ภาคที่ 4 ตอนที่ 15 เรื่องมาแล้ว

มรรคาสู่สวรรค์

ภายในตำหนักของยอดเขาซีไหลมีเก้าอี้จัดวางอยู่เก้าตัว

เก้าอี้สองตัวที่อยู่ในตำแหน่งประธานและทางด้านขวามือของตำแหน่งประธานว่างอยู่

เจ้าสำนักและหยวนฉีจิงไม่ได้มา

คนที่เป็นตัวแทนยอดเขาเทียนกวงมาเข้าร่วมการประชุมคือผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งและผู้อาวุโสมั่วฉือ สีหน้าของไป๋หรูจิ้งคร่ำเคร่ง หลิ่วสือซุ่ยยืนกรานที่จะไม่กลับไปเป็นศิษย์เขา ทำให้ชื่อเสียงของเขาในชิงซานเสียหายอย่างหนัก สีหน้าของผู้อาวุโสมั่วฉือยังคงดำเหมือนเดิม เพียงแต่ดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอีกประเดี๋ยวต้องพูดหรือว่าเป็นเพราะเรื่องอื่น

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ อย่างฉือเยี่ยน ต้วนเหลียนเถียนต่างมาถึงแล้ว ตัวแทนยอดเขาซั่งเต๋อยังคงเป็นกระบี่สามฉื่ออันเย็นยะเยือกเล่มนั้น

นักพรตกว่างหยวนที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยมิได้มาเพราะเก็บตัวอยู่

เฉิงโหยวเทียนที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูมาประชุมด้วยตัวเอง แต่ก่อนประชุมเขาได้แสดงความจำนงว่าจะไม่ออกเสียงในทุกๆ เรื่อง เห็นได้ชัดว่าต้องการทำตัวเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด

เจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงและเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงหนานว่างนั่งประจำที่นั่งของตน

ยอดเขาเหลี่ยงว่างเองก็มีที่นั่งเช่นเดียวกัน กั้วหนานซานยืนอยู่ด้านข้าง

ตำแหน่งของยอดเขาเสินม่ออยู่ท้ายสุด เจ้าล่าเยวี่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบๆ จิ๋งจิ่วนั่งอยู่ด้านหลังของนาง

ผู้อาวุโสของยอดเขาต่างๆ อย่างเหมยหลี่ ฉือเยี่ยนเองก็มีที่นั่งของตัวเอง อาจารย์จากยอดเขาทั้งเก้ามาประชุมกันเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ตำหนักมีขนาดใหญ่อย่างมาก ทำให้ในตำหนักยังคงดูกว้างอยู่

พื้นที่ดูหยกดำมีหมอกบางๆ ปรากฏขึ้นมา ฟางจิ่งเทียนค่อยๆ เดินเข้ามา

เขาเป็นคนดำเนินการประชุมยอดเขาในวันนี้ สายตาของเขากวาดไปบนใบหน้าของทุกคนที่อยู่ในตำหนัก ภายในตำหนักที่เดิมก็เงียบอย่างมากอยู่แล้ว ในเวลานี้กระทั่งเสียงเมฆที่ลอยตกลงมาก็ยังได้ยิน

ที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของฟางจิ่งเทียนนั้นดูปกติธรรมดา บนใบหน้ามักจะมีรอยยิ้ม ในงานชุมนุมทดสอบกระบี่มักจะเห็นภาพเขาคุยเล่นกับผู้อื่นเป็นประจำ

หลายคนสังเกตเห็นว่าวันนี้หลังจากเขาปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นบนใบหน้าหรือว่าในดวงตาล้วนแต่ไม่มีรอยยิ้มเลย สีหน้าทุกคนจึงอดคร่ำเคร่งขึ้นมาไม่ได้

โดยเฉพาะเจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงและผู้อาวุโสบางคนยิ่งรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูแปลกหน้า ราวกับว่าไม่เคยเจอมาก่อน

นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลที่พวกเขาเคยรู้จักก่อนหน้านี้คนนั้น หาใช่ตัวตนที่แท้จริงของฟางจิ่งเทียนไม่

ไม่มีการกล่าวเปิดงาน ไม่มีการทักทาย ฟางจิ่งเทียนกล่าวตรงๆ ว่า “ว่าเรื่องของปู้เหล่าหลินก่อน”

ยังคงเป็นคำพูดที่พูดต่อๆ กันมาประโยคนั้น สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว เวลาคือสิ่งที่ไม่สำคัญที่สุด แต่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเช่นกัน ไม่มีใครที่จะยอมเอาเวลามาทิ้งกับเรื่องนี้

กั้วหนานซานเดินเข้ามา ก่อนจะกล่าวอธิบายเรื่องราวที่เกี่ยวข้องรอบหนึ่ง ตั้งแต่การกำจัดกำจัดปีศาจที่แม่น้ำจั๋วไปจนถึงการทำลายลานเมฆเมื่อหลายวันก่อน แม้นจะไม่ได้ละเอียดนัก แต่อย่างน้อยก็ครอบคลุมรายละเอียดสำคัญทั้งหมด จากนั้นก็อธิบายถึงแผนการที่จะจัดการหลังจากนี้ จุดสำคัญคือการแบ่งทรัพย์สินของปู้เหล่าหลินที่เมืองเจาเกอ

ผู้อาวุโสแต่ละยอดเขาเริ่มถามคำถาม กั้วหนานซานตอบทีละคำถาม ในระหว่างนั้นหลิ่วสือซุ่ยก็ถูกเรียกให้มาตอบคำถามสองสามคำถามด้วย มีผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซีไหลที่สมองมีปัญหาคนหนึ่งพยายามที่จะจับผิดหลิ่วสือซุ่ย จึงถามเรื่องลั่วไหวหนานขึ้นมา ยังไม่ทันจะพูดจบก็ถูกฟางจิ่งเทียนห้ามเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ยังถูกหนานว่างที่อารมณ์ฉุนเฉียวด่าว่าปัญญาอ่อนไปหลายที

หลิ่วสือซุ่ยย่อมไม่ต้องตอบคำถามนี้

สำหรับเรื่องปู้เหล่าหลินก็จบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ จากนั้นก็เป็นการประกาศความดีความชอบของศิษย์แต่ละยอดเขา โดยยอดเขาซั่งเต๋อเป็นผู้ตัดสิน

ชิงซานสืบทอดมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี มีระบบการลงโทษและให้รางวัลที่สมบูรณ์มาเป็นเวลานานแล้ว ยอดเขาซีไหลทำเรื่องนี้จนเคยชิน ส่วนใหญ่มักจะไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่มีปัญหาเล็กน้อยในเรื่องเรื่องหนึ่ง อาจารย์ที่ศาลาเป่ยเฮ่อพาลูกศิษย์สืบทอดกระบี่ได้สามคน ได้รับยาวิเศษและให้กลับไปบำเพ็ญเพียรที่ยอดเขาอวิ๋นสิงเพื่อบรรลุสภาวะขั้นคเนจร ทั้งสองฝ่ายจึงเกิดความขัดแย้งกันในเรื่องระดับชั้นของยาวิเศษที่จะได้รับ แต่ก็ประชุมจนได้ข้อสรุปออกมาอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งในวันนี้เจ้าล่าเยวี่ยถึงได้รู้ว่าปริมาณความดีความชอบในการสอนศิษย์นอกสำนักและศิษย์ที่หอสี่เจี้ยนนั้นมีความแตกต่างกันมากขนาดนี้ แล้วก็ถึงได้รู้ว่าที่แท้ระบบของชิงซานนั้นมีความสมบูรณ์และซับซ้อนถึงขนาดนี้ การจะได้รับยาวิเศษและวิชามิใช่เรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้นเลย

นางไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้เลยจริงๆ

ยาและวิชาที่ปรมาจารย์อาจิ่งหยางทิ้งเอาไว้ให้มีจำนวนเยอะมาก คนบนยอดเขาเสินม่อมีน้อยมาก แบ่งยังไงก็แบ่งได้ไม่หมด ไหนเลยยังต้องมีการให้คะแนนอีก

กระทั่งเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้น ฟางจิ่งเทียนจึงมองไปทางมั่วฉือแล้วกล่าวว่า “ศิษย์น้อง เชิญ”

มั่วฉือเป็นคนซื่อๆ เมื่อเห็นว่าการประชุมยอดเขาในวันนี้มีประเด็นอื่นแอบแฝง มิได้เป็นไปอย่างที่เขาต้องการ เขาจึงคิดอย่างลนลานว่าเริ่มจากเรื่องเล็กก่อนแล้วกัน

“ปีศาจ…ปีศาจ…จิ้งจอก…เมืองอิ้งเฉิง…ตัวนั้น….ทำไม…”

เมื่ออยู่ภายใต้ความตื่นเต้น อาการพูดติดอ่างของเขาจึงยิ่งรุนแรงขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้ แต่ทุกคนที่อยู่ภายในตำหนักต่างเข้าใจความหมายของเขา จึงมองไปทางฟางจิ่งเทียน

คำอธิบายของฟางจิ่งเทียนง่ายดายเป็นอย่างมาก “ชิงซานไม่ใช่สถานที่สำหรับแอบซ่อนปีศาจ”

หากเป็นการประชุมในราชสำนัก คำพูดที่ทรงพลังและหยิ่งทะนงเช่นนี้อาจจะทำให้ขุนนางหลายคนหวั่นไหวได้ แต่คนที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมประชุมยอดเขาของชิงซานล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญพรตที่มีอายุยืนยาว ยากที่จะเกิดความหวั่นไหวทางอารมณ์ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเอง

เหมยหลี่กล่าวถามว่า “แม้นจะกลับตัวกลับใจแล้วก็ไม่ได้?”

“หากเจ้าฆ่าคนทั้งโลก ก็อย่าได้คิดจะวางดาบแล้วกลายเป็นอรหันต์ เพราะชิงซานมิใช่วัดกั่วเฉิง”

ฟางจิ่งเทียนมองไปทางหลิ่วสือซุ่ย “นางอยู่ในปู้เหล่าหลินมาสิบกว่าปี ทำเรื่องชั่วช้ามาแล้วมากมาย สังหารผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วน เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าพวกข้า”

หลิ่วสือซุ่ยมิได้กล่าวกระไร เขารู้แต่แรกแล้วว่าไม่อาจปิดบังเรื่องนี้ได้ หลังลานเมฆถูกทำลาย เอกสารข้อมูลทั้งหมดก็ถูกสำนักฝ่ายธรรมะยึดเอาไว้ โดยให้กรมชิงเทียนเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการมัน แล้วก็คอยรายงานความคืบหน้าให้กับแต่ละสำนัก

ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซีไหลผู้หนึ่งเดินเข้ามาในที่ประชุม เอาเอกสารที่ทางกรมชิงเทียนจัดระเบียบเรียบร้อยออกมาแจกให้ทุกคนได้ดู

หลังอ่านบันทึกที่อยู่บนเอกสารเหล่านั้นจนชัดเจนแล้ว สีหน้าของผู้อาวุโสแต่ละยอดเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย มั่วฉืออ้าปากค้าง คล้ายอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายกลับไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้

เจ้าล่าเยวี่ยกวาดตามองเพียงเล็กน้อยก็วางเอาไว้บนโต๊ะ ไม่ได้มีทีท่าว่าจะส่งให้จิ๋งจิ่ว เพราะนางรู้ว่าเขาไม่สนใจ

หลิ่วสือซุ่ยไม่ได้รับเอาเอกสารเหล่านั้นมา เพราะเขาเคยอ่านมันตอนอยู่ในลานเมฆมาหลายรอบแล้ว รู้ว่าบนนั้นเขียนอะไรเอาไว้

“ด้วยความผิดที่ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้เคยทำ ถึงแม้จะละเว้นโทษตาย แล้วรวบรวมความดีความชอบที่นางได้เคยได้ทำมา การที่นางยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว การจะให้นางอยู่ในชิงซานนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด”

ฟางจิ่งเทียนสรุปเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย

ไม่มีใครแสดงการคัดค้าน

หลิ่วสือซุ่ยยังคงนิ่งเงียบ

ผู้อาวุโสมั่วฉือมองเขาอย่างเห็นใจ จากนั้นมองไปทางฟางจิ่งเทียนแล้วถามอีกครั้งว่า “อย่างนั้น…เหตุใดยอดเขาซีไหล…ถึงต้องหยุดการมอบรางวัลให้กับศิษย์หลานหลิ่วด้วย”

สำนักฝ่ายธรรมะร่วมมือกันกำจัดลานเมฆ สำนักกระบี่ซีไห่เสียหายอย่างหนักจนไม่สามารถฟื้นคืนขึ้นมาได้ในเร็ววัน ชิงซานเจิดจรัสถึงเพียงนี้ คนที่มีความดีความชอบมากที่สุดย่อมต้องเป็นหลิ่วสือซุ่ย

ตามหลักแล้ว สำนักชิงซานน่าจะมอบยาวิเศษหรืออาวุธวิเศษให้เขาไปนานแล้ว แต่กลับถูกยอดเขาซีไหลถ่วงเอาไว้จนถึงวันนี้

การประชุมยอดเขาในวันนี้ หลักๆ แล้วก็จะมาพูดถึงเรื่องนี้

“ถูกต้อง ข้าเป็นคนปฏิเสธเอง เพราะมีศิษย์แสดงการคัดค้าน เช่นนั้นก่อนที่จะสืบให้ชัดเจน การมอบรางวัลที่ว่าก็ต้องหยุดเอาไว้ก่อน”

น้ำเสียงของฟางจิ่งเทียนยังคงเรียบเฉย

ผู้อาวุโสมั่วฉือกล่าวถามด้วยน้ำเสียงงุนงงเล็กน้อย “คัดค้านอะไร?”

เจี่ยนหรูอวิ๋นเดินออกมาจากในส่วนลึกของตำหนัก สีหน้ายังคงขาวซีดอิดโรย ขอบตาแดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ายังคงเศร้าเสียใจเรื่องน้องชายอยู่

เมื่อเห็นศิษย์อันดับสี่ของยอดเขาเหลี่ยงว่างผู้นี้ คนอื่นๆ อย่างเฉิงโหยวเทียน หนานว่างต่างรู้สึกตกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

หลิ่วสือซุ่ยเหลือบมองไปทางจิ๋งจิ่ว ก่อนจะดึงสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว

ในวันที่เขาเพิ่งจะกลับมาถึงชิงซานวันนั้นเขาได้เคยบอกจิ๋งจิ่วแล้วว่ามีคนกำลังสืบเรื่องนั้นอยู่

ตอนนั้นจิ๋งจิ่วกล่าวกับเขาว่าเอาไว้เรื่องราวมาถึงแล้วค่อยว่ากัน คิดมากไปก่อนมันไม่มีประโยชน์

ในที่สุดวันนี้เรื่องราวมันก็มาถึงแล้ว

ท่านคิดได้หรือยัง?

…………………………………