั้น” 

 

 

ถ้าเบื้องหลังของตระกูลเหมยเป็นตระกูลตู้จริง ถ้าเช่นนั้นยังมีพระพันปีอยู่ทั้งคน แค่ข้อหานี้คงทำอะไรไม่ได้ 

 

 

เทียนซูขมวดคิ้ว “แต่เป๋าเป่าบอกว่าเรื่องนี้พุ่งเป้ามาที่ซือหลี่เจียนมิใช่หรือ” 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋คว้าชีพจรของเขาไว้ได้ จึงรีบดึงมือออกจากไหล่ของตนและกล่าวว่า “ทุกอย่างล้วนเป็นการคาดเดา ซือหลี่เจียนยังเห็นเจตนานั้น ฝ่ายตรงข้ามเตรียมจะโยนข้ากับกองคั่นเฟิงไปเป็นแพะ หรืออีกฝ่ายจะมองไม่ออกว่าถ้าแค่เจาะจงที่ซือหลี่เจียน ผลลัพธ์อาจไม่มีอะไรมาก” 

 

 

เทียนซูมองดูข้อมือของตนที่ถูกคว้าไว้ จึงไม่ได้หยิกที่อื่นอีก หัวร่ออย่างถากถาง “และท่านดันเป็นคนคิดมากเสียด้วยสิ!” 

 

 

นางยิ้มอย่างนุ่มนวล “ถ้าไม่คิดให้มากหน่อย ป่านนี้คงถูกเสือสาวกินไปแล้ว” 

 

 

เทียนซูเลิกคิ้วกำลังจะพูด พลันเห็นนางสีหน้าเย็นลง ทันใดนั้นนางคว้าถ้วยกระเบื้องเคลือบขว้างใส่หลังคา เพล้ง! 

 

 

ถ้วยกระเบื้องเคลือบที่แสนเปราะบางทะลุหลังคา เห็นได้ว่าคนที่ขว้างพลังฝีมือสูงส่งและแม่นยำ 

 

 

แต่กลับไม่มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังที่คิดไว้ นางเปลี่ยนท่าทางในพริบตา กดบ่าเทียนซูเบาๆ “เทียนซู เจ้ากลับห้องไปก่อน คิดว่าคงมีอาคันตุกะผู้สูงส่งมาแล้ว” 

 

 

เทียนซูเห็นสีหน้าของชิวเยี่ยไป๋ก็เข้าใจและยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ตามสบาย นายน้อยสี่” 

 

 

แม้กระนั้น เขายังคงเห็นแวววิตกแวบหนึ่งในดวงตาของชิวเยี่ยไป๋ พลังฝีมือของชิวเยี่ยไป๋เป็นอย่างไรเขารู้อยู่แก่ใจ บัดนี้ลงมือแต่พลาดเป้า แสดงว่าพลังฝีมือของฝ่ายตรงข้ามคงสูงล้ำไม่แพ้กัน 

 

 

เขาโบกมือส่งสัญญาณให้นางเงียบๆ 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋โบกนิ้วชี้เป็นเชิงบอกให้เขาไม่ต้องกังวล และยังไม่ต้องกระโตกกระตากให้พวกคนคุ้มกันหอรู้เป็นการชั่วคราว 

 

 

ผู้คุ้มกันหอไผ่เขียวล้วนเป็นพลพรรคของสำนักหอซ่อนกระบี่ บัดนี้อีกฝ่ายฝีมือสูงล้ำไม่แพ้ตน ขณะที่เป็นศัตรูหรือมิตรยังไม่รู้ชัด และอีกฝ่ายมิได้ตอบโต้ จึงยังไม่ต้องทำเรื่องให้เอิกเกริก การทำให้แขกเหรื่ออื่นๆ ในหอตกใจมิใช่ทางเลือกที่ดี สู้รอดูเหตุการณ์ต่อไปจะดีกว่า 

 

 

เทียนซูพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วออกจากห้องไป 

 

 

จนกระทั่งในห้องไม่มีใครแล้ว ชิวเยี่ยไป๋จึงหยิบจอกใบหนึ่งรินสุราให้ตนเอง กล่าวเนือยๆ ว่า “สหายมาเยี่ยมเยือน ไยจึงต้องแอบบนหลังคาเหมือนขโมย เข้ามาดื่มกันสักจอกดีไหม” 

 

 

เพียงขาดคำก็เห็นเงาร่างสายหนึ่งห้อยกลับหัวลงจากหน้าต่างช้าๆ 

 

 

คนผู้นั้นพลิ้วไหวอย่างงดงาม ทั้งร่างดำสนิท ผมดำขลับปลิวไสว เพียงแต่ใบหน้าซีดขาวเหมือนซากศพ ดึกดื่นค่อนคืนห้อยหัวลงจากหน้าต่างเช่นนี้ ถ้าเป็นคนทั่วไปคงตกใจตายแล้ว 

 

 

พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋พลันตระหนักว่าอีกฝ่ายฝีมือสูงล้ำ เพราะนอกหน้าต่างไม่มีที่ให้หยั่งเท้าหรือเหนี่ยวยึด เงาร่างอีกฝ่ายพลิ้วไหวไปมามิใช่เพราะเกี่ยวเท้าห้อยจากหลังคา หากแต่เป็นการใช้วิชาตัวเบาชั้นสูงสุด แขวนร่างไว้กลางอากาศ