บทที่ 217 ออกจากเมืองซานหยวน
“วันนี้ผมจะไปจากเมืองซานหยวนแล้ว รบกวนปรมาจารย์โอวโหวหยางช่วยจัดการรับมือกับคนพวกนั้นที” หลัวซิวกล่าว
จนถึงตอนนี้หลัวซิวยังไม่ได้ทำตามความตั้งใจที่จะขยายเครือข่ายเพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของตนเลย หากเขาสามารถกลั่นยาระดับ 5 จนถึงระดับ 6 ออกมาได้ และสามารถรวมตัวผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ขึ้นไปมาได้ นี่ต่างหากที่จะมีส่วนช่วยในการส่งเสริมอำนาจของเขา
ส่วนผู้ที่อยู่ในระดับปรมาจารย์ฝึกจิตนั้น……แน่นอนว่ายังไม่พอ
“วันนี้ปรมาจารย์หลัวซิวจะไปแล้วหรือ” หลังจากที่ส่งพวกปรมาจารย์ฝึกจิตกลับไปกันหมดแล้ว โอวโหวเหลียงก็กลับมาด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ตั้งแต่ที่เขาได้รับม้วนหยกมาจากหลัวซิว เขาก็มีแรงบันดาลใจขึ้นมาก แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถยกระดับประสิทธิผลและคุณภาพยาขึ้นมาได้ แต่ประสิทธิภาพในการกลั่นยาของเขาก็พัฒนาขึ้นมา หากเป็นเมื่อก่อนการกลั่นยาระดับ 4 หนึ่งเตาต้องใช้เวลาถึงครึ่งวัน แต่ตอนนี้เขาใช้เวลาเพียงสองชั่วยามก็เพียงพอแล้ว
เขามีความเชื่อว่าหากหลัวซิวยังอยู่ที่นี่ต่อ แล้วคอยอธิบายความสงสัยของเขา ระดับการกลั่นยาของเขาจะต้องพัฒนาขึ้นราวติดปีกอย่างแน่นอน
ในใจของโอวโหวเหลียงตอนนี้ ไม่รู้ว่าเขาเริ่มเกิดความรู้สึกเลื่อมใสในตัวหลัวซิวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะแม้แต่อาจารย์ที่มีชื่อเสียงในการสอน อายุวัยรุ่นเท่านี้ยังไม่มีความสามารถในการกลั่นยาได้เท่าเขา พรสวรรค์ของเขานับว่าร้ายกาจนัก
ขอเพียงเวลาที่มากกว่านี้ คาดว่าอีกไม่นานนัก เจ้าหนุ่มคนนี้จะต้องกลายเป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้น 5 ที่เขาได้แต่แหงนหน้ามอง
“จริงสิ ผมอยากขอให้ปรมาจารย์โอวโหวช่วยผมสักเรื่อง” หลัวซิวเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา
“ขอแค่ไม่เกินความสามารถของข้า ข้าจะต้องช่วยอย่างไม่มีข้อแม้” โอวโหวเหลียงตอบออกมาทันที
หลัวซิวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาสัมผัสได้ว่าโอวโหวเหลียงมีเจตนาดีกับตน แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงปรมาจารย์กลั่นยาระดับ 4 แต่ภายในสมาชิกของแก๊งนักกลั่นยา เขากลับมีช่องทางและอำนาจอยู่บ้าง ดังนั้นจึงนับว่าจะเป็นประโยชน์กับเขาไม่น้อยในวันข้างหน้า
“ผมอยากได้น้ำแร่วิญญาณ ผลหู่หยางจูและหญ้าวิญญาณ ไม่ทราบว่าปรมาจารย์โอวโหวหยางพอจะมีช่องทางให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบทั้งสามชนิดนี้หรือไม่” หลัวซิวกล่าวถามออกไปตามตรง
น้ำแร่วิญญาณ ผลหู่หยางจูและหญ้าวิญญาณ……
เมื่อโอวโหวเหลียงได้ยินชื่อวัตถุดิบทั้งสามประเภทนี้ สีหน้าของเขาก็กระตุกเกร็ง
เพราะของเหล่านี้ล้วนเป็นตัวยาหลักที่ใช้ในการกลั่นยาวิญญาณหยินหยาง
ยาวิญญาณหยินหยางเป็นยาระดับ 6 แถมยังเป็นยาระดับ 6 ที่อยู่ในระดับสูง ทั่วทั้งประเทศเทียนหวูนี้มีเพียงปรมาจารย์ระดับ 6 ในเมืองหลวงเท่านั้นที่สามารถกลั่นยาออกมาได้
นอกจากนี้ยาวิญญาณหยินหยางยังเป็นยาที่ใช้ในการรักษาเทพจิตที่บาดเจ็บโดยเฉพาะ
ในมุมมองของโอวโหวเหลียง หลัวซิวไม่มีทางใช้ยาชนิดนี้ได้ เพราะยานี้จัดทำไว้สำหรับผู้แข็งแกร่งที่เป็นจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้นสิ่งแรกที่เขานึกถึงก็คืออาจารย์ปริศนาที่อยู่เบื้องหลังหลัวซิวเท่านั้น
หลัวซิวไม่ได้อธิบายอะไรออกไป โอวโหวเหลียงจึงไม่กล้าถามเช่นกัน
“ของทั้งสามชนิดนี้มีแค่ในประเทศเทียนหวูเท่านั้น ข้าสามารถใช้ช่องทางภายในของแก๊งนักกลั่นยาช่วยเจ้าสืบข่าวเรื่องนี้ได้”โอวโหวเหลียงกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวจึงพยักหน้า ของทั้งสามชนิดนี้หลัวซิวไม่ได้รีบร้อนอยากได้มากนัก เพราะยาวิญญาณหยินหยางนี้ อย่างน้อยๆ เขาต้องฝึกตนให้ถึงระดับราชายุทธ์ก่อนถึงจะสามารถกลั่นยาได้
ทว่าขอเพียงเขารู้ว่าของเหล่านี้ปรากฏอยู่ที่ไหน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“เช่นนั้ต้องขอรบกวนปรมาจารย์โอวโหวช่วยผมตามหาของทั้งสามชนิดนี้แล้ว และวานติดต่อผมเมื่อได้ข่าว” หลัวซิวกล่าว
จากนั้นเขาจึงหยิบกล่องส่งเสียงออกมา จากนั้นจึงช่วยโอวโหวเหลียงประทับตราลงบนกล่องส่งเสียง เพื่อใช้ในการติดต่อซึ่งกันและกันในวันข้างหน้า
เมื่อทุกอย่างตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว หลัวซิวจึงกล่าวลาโอวโหวเหลียง และตามหาประตูสู่แดนนานาอสูรบริเวณใกล้เคียงเมืองซานหยวน
บริเวณประตูเมืองซานหยวนมีป้ายประกาศจับถูกติดเอาไว้ โดยเป็นรูปของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ผู้ใดก็ตามที่สามารถให้เบาะแสที่มีประโยชน์จะได้รับการตอบแทนจากตระกูลเหยียน เมืองกู่เจี้ยนอย่างสูง
ประกาศจับถูกติดเอาไว้ทั่วบริเวณเมืองกู่เจี้ยน จึงเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าตระกูลเหยียนยังจับตัวเหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่ได้
สำหรับหลัวซิวแล้ว นี่ไม่นับว่าเป็นข่าวร้ายเท่าไหร่นัก
หลัวซิวใช้เวลาทั้งสิ้นสามวัน กว่าจะสัมผัสได้ถึงการขยับตัวของหยกจันทราคู่อสูรบริเวณเชิงเขาห่างจากเมืองซานหยวนไปสามร้อยกว่าเมตร
บริเวณเชิงเขามีแท่นบูชาทรุดโทรมหลังหนึ่ง สัญลักษณ์ลายเส้นค่ายกลที่อยู่ด้านบนทั้งหมดถูกทำลายไปสิ้น เห็นได้ชัดว่าถูกปล่อยรกร้างมาหลายปีแล้ว
“ทุกท่านตามผมมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ออกมาได้แล้วล่ะ”
หลัวซิวหันไปมองผืนป่าบริเวณเชิงเขา เขารู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตามมาตั้งแต่ตอนที่เขาออกจากแก๊งนักกลั่นยาที่เมืองซานหยวนแล้ว
แม้ว่าคนพวกนี้จะคิดว่าตัวเองซ่อนตัวได้ดีมากแล้ว แต่จากกระแสสัมผัสพลังชีวิต พลังชีวิตที่สุกสว่างเปล่งแสงราวหิ่งห้อยกลางคืนมืดที่สดใสชัดเจน
หากไม่มีกระแสสัมผัสพลังชีวิต ต่อให้ตัวสำนึกของเขาเทียบเท่ากับการฝึกจิตช่วงกลางก็อาจจะไม่สามารถค้นพบการสะกดรอยตามของคนพวกนี้ได้
เงาของคนทั้งสี่เดินออกมาจากป่า สีหน้าของพวกเขารู้สึกประหลาดใจกับหลัวซิวมากที่ค้นพบว่าพวกเขาสะกดรอยตามมา
หลัวซิวกวาดตามองคนทั้งสี่ ผู้ที่นำมาคือผู้อาวุโสคนหนึ่ง ด้านหลังมีชายวัยกลางคนสามคนเดินตามหลังมา การฝึกตนของผู้อาวุโสคนนั้นคือระดับฝึกจิตขั้น 5 ส่วนที่เหลืออีกสามคนอยู่ในระดับฝึกจิตขั้น 3
“ฮ่าๆ ผู้น้อยค้นพบพวกเราได้ ข้ารู้สึกประหลาดใจนัก” สีหน้าของผู้อาวุโสคนนั้นยิ้มแย้มพลางเดินเข้ามา
“ทุกท่านตามผมมาตลอดทางตั้งแต่เมืองซานหยวน ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดหรือ” หลัวซิวเอ่ยถามอย่างแข็งกระด้างพร้อมๆ กับปล่อยห้วงยุทธ์กระบี่ของตัวเองออกมา
เมื่อรับรู้ได้ถึงความดุร้ายที่พุ่งตรงเข้ามาที่พวกตนอย่างรุนแรง สีหน้าของผู้อาวุโสและผู้ติดตามพลันแปรเปลี่ยนไปพร้อมๆ กัน
ห้วงยุทธ์! มีเพียงราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งบางคนเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมห้วงยุทธ์ได้ ทว่าตอนนี้กลับปรากฏอยู่ในตัวของเด็กหนุ่มที่มีอายุราว 15 ปีคนหนึ่ง
ผู้อาวุโสหรี่ตาลง “ผู้น้อยอายุยังน้อยแต่กลับเป็นถึงปรมาจารย์กลั่นยาขั้น 4 ได้ ไม่ทราบเป็นใครมาจากไหนหรือ”
หลัวซิวไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรที่ผู้อาวุโสคนนี้เรียกตนว่าปรมาจารย์นักกลั่นยาขั้น 4 เพราะว่าเขาเคยปรากฏตัวที่แก๊งนักกลั่นยา แถมยังเคยเข้าร่วมการประเมินนักกลั่นยาขั้น 3 ขอแค่เป็นคนที่มีความตั้งใจสืบสักหน่อยก็จะพอเดาออกได้ว่าปรมาจารย์นักกลั่นยาขั้น 4 ที่เมืองซานหยวนก็คือเขา
“ไม่มีความจำเป็นต้องบอก” หลัวซิวกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา
ผู้อาวุโสคนนั้นไม่ได้ถือสาความเฉยชาของหลัวซิวเท่าไหร่นัก สีหน้าของเขายังคงปรากฏรอยยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “ข้าเป็นตัวแทนของตระกูลเหยียน อยากจะขอเชิญผู้น้อยไปเป็นแขกของตระกูลเหยียนของพวกเราสักครั้ง”
“ผมไม่สนใจ ถ้าหากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ทุกท่านก็กลับไปเถิด” หลัวซิวปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย
“ในอาณาเขตเมืองกู่เจี้ยน ไม่เคยมีใครกล้าปฏิเสธตระกูลเหยียนมาก่อน ผู้น้อยจะไม่ลองทบทวนดูใหม่หรือ” รอยยิ้มของผู้อาวุโสหายไป สีหน้าปรากฏความหมองคล้ำมาแทนที่
ในเวลาเดียวกันนั้น ปรมาจารย์ฝึกจิตสามคนที่อยู่ด้านหลังของเขาก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วยืนล้อมเขาเอาไว้เป็นโค้งรูปพัด
“ตระกูลเหยียนแล้วอย่างไร คนอื่นอาจจะกลัวพวกท่าน แต่ในสายตาของข้าตระกูลเหยียนไม่มีความหมายอะไรสักนิด!” หลัวซิวหัวเราะร่าออกมาอย่างไม่ไยดี
“บังอาจ! ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เห็นว่าตัวเองมีฝีมือหน่อยแล้วจะไม่เห็นตระกูลเหยียนของพวกเราอยู่ในสายตาแบบนี้เชียวหรือ”[1][1]