ทำลายตราผนึก

 

“ลี่เอ๋อ ข้าขอโทษ!”

ใต้แสงจันทร์นวล เย่หยวนและเยวี่ยเมิ่งลี่กำลังยืนเคียงกายพร้อมความรู้สึกผิดติดตัว

ตามแผนเดิมที่เย่หยวนตั้งใจให้เป็นคือ ทันทีที่เขาสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ และยุติเรื่องราวความเดือดร้อนทั้งหมดบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ลง เขาจะจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้แก่เยวี่ยเมิ่งลี่

ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับจางหายไปดั่งควัน

มู่หลินเสวียสละชีวิตของนางเพื่อเย่หยวน ยามนี้เขาไม่สามารถแต่งงานกับลี่เอ๋อได้อีก

เย่หยวนเพิ่งค้นพบว่า ตัวเขาหลงรักหญิงสาวทั้งสองในเวลาเดียวกัน

เย่หยวนคิดเสมอมาว่า เขาสามารถลืมมู่หลินเสวียไปได้ แต่เสี้ยวอึดใจที่มู่หลินเสวียสำแดงใช้ใต้หล้าเหมันต์แสนลี้ เย่หยวนก็รู้สึกเปรี่ยวเหงาว่างเปล่าเกินพรรณนา

ในเวลานั้น เย่หยวนค้นพบว่ายิ่งพยายามห้ามใจตัวเองเท่าใด ความรู้สึกเหล่านั้นกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเท่านั้น

 

“อย่าได้กล่าวขอโทษ! หากกล่าวตามตรง กลับเป็นข้าที่ควรขอโทษเสียมากกว่า! หากมิใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของข้า ท่านกับพี่มู่คงได้กลับมาพบกันอีกครั้ง และจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเลย! ข้า…”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เยวี่ยเมิ่งลี่ก็ร่ำไห้ออกมาโดยมิตั้งใจ

นางเสียใจกับการจากไปของมู่หลินเสวีย!

สองสามวันมานี้เอง เยวี่ยเมิ่งลี่จมอยู่กับความเศร้าและน้ำตามาโดยตลอด

ภาพฉากที่มู่หลินเสวียสละชีพในตอนนั้น นางเห็นอย่างชัดเจนภายในเจดีย์เลื่องสวรรค์

สิ่งนี้แทบทำให้หัวใจของนางแตกสลาย

เยวี่ยเมิ่งลี่คาดไม่ถึงเลยว่า มู่หลินเสวียจะเป็นคนใจเด็ดถึงเพียงนี้!

ในขณะเดียวกัน นางก็รู้ว่าความรักของมู่หลินเสวียที่มีต่อเย่หยวนเองก็มิได้น้อยไปกว่านางเช่นกัน!

หากเพียงแต่รักแท้เท่านั้นที่สามารถนำพาผู้คนให้ถึงขั้นสละชีพแทนกันได้

เรื่องนี้นางเข้าใจดี เพราะถ้าตอนนั้นเปลี่ยนเป็นลี่เอ๋อ นางเองก็ยอมสละชีวิตโดยไม่ลังเลเช่นกัน

ในตอนนั้น นางทั้งรู้สึกเลื่อมใสและอิจฉาจอมราชันย์เหมันต์นางนี้ในเวลาเดียวกัน

เพราะคำพูดเหล่านั้นของเย่หยวน ได้สลักฝังลึกลงภายในหัวใจของนาง

 

เย่หยวนดึงเยวี่ยเมิ่งลี่เข้ามากอดอยู่ในอ้อมอกอย่างรักใคร่ เขากล่าวขึ้นเบาๆพลางถอนหายใจไปว่า

“อย่าร้องไห้อีกเลย! เจ้ารู้จักหัวใจของข้าดีกว่าใครๆ เรื่องของมู่หลินเสวียได้ปักหลักฝังลึกอยู่ในใจข้ามาโดยตลอด แต่ตัวเจ้าในใจของข้าก็มิได้ด้อยกว่านางเลยแม้สักนิด! เพียงว่าตอนนี้อาการของหลิยเสวียค่อนข้างสาหัส และข้าคงไม่สามารถหลอกใจตัวเองได้อีก”

แน่นอน ถ้อยคำนี้ของเย่หยวนทำให้ลี่เอ๋อหยุดร่ำไห้ เพราะนางทนไม่ได้หากต้องทำให้เย่หยวนรู้สึกผิดไปมากกว่านี้

 

“พี่ใหญ่หยวน ท่านไม่ต้องกล่าวอันใดอีกแล้ว ข้าเข้าใจดี! ไปมหาพิภพถงเทียนเถิด! ท่านต้องช่วยพี่มู่ให้ได้ มิฉะนั้น…ข้าเองก็ไม่มีหน้าอยู่ต่อไปแล้วเช่นกัน! ข้า…ข้าจะอยู่ด้วยตัวเองให้ได้!”

 

เย่หยวนยกมือปาดน้ำตาให้นางอย่างเบามือ และกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า

“เจ้าต้องทำได้แน่นอน! แล้วสักวันข้าจะกลับมา หรือเจ้าไม่เชื่อใจข้า?”

 

ลี่เอ๋อเงยหน้าจับจ้องเย่หยวน ก่อนพยักหน้าหนักแน่นด้วยความเชื่อมั่น

เนื่องจากห้วงอวกาศเป็นห้วงมิติไร้ความเสถียรและปั่นปวนตลอดเวลา มันจึงอันตรายอย่างหาที่เปรียบไม่ หากเย่หยวนนำเจดีย์เลื่องสวรรค์ขึ้นไปด้วย มีหวังมันคงถูกบดขยี้ไม่เหลือดีแน่นอน!

 

ดังนั้นแล้ว เย่หยวนจึงต้องเดินทางฝ่าห้วงอวกาศออกไปเพียงลำพัง

ยามนี้ เย่หยวนได้แยกเจดีย์เลื่องสวรรค์กับศิลาจารึกเลื่องสวรรค์ออกจากกันแล้ว สิ่งที่นำติดตัวไปด้วยคือ ไข่มุกสยบวิญญาณและศิลาจารึกเลื่องสวรรค์!

 

“เจ้ารออยู่ที่นี่ด้วยกันกับอิ้งหมัวหู่ จงหมั่นบ่มเพาะฝึกปรือเพื่อรอวันที่พวกเจ้าจะสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ ข้าจะเสาะหาทุกวิถีทางและนำศาสตร์แห่งสวรรค์กลับมา ยามนั้นข้าคงประสบความสำเร็จในระดับนึงแล้วบนมหาพิภพถงเทียน!”

เย่หยวนกล่าว

ในปัจจุบัน เย่หยวนได้รับเลือกให้ขึ้นกลายเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ไปแล้ว ตราบใดที่เขาสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพลังที่สูงกว่านี้ เขาย่อมหาทางชักพาศาสตร์แห่งสวรรค์กลับคืนมาได้แน่นอน!

ในเวลานั้น เหล่านักสู้ทุกคนบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะสามารถกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้อีกครั้ง!

 

“พี่ใหญ่หยวนโปรดมั่นใจ ข้าจะฝึกฝนอย่างหนัก!”

เยวี่ยเมิ่งลี่กล่าวตอบ

 

เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า

“อืม ความแกร่งกล้าของเจ้าในตอนนี้เองก็ก้าวหน้าขึ้นมากแล้ว จนกล่าวได้ว่ามีน้อยคนนักในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถต่อกรกับเจ้าได้ นี่ทำให้ข้าอุ่นใจได้หลายเปาะ และเพื่อให้แน่ใจที่สุด พรุ่งนี้ข้าจะไปช่วยปลดผนึกให้กวนควานเทียนจากป่าพิรุณโลหิต ตราบใดที่ยังมีเขาอยู่ใกล้ๆ จะไม่มีใครสามารถพลิกฟ้าคว่ำสมุทรคิดกบฎต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้แน่นอน ทันทีที่ข้าแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ข้าจะกลับมาหาเจ้าแน่นอน!”

 

 

………………………….

 

 

 

ทันทีทันใด ร่างของเย่หยวนก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตากวนควานเทียน

ปฏิกิริยาการแสดงออกของอีกฝ่ายตื่นตกใจยิ่งราวกับกำลังเห็นผีเมื่อมองเย่หยวน พลางอุทานลั่นอย่างไม่น่าเชื่อ

“เจ้า…เจ้าทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้แล้วจริงๆ! นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?! ทั้งๆที่ศาสตร์แห่งสวรรค์สูญสิ้นไปหมดแล้ว…”

กวนควานเทียนแทบไม่อยากเชื่อสายตาที่เห็น แต่รัศมีกลิ่นอายที่พรั่งพรูออกจากร่างกายเย่หยวน แม้กระทั่งเขาเองยังสั่นกลัวไม่มีสิ้นสุด

กลิ่นอายชนิดนี้ไม่สามารถตบตาเขาได้!

 

เย่หยวนมิได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่กล่าวเชิงหยอกขึ้นว่า

“หุหุ ท่านอาวุโสกวนควานเทียน ท่านถูกจั่วซ่งกักขังมาตั้งเนินนานเป็นล้านปี มิใช่ว่าท่านอยากออกไปจากที่นี่?”

 

กวนควางเทียนยืนแข็งทื่อในบัดดล เขากล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจว่า

“ออกไปจากที่นี่? เจ้าอย่าล้อข้าเล่นเช่นนี้! อย่าบอกนะว่า…ที่เจ้ามาในวันนี้ก็เพื่อนำข้าออกไป?”

 

เย่หยวนยักไหล่ตอบและกล่าวว่า

“ก็เป็นเช่นนั้นแหละ”

 

กวนควานเทียนสวนกลับไปทันทีโดยมิสนใจว่า

“ไอ้เด็กคนนี้ เจ้ามาหยอกข้าเล่นจริงๆใช่หรือไม่? แม้จะขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าแล้วก็ตาม แต่นั้นเป็นเพียงอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น! ความแข็งแกร่งแค่นี้จะช่วยนำข้าออกไปได้อย่างไร? นี่ไม่ตลกเลย!”

เย่หยวนคลี่ยิ้มตอบแต่มิได้กล่าวอะไรสักคำ เขาเอื้อมมือออกไปเพื่อบิดห้วงแห่งความว่างเปล่าเล็กน้อย ทว่าทันทีทันใด ทั่วทุกซอกมุมภายในป่าพิรุณโลหิตพลันสั่นกระเพื่อมอย่างแรง

เหล่าสัตว์อสูรเถื่อนและสมุนไพรวิญญาณมากมายตื่นตระหนกกันยิ่งตามสัญชาตญาณ และไม่ทราบเลยว่านี่กำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น

 

บูมมมม!

 

ม่านพลังผนึกที่ปกคลุมทั่วทั้งอาณาเขตระดับเจ็ดคล้ายโซ่ตรวนเส้นยักษ์ ยามนี้ถูกทำลายไม่เหลือซากพร้อมเสียงระเบิดดังสนั่น

ชายร่างกำยำผู้หนึ่งค่อยๆย่างกรายออกมาด้วยความไม่น่าเชื่อ นั่นจะเป็นใครได้อีกนอกจากกวนควานเทียน?

เพียงว่าตอนนี้ ความตื่นตกใจถูกสลักเขียนอยู่ทั่วทุกมุมบนใบหน้าของเขา

 

แค่เย่หยวนสะบัดไม้สะบัดมือเล็กน้อยก็สามารถทำลายตราผนึกของจั่วซ่งได้ นี่เป็นไปได้อย่างไร?

ปรากฏว่า เย่หยวนมาที่นี่มิใช่เพื่อหยอกล้อเขาเล่น แต่มาเพื่อช่วยปลดปล่อยเขาออกไปจริงๆ!

 

“ขอแสดงความยินดีด้วยกันท่านอาวุโส ในที่สุดท่านก็ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง!”

ตราผนึกทั้งหมดของจั่วซ่งถูกทำลายโดยสิ้นแล้ว ป่าพิรุณโลหิตในปัจจุบันถูกปลดปล่อยเป็นอิสระแล้วโดยพลังศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวน

เมื่อสามจอมราชาอสูรในอาณาเขตระดับหกเห็นกวนควานเทียนถูกปลดปล่อยเป็นอิสระ พวกเขาก็เร่งแห่มาแสดงความยินดีปรีใจ

 

กวนควานเทียนโบกมือเจือรำคาญเล็กน้อย ก่อนเบี่ยงสายตาจับจ้องเย่หยวนด้วยความสงสัยว่า

“เจ้าเด็กคนนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ต่อให้เป็นท่านเซียนเต๋าสวรรค์กลับชาติมาเกิดใหม่ ก็มิอาจทำลายตราผนึกของจั่วซ่งได้ง่ายๆ เจ้า…เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”

 

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“ต่อหน้าผู้ควบคุมเต๋าได้ จั่วซ่งยังนับเป็นอันใด?”

 

ทั่วทั้งร่างกายกวนควานเทียนสั่นสะท้านในทันใด พลางจับจ้องเย่หยวนเสมือนเห็นผี

เรื่องนี้ทำเอาห้วงความคิดของเขาขาวโพลนนึกอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ยามนี้คล้ายชายไร้สติจับจ้องเย่หยวนดั่งคนโง่งม

นั้น…คือกลิ่นอายแห่งเต๋านี่เอง!

แต่เย่หยวนสามารถควบคุมเต๋าได้อย่างไร?

กวนควานเทียนคล้ายผลัดตกลงสู่เหวแห่งความโกลาหลในทันใด

นี่มันเรื่องอะไรกัน? เขาไม่สามารถเข้าใจได้เลยแม้สักนิด!

 

เย่หยวนเองก็มิได้มีเจตนาปิดบังเรื่องราวใดๆ พร้อมเอ่ยอธิบายแถลงไขเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาคร่าวๆให้แก่กวนควานเทียนฟัง รวมไปถึงเรื่องการหลอมกลั่นโอสถท้าทายสวรรค์และการปราบปรามเผ่าปีศาจ

 

เสมือนกับว่าสมองของกวนควานเทียนลัดวงจรชั่วขณะใหญ่ เขายืนแข็งค้างด้วยความตกตะลึงเช่นนั้นไปสักครู่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสามจอมราชาอสูรที่อยู่ข้างๆ!

พวกมันทั้งสามสบตากันไปมาพร้อมสีหน้าอันไม่อยากจะเชื่อ!

เมื่อพวกมันนึกถึงตอนที่เย่หยวนเข้ามาในอาณาเขตระดับหก เขายังเป็นแค่เด็กน้อยอันไร้พิษภัยในสายตาของทั้งสามอยู่เลย

แล้วนี่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ปี แต่เด็กน้อยในวันนั้นกลับเติบใหญ่กลายเป็นผู้ปกครองดินแดนที่อยู่เหนือสรรพสิ่งชีวิตไปแล้ว?

ความรู้สึกแบบนี้เสมือนกับฝันไป!

 

“จะ-เจ้า เจ้าจะบอกว่า เทพอสูรเทวะข่านนั่วและเยวี่จี้ถูกจัดการลงไปแล้ว? ตอนนี้พวกมันกำลังรอความตายอย่างสิ้นหวัง?”

กวนควานเทียนตื่นตกใจจนกล่าวไม่เป็นภาษา

 

พลันได้ยินชื่อข่านนั่ว จิตสังหารหอบหนึ่งปะทุขึ้นจากกายเย่หยวนโดยมิได้ตั้งใจ

ไม่เพียงสามจอมราชาอสูร แม้แต่กวนควานเทียนยังถึงกับขนลุกซู่ยันหนังหัวด้วยความกลัว

แค่เศษเสี้ยวจิตสังหารที่เล็ดลอดออกจากร่างเย่หยวน แต่นั้นช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง!

นี่คือทรงพลังของผู้ปกครองดินแดน!