ตอนที่ 359 ปลาติดแหแล้ว

แม่ครัวยอดเซียน

“ควรจะได้เก็บแหได้แล้ว ปลาที่เลี้ยงไว้อ้วนฉุพอแล้ว” หลิวหลีพึมพำกับตนเอง

“ใช่ อยู่ดีๆก็อยากเห็นวินาทีที่ประกาศความจริง คงต้องสนุกมากแน่” หนานกงเวิ่นเทียนพูด พอถึงตอนที่กัดกันเองจะต้องสนุกมากแน่

“เด็กสองคนฟื้นแล้ว” ทั้งสองประสานเสียง แล้วก็รีบเดินไปจนไม่เห็นฝุ่น

“หลิวหลี เวิ่นเทียน เด็กสองคนฟื้นแล้ว” เสียงของเอ๋าเลี่ยเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“ท่านน้าหลิวหลี ข้าเจ็บ” เด็กทั้งสองออดอ้อน ดีจริงๆ สิ่งที่พวกเขาเห็นเป็นสิ่งสุดท้ายก็คือท่านน้าหลิวหลี ท่านน้ามาช่วยพวกเขาเอาไว้

“พวกเจ้านี่นะ ถือได้ว่าพวกเจ้าต้องมาเจอภัยอันตรายที่คาดไม่ถึงนี้เพราะข้า แต่พวกเจ้าวางใจได้ ไม่นานข้าก็จะจะแก้แค้นให้พวกเจ้าได้แล้ว ต่อไปพวกเจ้าสองคนต้องระวังตัว ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของข้ายังต่ำต้อยนัก ไม่สามารถปกป้องพวกเจ้าได้ตลอดเวลา” หลิวหลีลูบศีรษะเด็กทั้งสองอย่างรักใคร่ มองดูใบหน้าน้อยๆ ที่ขาวซีดนั่น ในใจเริ่มคิดว่าจะหาสิ่งใดมาบำรุงเลือดและลมปราณดี

“ท่านน้าหลิวหลี ครั้งนี้พวกเราคิดไม่ถึงว่าจะมีคนยื่นมือเข้ามาสอด พวกเราจะตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญเพียร” ปิงเซียวพูด เล่นงานท่านน้าไม่ได้ถึงเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นพวกเขา พวกเขาจะไม่มีทางเป็นจุดอ่อนของท่านน้าเด็ดขาด

“อื้ม ครั้งนี้ก็เป็นการเตือนพวกเราด้วยเช่นกัน พลังบำเพ็ญเพียรของพวกเรายังไม่เพียงพอ รอให้พวกเราขยับตัวได้แล้วก็จะไปเข้าฌาน” เหลยรุ่ยพูดอย่างเด็ดเดี่ยว เข้าฌาน พวกเขาต้องเข้าฌาน หากพวกเขาแข็งแกร่งพอ แผนสกปรกพวกนั้นจะทำอะไรได้ กล้าใช้ชีวิตของพวกเขามาโจมตีท่านน้า อภัยให้ไม่ได้เด็ดขาด

“พวกเจ้าได้เรียนรู้เช่นนี้ บาดแผลเหล่านี้ก็นับว่าคุ้มค่า ต่อจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่างพวกเจ้าสองคนรักษาตัวให้ดีก็พอ” หลิวหลีลูบศีรษะเด็กทั้งสองเบาๆแล้วเดินจากไป

“ทุกครั้งที่เห็นบาดแผลของเด็กสองคนข้าก็อยากจะพุ่งไปต่อยหน้าพวกคนก่อเรื่องสักชุด” เอ๋าเลี่ยพูดพลางกำหมัด

“ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับเจ้า เพียงแค่การต่อยพวกเขา ทำได้เพียงแค่ระบายความโกรธเพียงเล็กน้อยของพวกเรา ให้พวกเขาได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุด ร่วงจากสวรรค์ตกไปนรกถึงจะเป็นจุดจบที่ดีที่สุดของพวกเขา หากปีนขึ้นมาได้ พวกเราก็ปล่อยวาง แต่หากปีนขึ้นมาไม่ได้พวกเราก็จะไม่ไปเยียบซ้ำ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว

“ถูกต้อง ท่านพี่พูดถูกที่สุด อาเลี่ย หนทางของพวกเรายังอีกยาวไกล จะให้เกิดความผิดพลาดเพราะคนชั่วไม่ได้ เด็กทั้งสองก็เช่นเดียวกัน” หลิวหลีพูดพลางพยักหน้า

“ข้าเข้าใจดี แต่พอคิดว่าข้าเกือบต้องเสียลูกสองคนไป ข้าก็…” เอ๋าเลี่ยโศกเศร้า อสูรเทพอย่างพวกเขามีลูกยากจึงทะนุถนอมมากเป็นพิเศษ แต่กลับกลายเป็นว่าเกือบจะต้องสูญเสียเด็กทั้งสองไป

“อาเลี่ย เจ้าก็พูดอยู่นี่ว่าเกือบ พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรแล้ว และข้าก็จะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องกับพวกเขา ความจริงก็คือพวกเขาไม่เป็นอะไร เมื่อมองย้อนกลับมาแล้วนั่นก็เพื่อให้พวกเราพัฒนาและแข็งแกร่งขึ้น แต่ไม่ใช่เพื่อจมปลัก จนไม่อาจปล่อยวางแล้วย่ำอยู่ที่เดิม” หลิวหลีพูดเสียงเข้ม

“ข้าตามืดบอดไปเอง” เอ๋าเลี่ยรู้สึกว่าตนเองถูกเรียกสติ หากตนเอาแต่จมปลักกับอดีตแล้ว อนาคตก็จะเลือนลางตามไป

“ช่างเถอะ ข้าคาดว่าปลาทั้งสองตัวน่าจะใกล้มาแล้ว ควรจบเรื่องได้แล้ว” ริมฝีปากของหลิวหลีปรากฎเป็นรอยยิ้มที่แฝงความนัย

“ยาเทพศักดิ์สิทธิ์ในมือข้าตอนนี้ พอบวกกับรายงานครั้งสุดท้ายเรื่องเยว่ฮุยก็น่าจะเพียงพอให้ข้าบรรลุขั้นแม่ทัพเทพแล้ว อาจจะถึงขั้นมีเงินทองได้เพราะมัน หลงหลิวหลีคนนี้คงจะปรุงยาได้เยี่ยมยอดมาก แถมยังมียาเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้เพื่อฟื้นฟูร่างกายอีก 2-3 เม็ด หลังจากใช้แล้วร่างกายของข้าก็จะเปลี่ยนไปดีขึ้นเล็กน้อย” เมิ่งเตี๋ยมองยาเทพศักดิ์สิทธิ์ในมือของตนอย่างพึงพอใจ เขาต้องวางแผนเพื่ออนาคต

“สรรพคุณของยาเทพศักดิ์สิทธิ์นี้ดีมากอย่างที่คิดไว้ บางส่วนของร่างกายข้าได้รับการรักษา หากข้ามอบตัวเมิ่งเตี๋ยให้นาง จะได้รับยามากกว่านี้หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นข้าจะบรรลุขั้นแม่ทัพเทพ ดึงดูดความสนใจจากใต้เท้าท่านนั้น” เยว่ฮุยเอ่ยอย่างลิงโลด

หลิวหลีเล่นป้ายชื่อประจำตัวในมือ มุมปากมีรอยยิ้มที่ออกจะเป็นปริศนา คิดไม่ถึงว่าจะอดรนทนไม่ไหวขนาดนี้ โดนยาเทพศักดิ์สิทธิ์บังตาไว้เสียแล้วจริงด้วย คนประเภทนี้ได้เป็นถึงศิษย์ระดับพิเศษ แต่ก็จริง สถานที่มีการแข่งขันก็จะมีเรื่องราว ก็จะเกิดปรากฏการณ์ที่ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

“น้องหญิง ปลาจะกินเบ็ดแล้วหรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นสีหน้าของหลิวหลีที่กำลังยิ้มอย่างลึกลับ ก็พอจะรู้ได้ว่าเรื่องใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว

“นั่นสิ ข้าอยากรู้จริงๆว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร” หลิวหลีเอ่ย

หลิวหลีใช้ชื่อของตนแยกนัดพบคนทั้งคู่ เหตุผลที่ทำเช่นนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง ใครจะรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง ครั้งนี้ให้ยาเทพศักดิ์สิทธิ์ถึง 10 เม็ด เยว่ฮุยและเมิ่งเตี๋ยที่ยังลังเลอยู่ลุ่มหลงไปกับยาจำนวน 10 เม็ดนั้นจนตอบตกลงอย่างไม่ลังเล พอคำนวณอย่างละเอียดแล้ว พวกเขาสามารถบรรลุพลังบำเพ็ญเพียรขั้นที่สูงกว่าอย่างขั้นราชาเทพได้ จึงพากันฝันหวานไป

“เยว่ฮุย” เมิ่งเตี๋ยอุทานเสียงเบา

“เมิ่งเตี๋ย” ความคิดบางอย่างแวบเข้าหัวเยว่ฮุย คงไม่ใช่

“เยว่ฮุย เจ้าออกไปทำธุระข้างนอกไม่ใช่หรือ คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอเจ้าที่นี่” เมิ่งเตี๋ยเอ่นด้วยท่าทีนิ่งเฉย

“เมิ่งเตี๋ย เจ้าก็ด้วยนี่ ข้าคิดว่าเจ้าอยู่ที่หอพัก” เยว่ฮุยหรี่ตา เกิล่นอายอันตรายแผ่ออกมา

“อ้าว ทั้งสองคนมากันแล้วหรือ พอดีเลย พวกเจ้าจะได้มาวิเคราะห์กัน ว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวการ” เสียงของหลิวหลีดังขึ้นในความมืด แล้วทั้งสองก็เข้าใจทันที

“เจ้าหักหลังข้า?” ทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน

“เยว่ฮุย เสียแรงที่ข้าตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะติดตามเจ้า ลงทุนลงแรงทำหลายสิ่งเพื่อเจ้า แต่เจ้ากลับทำกับข้าแบบนี้หรือ?” เมิ่งเตี๋ยทำหน้าเหลือเชื่อ

“ตัดสินใจแน่วแน่หรือ เจ้าได้ทรัพยากรจากตัวข้ามากขึ้นต่างหาก พอรู้ว่าข้าไม่มีค่าอะไรแล้วก็หักหลังข้าอย่างไม่ใยดี เฮ้อ พวกผู้หญิง” เยว่ฮุยทำหน้าเหมือนได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ

“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าตัดสินว่าใครเป็นตัวการ หลังจากนั้นข้าจะทำอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้าแล้ว” ปรากฏลูกไฟสีม่วงขึ้นในมือหลิวหลี ส่องแสงสว่างเจิดจ้าเป็นพิเศษ หลิวหลีเหมือนกำลังเล่นอยู่อย่างนั้น แต่เหมือนนางจะเห็นว่าไม่เพียงพอจึงเรียกลูกไฟสีเทาออกมา แต่ก็นางก็ยังเรียกลูกไฟสีทองออกมาอีกครั้งราวรู้สึกว่าลูกไฟในมือยังไม่เพียงพอ คนทั้งสองที่มองอยู่ถึงกับเหงื่อไหลบ่าเต็มหลัง ความเป็นไปได้ที่เขาจะชนะหลิวหลีมีสัดส่วนเท่าไหร่ เป็นศูนย์ พวกเขาถูกยาเทพศักดิ์สิทธิ์บังตาแล้ว หลงหลิวหลีจะทำตัวใจบุญเป็นพระได้อย่างไร เช่นนั้นสิ่งที่กำลังรอพวกเขาอยู่คืออะไรกันแน่

“ทำไมล่ะหลงหลิวหลี เจ้าจะฆ่าพวกข้าหรือ พวกข้าสู้เจ้าไม่ได้ก็จริง แต่สำนักไม่อนุญาตให้ฆ่าคนมั่วซั่วหรอกนะ” เมิ่งเตี๋ยทำใจกล้าแล้วพูดออกมา

“ฆ่าพวกเจ้าหรือ ไม่ๆๆ พวกเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าจะฆ่าพวกเจ้าเลยได้อย่าไงร” หลิวหลีส่ายหน้า ทั้งสองยังไม่ทันได้โล่งใจก็ถูกคำพูดถัดมาของหลิวหลีจุกขึ้นที่คอ

“ฆ่าให้ตายมันง่ายเกินไป มิสู้ปล่อยให้พวกเจ้าได้มีชีวิตต่อ แต่อยู่อย่างยากลำบาก ร่วงจากสุดยอดผู้ถูกเลือกไปเป็นเพียงฝุ่นธุลี ดีขนาดไหน คิดไม่ออกจริงๆว่าคนอย่างพวกเจ้ากลายเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพได้อย่างไร ยาเทพศักดิ์สิทธิ์ของข้า ข้าก็ยึดคืนมาแล้ว ของขวัญที่จะให้ ก็ส่งให้พวกเจ้าไปแล้ว หวังว่าพวกเจ้าจะชอบน” หลิวหลีพูดจบก็เดินจากไป ทั้งสองมองหน้ากันอย่างจนปัญญา หลงหลิวหลีทำอะไรไปแล้วหรือ

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็พบว่าพลังของพวกเขากำลังลดลงไปถึงสภาพที่อ่อนแอมาก พวกเขาคิดว่าจะจบเพียงแค่นั้น แต่ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งพวกเขาจะสูญเสียคุณสมบัติที่พวกเขาภาคภูมิใจอย่างมาก คุณสมบัติการเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพ ตอนนี้ร่วงไปถึงจุดต่ำสุดอย่างแท้จริง ตกต่ำจนไม่สามารถตกต่ำไปได้อีก เหยียนซวี่ออกจากฌานมาได้ยินเรื่องนี้ก็ไม่ได้ตัดสินใจไปเรียกร้องความยุติธรรม อย่างไรเสียพวกเขาเป็นฝ่ยาผิด อีกทั้งเยว่ฮุยคนนี้ทะเยอทะยานนัก และไม่นอมรับเขา แต่พอนึกถึงเรื่องที่ทั้งสองสูญเสียเมล็ดพันธุ์แห่งเทพไป เหยียนซวี่ก็รู้สึกสงสัยในตัวหลิวหลีขึ้นมา

…………………………………..