ตอนที่ 113 ท่านไม่ต้องทนก็ได้ (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ประสาทของนางตื่นตัวเต็มที่ เตรียมจะสะบัดมีดสั้นในแขนเสื้อ ลมราตรีพลันพัดโชย ทำให้นางเห็นใบหน้าซีดขาวแต่งดงามนั่นเต็มตา

 

 

พริบตานั้นนางอ้าปากคาง “…ชู…ฝ่าบาท!”

 

 

ไป๋หลี่ชูเห็นท่าทางตกใจของนางก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี “อรุณสวัสดิ์เสี่ยวไป๋”

 

 

“…” ชิวเยี่ยไป๋หมดคำจะพูดไปชั่วขณะ

 

 

นี่เที่ยงคืนต่างหากเล่า ‘องค์หญิง’ มิน่าเล่าถึงมีฉายาองค์หญิงปีศาจ ที่แท้เจ้าชอบออกมาหลอกหลอนผู้คนยามเที่ยงคืนนี่เอง

 

 

“…ฝ่าบาท เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่” ชิวเยี่ยไป๋มองดูไป๋หลี่ชูที่นั่งลงเบื้องหน้านาง และกำลังกินของว่างของเทียนซูอย่างงามสง่าด้วยแววตาสับสน

 

 

ไป๋หลี่ชูอมผมไม้ผลเล็กสีแดงลูกหนึ่งในปาก ยิ้มพลางกล่าวว่า “เพราะข้าคิดถึงเสี่ยวไป๋นะสิ เสี่ยวไป๋ไม่คิดถึงข้าบ้างหรือ”

 

 

“ผีสางจึงคิด…เอ้อ ข้าก็คิดถึงฝ่าบาทเช่นกัน” ชิวเยี่ยไป๋ตอบ

 

 

ถ้าไอ้โรคจิตเบื้องหน้านี่ไม่ยิ้มอย่างนุ่มนวล แต่แววตาคุกคามว่าถ้าเจ้ากล้าพูดไม่ไพเราะข้าจะดูดเลือดเจ้าให้หมดละก็ นางจะเชื่อคำพูดของเขามากกว่านี้

 

 

ไป๋หลี่ชูใช้ไม้จิ้มสีเงินอันเล็กจิ้มของว่างส่งถึงริมฝีปากชิวเยี่ยไป๋จ้องมองนางอย่างยิ้มแย้ม

 

 

ภายใต้สายตาที่ ‘นุ่มนวล’ จนน่ากลัว ชิวเยี่ยไป๋จึงจำใจอ้าปากกินของว่าง แม้จะกลืนไม่ลงคอ แต่ยังคงยิ้มเนือยๆ กล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

 

 

อยากเล่นละครข้าก็จะเล่นด้วย

 

 

ไป๋หลี่ชูเห็นท่าทางว่านอนสอนง่ายของนาง ก็พึงพอใจและล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปากให้นาง และก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้ายังอุตส่าห์ถอดถุงมือถักด้วยใยทองออกด้วย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแหบพร่า “ข้าย่อมรู้ความในใจของเสี่ยวไป๋ จึงได้ออกจากวังมาจับคนนอกใจอย่างไรล่ะ”

 

 

“พรืด…!” ชิวเยี่ยไป๋สดุ้ง

 

 

สองประโยคนี้นางเข้าใจ แต่พอพูดรวมกันนางกลับรู้สึกขนลุก

 

 

นางแทบจะสำลักจนพ่นของที่กินอยู่ออกจากปาก รีบกลืนจนติดคอ

 

 

“แค่ก แค่ก แค่ก…”

 

 

“ทำไมถึงไม่ระวังหน่อย” มือของไป๋หลี่ชูหยุดอยู่ที่ปากของนาง จึงถูกของที่เคี้ยวในปากพ่นใส่ เขาเห็นสภาพทุลักทุเลของนางและเหลือบเห็นของในปากปนน้ำลายเปื้อนที่แขนเสื้อ สีหน้าก็เปลี่ยนไปและดูเหมือนจะตื่นเต้นด้วย

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ที่อยู่ใกล้กันขนาดนี้ย่อมเห็นสีหน้าเขาอย่างชัดเจน ในใจยิ่งตื่นตัว ไอ้หมอนี่ถูกเศษอาหารพ่นใส่เต็มแขนเสื้อ กลับมีท่าทางเช่นนี้มันอะไรกัน

 

 

แต่ยามนี้กำลังแสบคอ นางยังอยากจัดการกับของที่ติดคอก่อน จึงรีบคว้าจอกน้ำชาบนโต๊ะรินน้ำแล้วกำลังจะดื่มลงไป

 

 

กลับนึกไม่ถึงว่ามีคนเร็วกว่า จอกเคลือบสีเขียวพร้อมน้ำเต็มจอกส่งถึงริมฝีปากนางอย่างรวดเร็ว

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูจอกเคลือบสีเขียวด้วยแววตาสับสน เพราะนี่คือ ‘อาวุธลับ’ ที่นางใช้ขว้างออกไปเมื่อครู่ นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะอยู่ในมือของไป๋หลี่ชู

 

 

แต่นางยังคงดื่มน้ำในจอก พอน้ำลงคอ รสเผ็ดน้อยๆ ทำเอาชิวเยี่ยไป๋สำลักพ่นออกมาอีกครั้ง นางปิดปากอย่างอดมิได้ ถลึงตาใส่ไป๋หลี่ชู “นี่มันสุรา มิใช่น้ำ!”

 

 

ไป๋หลี่ชูมองดูนางเหมือนเพิ่งได้คิด เลิกคิ้วดกหนากล่าวว่า “อืม ตอนนี้ข้ารู้แล้ว”

 

 

ว่าแล้วก็หยิบป้านน้ำชารินใส่จอกสีเขียวยื่นให้ สายตาเหลือบมองแขนเสื้อที่เปื้อนอย่างไม่รู้ตัว

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางพิกลของเขาก็รู้สึกขนลุก จึงรีบชิงรับจอกในมือไม่ให้เขาป้อน แล้วดื่มน้ำจนหมดจอก “ฝ่าบาท จะเช็ดมือก่อนไหม”

 

 

ไป๋หลี่ชูประหลาดใจ “ทำไมจึงให้ข้าเช็ดมือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ส่อแววสงสัย “…เจ้าเป็นฝ่าบาทชูจริงหรือ”

 

 

นางคงมิใช่เห็นตัวปลอมกระมัง

 

 

ไป๋หลี่ชูถอนหายใจเบาๆ “ไม่ต้องรีบ ข้าเพียงอยากรู้ว่าข้าจะทนความสกปรกเช่นนี้ได้นานแค่ไหน”

 

 

“…ผลเป็นอย่างไร” ชิวเยี่ยไป๋ถาม

 

 

ไป๋หลี่ชูสะบัดแขนเสื้อแล้วเงยหน้ามองดูนางด้วยแววตาพิกล กล่าวอย่างอารมณ์ดีมากว่า “ไม่เลวทีเดียว ยากนักที่ข้าจะอดทนกับความสกปรกได้”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มอย่างอดทน รู้สึกว่าหางตาตนเองกระตุก “ท่านไม่ต้องทนก็ได้นี่!”

 

 

ไอ้หมอนี่มองดูผู้อื่นด้วยแววตาแสนรักแสนใคร่ ขณะเดียวกันก็พูดจาเสียดแทงกันเช่นนี้ ไม่รู้สึกแปลกประหลาดตัวเองบ้างหรือไร

 

 

ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ ราวกับจนใจ หยิบผ้าเช็ดมือเช็ดสิ่งสกปรกที่มุมปากของชิวเยี่ยไป๋เบาๆ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเสี่ยวไป๋เป็นคนรู้จักใส่ใจ แต่ในเมื่อข้าคิดจะอยู่ร่วมกับเสี่ยวไป๋ชั่วฟ้าดินสลาย เสพสมอย่างราบรื่น ย่อมต้องระมัดระวังบ้างเป็นธรรมดา เกิดไม่ทันระวังบี้เสี่ยวไป๋จนตายแล้วข้าจะทำอย่างไรล่ะ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วหน้ามืดแทบเป็นลม ต้องรีบใช้มือยันหน้าผากไว้ไม่ให้โขกกับโต๊ะ

 

 

นางรู้สึกว่าอนาคตตัวเองมืดมนจนน่าเวทนา ไม่ใช่สิ… เต็มไปด้วยเค้าลางแห่งความวิบัติต่างหาก!

 

 

ชั่วฟ้าดินสลาย…กับไอ้โรคจิตนี่นะหรือ!

 

 

ถ้าอย่างนั้นนางสู้ฆ่าตัวตายให้หมดเรื่องยังจะดีกว่า!

 

 

“เสี่ยวไป๋ไม่ต้องตื้นตันจนเกินไป นี่เป็นเรื่องที่ข้าควรทำอยู่แล้ว” ไป๋หลี่ชูเห็นท่าทางชิวเยี่ยไป๋เหมือนถูกฟ้าผ่าจะเป็นลม ดวงตางดงามที่ยกขึ้นจนแทบจะเป็นเส้นโค้งเปี่ยมด้วยมนตร์เสน่ห์ มือที่ปฏิบัติต่อนางยิ่งนุ่มนวลกว่าเดิม

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พลันรู้สึกว่ามีปลายนิ้วเย็นเยียบเช็ดที่ริมฝีปากนาง ทันทีที่สัมผัสกับริมฝีปากและผิวเนื้อบริเวณนั้น กลับทำให้นางมีสติแจ่มใส่ขึ้นท่ามกลางความงุนงง

 

 

นางฝืนยิ้มอย่างไร้เรี่ยวแรง และพยายามใช้มือปัดป้องให้นิ้วมือนั้นพ้นจากริมฝีปากตน “ขอบพระคุณฝ่าบาทที่เมตตา!”

 

 

ทำไมนางจึงรู้สึกว่าริมฝีปากถูกเช็ดจนแทบจะแตกแล้ว ไอ้หมอนี่จะทำอะไรกันแน่

 

 

ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะเมามันกับการเช็ดริมฝีปากนาง คล้ายกับว่าสัมผัสนั้นให้ความรู้สึกที่ดีมาก จึงโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้ง ใช้ปลายนิ้วขาวผ่องเย็นเยียบปาดริมฝีปากโดยตรง ปากก็พึมพำปลอบโยนว่า “เสี่ยวไป๋คนดี อย่าขยับนะ เดี๋ยวเดียวก็หายแล้ว”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถูกเขากดมือไว้ ขัดขืนอยู่สองครั้งไม่เป็นผลจึงได้แต่ปล่อยให้ไป๋หลี่ชูกดไว้ต่อไป และถูกอีกฝ่ายบดขยี้จนอยากร่ำไห้แต่ไม่มีน้ำตา

 

 

นางรู้สึกว่าปากของตนถูกเสียดสีจนเหมือนไส้กรอกปิ้งแล้ว!

 

 

ไอ้โรคจิตนี่จะเหมือนผู้เหมือนคนปกติสักวันได้ไหมหนอ แต่ดูเหมือนตั้งแต่นางพบกับเขาครั้งแรกก็ไม่เคยปกติอยู่แล้ว

 

 

ไม่รู้เพราะอะไรนางจึงศีรษะหนักอึ้งขึ้นทุกที ทั้งคันทั้งชาไปทั่วร่างและหมดเรี่ยวหมดแรงเหมือนแช่อยู่ในน้ำร้อน อุ่นสบายอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเมามาย

 

 

แต่จิตใต้สำนึกบอกนางว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ปลอดภัย หรือไอ้หมอนี่กำลังปล่อยกลิ่นหอมพรากวิญญาณประจำตัวอีกแล้ว