มดปลวกตัวน้อยก็โค่นต้นไม้ใหญ่ได้

 

เยวี่ยจี้กล่าวตอบว่า

“จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์แห่งเผ่าปีศาจที่เพิ่งเลื่อนระดับได้เมื่อล้านปีก่อน หากย้อนกลับไป เขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงยิ่งในยุคเดียวกับจอมเทพนิรันดร์และอีกหลายคน พวกเขาทุกคนล้วนปรารถนาว่าสักวันจักต้องขึ้นสู่อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ให้จงได้ ในหมู่พวกเขาเหล่านั้น จักรพรรดิเทพสวรรค์จิงชางและจอมเทพนิรันดร์ต่างเป็นคู่ปฎิปักษ์กันมาตั้งนานแล้ว หลังจากนั้นมา จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางได้รับผลวิญญาณเต๋าจักรพรรดิมาจากดินแดนจักรพรรดิสวรรค์ และทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้โดยตรง!”

 

สีหน้าของเย่หยวนตกลงทันใด เขากล่าวถามไปว่า

“ดังนั้นจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางจึงกลับไปฆ่าจอมเทพนิรันดร์? แล้วส่งพวกเจ้ามาขโมยสมบัติในดินแดนของเขา?”

 

เยวี่ยจี้เค้นเสียงหัวเราะอย่างขมขื่นและกล่าวว่า

“ในสายตาของจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชาง พวกเราเป็นได้แค่มดปลวก กระทั่งอาณาจักรราชันย์พระเจ้ายังไปไม่ถึง แล้วมีหรือที่บุคคลระดับจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางจะเรียกหาพวกเราโดยตรง? จอมเทพนิรันดร์มิได้ถูกจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางฆ่าตาย พลังฝีมือของจอมเทพนิรันดร์หาใช่ชนชั้นกินเจ ต่อให้เป็นยอดเซียนอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ยังยากที่จะฆ่าเขาได้เช่นกัน! จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางในตอนนั้นบาดเจ็บสาหัสกลับมา ส่วนที่ว่าใครเป็นคนฆ่าจอมเทพนิรันดร์ เรื่องนี้กลับไม่มีใครทราบ”

 

จากคำกล่าวของเยวี่ยจี้ เย่หยวนก็พอเข้าใจได้บ้างถึงเรื่องราวภายในมหาพิภพถงเทียน

ดูเหมือนว่ามหาพิภพถงเทียนแห่งนี้กลายเป็นนรกบนดินดีๆนี่เอง กอปรไปด้วยการฆ่าสังหารและฉกฉวยแย่งชิงโอกาสผลกำไรเต็มไปหมด ปรากฏว่า มหาพิภพถงเทียนแห่งนี้โหดร้ายเสียยิ่งกว่าดินแดนพฤกษานิรันดร์มาก

จุดหนึ่งที่เย่หยวนนึกเอะใจคือ หลังจากที่ศึกสัประยุทธ์ระหว่างจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชาง จอมเทพนิรันดร์ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และในตอนนั้นเองเขาก็ถูกลอบสังหารโดยคนโลภบางคนที่ต้องการฉกชิงสมบัติในตัวเขา

อย่างไรก็ตามแต่ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเย่หยวนเลย

 

เย่หยวนรู้จักจอมเทพนิรันดร์เพียงผิวเผินเท่านั้น และในเรื่องความสัมผัส มันยังห่างไกลเกินไปที่จะออกนามล้างแค้นให้แทนอะไรเทือกนั้น

ที่จอมเทพนิรันดร์สร้างดินแดนพฤกษานิรันดร์ขึ้นมา ทั้งหมดก็เพื่อเก็บรักษาสมบัติเวทย์สวรรค์และเต๋าของตัวเองเท่านั้น ส่วนเย่หยวนก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ได้รับผลพลอยได้ไป

สุดท้ายนี้นี่เป็นเรื่องผลประโยชน์ที่พึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน

เย่หยวนได้รับเต๋าของจอมเทพนิรันดร์ด้วยตนเองโดยที่อีกฝ่ายไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ

ลักษณะการสืบทอดชนิดนี้แตกต่างไปจากหลงเถิงที่ถ่ายทอดวรยุทธเผ่ามังกรให้เย่หยวนเองกับมือ นั้นคือความผูกผันเสมือนศิษย์-อาจารย์

ไม่ว่าจอมเทพนิรันดร์จะตายอย่างไร เย่หยวนก็ไม่มีเหตุอันใดที่ต้องไปช่วยล้างแค้นแทนเขา

 

แต่เรื่องราวความเดือดร้อนทั้งหมดที่ข่านนั่วและเยวี่ยจี้ก่อนขึ้น ไม่ว่าทั้งคู่จะได้รับคำสั่งมาทางตรงหรือทางอ้อม แต่เบื้องหลังผู้ชักใยตัวหมากทั้งหมดก็คือจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชาง

เย่หยวนมิได้สนใจเลยว่า จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางจจะเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน ต่อให้อีกฝ่ายเป็นถึงจอมเทพเต๋าบรรพกาล เย่หยวนเองก็ต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ได้ในสักวัน!

 

แค่ว่าหากพินิจมองจากตอนนี้ หนทางยังคงอีกยาวไกลนัก

 

เย่หยวนมิได้เอ่ยปากกล่าวอันใด เพื่อรอให้เยวี่ยจี้กล่าวต่อให้เสร็จ

 

“สิ่งที่จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางต้องการที่สุดคือ ไข่มุกสยบวิญญาณ! ดังนั้นเขาจึงสั่งผู้ใต้บัญชาให้ส่งข้ากับข่านนั่วมาในดินแดนพฤกษานิรันดร์ และผลที่ได้คือพวกเราก็พบมันจนได้!”

เยวี่ยจี้กล่าว

 

คู่สายตาเย่หยวนพลันหรี่แคบคล้ายจับผิด เขากล่าวถามขึ้นว่า

“ในเมื่อจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ แต่ไฉนยังต้องการสมบัติเวทย์สวรรค์ของจอมเทพนิรันดร์อยู่อีก บุคคลระดับชั้นนั้นย่อมมีสมับติล้ำค่าไม่ต่าง?”

 

เยวี่ยจี้คลี่ยิ้มบางแสนขมขื่นใจและกล่าวว่า

“สมบัติจักรพรรดิสวรรค์ประเภทจิตวิญญาณมันไม่ได้หาได้ง่ายๆเลย ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางเองก็ไม่เคยเห็นบ่อยนัก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไข่มุกสยบวิญญาณ อาจกล่าวได้ว่า มันเป็นสมบัติประเภทจิตวิญญาณระดับแถวหน้าของมหาพิภพถงเทียน! เมื่อผนวกรวมกับสมบัติราชาสวรรค์ชิ้นอื่นๆของจอมเทพนิรันดร์ จึงทำให้เขาสามารถต่อกรกับจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางได้เสมอมา เพียงว่าจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางค่อนข้างโชคดีกว่าอีกฝ่าย เพราะท้ายที่สุดนี้เขาได้เสาะพบผลวิญญาณเต๋าจักรพรรดิและทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้เป็นคนแรกในหมู่พวกเขาทั้งหมด”

 

เย่หยวนพยักหน้าตอบ ท้ายที่สุดนี้เขาก็พอจะเข้าใจถึงจุดเริ่มต้นและจุดจบของเรื่องราวทั้งหมดว่า เพราะเหตุใดเผ่าปีศาจถึงบุกมารุกรานดินแดนแห่งนี้

 

“จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางใช่หรือไม่? สักวันหนึ่ง ข้าจะทำให้มันรู้เองว่า มดปลวกตัวน้อยๆคนนี้ก็สามารถโค่นต้นไม้ใหญ่ได้!”

แววตาสาดประกายง้ำลึก จิตสังหารพรั่งพรูออกมาจากกายาเย่หยวนไม่หยุดหย่อน

 

เมื่อเห็นภาพฉากนี้ เยวี่ยจี้ถึงกับอึ้งพลางจับจ้องเย่หยวนอย่างมึนงง

คนที่กล้าพูดจาใหญ่โตขนาดนี้ได้ คงมีเพียงชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านางขณะนี้เท่านั้น

ยอดเซียนอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ นับเป็นการดำรงอยู่สูงสุดแห่งมหาพิภพถงเทียนแล้ว แม้กระทั่งจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางที่เพิ่งสำเร็จอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้เพียงล้านปี แต่ขุมพลังความแกร่งกล้ากลับทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นมดปลวกได้ในทันที

 

 

………………………..

 

 

มหาศึกสัประยุทธ์ครั้งใหญ่ได้ยุติลงแล้ว แต่ผลกระทบที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้รับยังคงปรากฏให้เห็นต่อไปจนชินตา

ดินแดนทั้งหมดของอาณาเขตมนุษย์ถูกทำลายสิ้นไม่เหลือ

เคล็ดสมบัติวิชามากมาย รวมไปถึงสิ่งปลูกสร้างอันเก่าแก่ของดินแดนต่างๆ ล้วนวินาศสิ้น เหลือแค่เพียงความว่างเปล่า

ยอดฝีมือของเผ่ามนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนถูกเปลี่ยนกลายเป็นทาสของเผ่าปีศาจ และพวกเขาทั้งหมดต่างถูกล้างบางจนเหี้ยนโดยฝีมือของเย่หยวน

มวลมนุษย์ที่ยังหลงเหลือได้เดินทางกลับสู่บ้านอีกครั้ง พร้อมกับประสบการณ์อันโหดร้ายที่ยังคงฝังลึกไปอีกนาน

อย่างไรก็ตามแต่ สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นเย่หยวนหาได้กังวลแม้แต่น้อย

 

จุดเด่นที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์คือการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจะสามารถบูรณะภูมิปัญญาต่างๆที่สูญสิ้นกลับมาได้อีกครั้ง

 

เย่หยวนตรงกลับมายังเผ่ามังกรเพื่อมาพบฟางเทียนและทุกคน

ทันทีที่มาถึง พวกเขาปรี่เร่งเอ่ยถามถึงอาการของมู่หลินเสวียในทันที

เย่หยวนได้แต่ส่ายหัวและกล่าวว่า

“อากการของหลินเสวียยังน่าเป็นห่วงถึงขั้นเลวร้าย ท่านอาวุโส ที่ข้ากลับมาก็เพื่อบอกลาทุกคน! ข้าต้องไปจากดินแดนแห่งนี้แล้ว พี่เต็ง จากนี้ต่อไปเรื่องราวต่างๆภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ต้องรบกวนท่านแล้ว”

คำกล่าวนี้ของเย่หยวนทำเอาทุกคนตื่นตะลึงหนัก

 

ฟางเทียนถอดสีหน้าเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า

“ข้าทราบแล้ว เจ้าจะออกเดินทางสู่โลกภายนอกใช่หรือไม่?”

 

เย่หยวนเผยสีหน้าแปลกใจทันควัน เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ดูเหมือนว่าท่านอาวุโสจะทำนายเรื่องนี้มาแล้ว! ในความเป็นจริง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เราอยู่อาศัยกันเป็นเพียงโลกเล็กๆใบหนึ่งเท่านั้น เหล่าเซียนจากโลกภายนอกเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า ดินแดนพฤกษานิรันดร์! ภายนอกยังมีมหาพิภพกว้างใหญ่ไพศาล! เพื่อช่วยหลินเสวีย ข้าจำต้องไป!”

 

แม้ฟางเทียนจะพอทำนายมาได้บ้างแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากปากเย่หยวน เขาเองก็ยังตกใจอย่างมาก

“เย่หยวน ยามนี้พลังของเจ้าอยู่ในระดับชั้นใด? ดูเหมือนว่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าทั่วไปยังอ่อนด้อยกว่าเจ้ามาก!”

ฟางเทียนสูดไอเย็นแช่มลึกพร้อมกล่าวถามขึ้น

 

เมื่อคนอื่นๆได้ยินเช่นนั้นก็อดเงี่ยหูฟังมิได้โดยพลัน

นี่เป็นคำถามที่ทุกคนต่างให้ความสนใจยิ่ง!

 

เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า

“ปัจจุบัน ข้าอยู่เพียงอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น ที่ข้าแข็งแกร่งเป็นพิเศษก็เพราะยามนี้ข้าเปรียบเสมือนผู้ปกครองดินแดนพฤกษานิรันดร์จึงสามารถควบคุมเต๋าได้”

 

“ฟู่วว…”

ทุกคนล้วนพรูลมหายใจแรงไม่หยุดหย่อน เรื่องนี้มิได้ยากเกินเข้าใจเลย

เย่หยวนมีสถานะเปรียบเสมือนผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ นั้นหมายความว่า จักรพรรดิดินแดนศักดิ์สิทธิ์รุ่นปัจจุบันก็คือเขาอย่างแม่นยำ!

กล่าวได้ว่า เย่หยวนคือพระเจ้าผู้ไร้เทียมทานแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์!

พระเจ้าผู้อยู่เหนือสรรพชีวิตทั้งมวล!

 

หากระลึกย้อนกลับไปถึงเส้นทางการเติบโตของเย่หยวนตั้งแต่อดีต เรื่องนี้ดั่งว่าฝันไป

 

“ถ้าเช่นนั้น…พวกเรายังพอมีหวังที่จะบรรลุอาณาจักรพระเจ้าบ้างหรือไม่?”

เต็งหยุนเอ่ยถามขึ้นด้วยความวิตกกังวล

คำถามนี้เป็นตัวแทนของทุกคนอย่างแท้จริง

ในเมื่อเย่หยวนสามารถบรรลุอาณาจักรพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว…พวกเขาจะสามารถบรรลุได้บ้างหรือไม่?

 

ทว่าเย่หยวนกลับส่ายหัวและกล่าวว่า

“ข้าได้สร้างศาสตร์แห่งสวรรค์ขึ้นภายในกายตัวเองด้วยเต๋าแห่งโอสถ จึงทำให้ข้าสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นได้ และอีกประการคือ เพราะข้าได้การรับยอมจากเต๋าในดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้ จึงอนุญาตให้ข้าขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ สำหรับพวกท่านในตอนนี้ เกรงว่ายังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้”

เมื่อได้ยินคำตอบจากปากเย่หยวน สีหน้าทุกคนต่างเผยให้เห็นถึงความผิดหวังอย่างชัดแจ้ง

 

เย่หยวนคลี่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า

“แต่มันสำหรับแค่ตอนนี้เท่านั้น! ตราบใดที่ข้าสามารถออกเดินทางสู่โลกภายนอกได้สำเร็จ และแกร่งกล้ามากขึ้น ในอนาคตข้าจะเสาะหาทุกวิถีทางเพื่อทำให้ดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้ให้กำเนิดศาสตร์แห่งสวรรค์อีกครั้ง! เมื่อถึงเวลานั้น พวกเจ้าทุกคนจะสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้แน่นอน!”

เพียงประโยคนี้เพียงประโยคเดียว ก็ต่างทำให้ทุกคนตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก

เว้นเสียแต่ฟางเทียนที่รู้สึกผิดสังเกตและตระหนักได้ถึงความผิดปกติจากคำพูดของเย่หยวน

 

หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็แยกย้ายกลับไปกัน เหลือเพียงฟางเทียนและเย่หยวนเท่านั้นในห้องโถงกว้าง

ฟางเทียนกล่าวขึ้นว่า

“เย่หยวน จงกล่าวโดยสัตย์จริงเถอะ การจะเดินทางออกไปโลกภายนอกคงมิได้ราบรื่นเลยจริงไหม?”

 

เย่หยวนยิ้มอย่างรู้ทัน เขาทราบแต่แรกแล้วว่า ไม่มีความลับใดที่สามารถซ่อนจากฟางเทียนได้มิด ดังนั้นเขาจึงเริ่มอธิบายถึงเรื่องห้วงอวกาศและภาพรวมทั้งหมดของดินแดนต่างๆ รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าทั้งหมดหายตัวไปชั่วข้ามคืนเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน

 

 

ฟางเทียนสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจเมื่อได้ฟัง เขาตระหนักทราบทันทีว่า ห้วงอวกาศนี้มันอันตรายเพียงใด

 

“ไม่มีทาง! กระทั้งเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้านับร้อยยังพลาดท่าตายในห้วงอวกาศนั้น! แล้วตัวเจ้าเพียงคนเดียวจะมีปัญญาฝ่าออกไปได้อย่างไร! เจ้าคิดให้ดีอีกทีเถอะ!”

ฟางเทียนกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจนัก

 

เย่หยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า

“ท่านอาวุโส อย่ากล่าวเช่นนี้เลย! หลินเสวียถึงขั้นเสียสละชีวิตตนเองเพื่อช่วยช้า แล้วจะให้ข้าดูนางตายอยู่เฉยๆได้อย่างไร? คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนทางข้างนอกจะไร้ภัยอันตราย แต่ถึงเกิดอะไรขึ้นกับข้าก็ตาม ข้าเองก็ไม่เสียใจ!”

 

ฟางเทียนที่ได้เห็นความมุ่งมั่นของเย่หยวน เขาก็ทราบทันทีว่าตนไม่สามารถกล่าวโน้มน้าวใจใดๆได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงตรงเข้ามาตบไหล่เบาๆและกล่าวด้วยความเป็นห่วงว่า

“เจ้าเป็นคนดีที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกและมิตรภาพยิ่งกว่าสิ่งใด! เอาล่ะ ขอให้การเดินทางครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี จงระวังตัวให้มาก!”