การปรากฏตัวของเจี่ยนหรูอวิ๋น ทุกคนต่างรู้ว่าเป้าหมายจะต้องเป็นหลิ่วสือซุ่ยอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่ค่อนข้างเหนือความคาดหมายก็คือฟางจิ่งเทียนมิได้ถามคำถามด้วยตัวเอง หากแต่มอบอำนาจในการถามให้แก่ยอดเขาซั่งเต๋อ
ฉือเยี่ยนรับเอาเอกสารมาจากยอดเขาซีไหล กวาดตามองเล็กน้อย จากนั้นมองเจี่ยนหรูอวิ๋นพลางกล่าว “เจ้าบอกว่าหลิ่วสือซุ่ยมีความเกี่ยวข้องกับการตายของจั่วอี้แห่งยอดเขาปี้หูเมื่อสิบสามปีก่อนอย่างนั้นหรือ?”
……
……
ศิษย์ชิงซานต่างรอคอยฟังข่าวอยู่ด้านนอกตำหนัก
ในตอนที่รู้ว่าตนเองไม่อาจอยู่ที่ชิงซานได้ สีหน้าของเสี่ยวเหอพลันดูขาวซีด แต่นางก็มิได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว
หยวนฉวี่รู้สึกทนไม่ได้ เขากล่าวปลอบใจเสียงเบาๆ สองสามประโยค
กู้ชิงมองดูประตูตำหนักที่ยังปิดสนิท รอคอยข่าวร้ายที่อาจจะปรากฏออกมาอย่างเงียบๆ
ข่าวร้ายมาอย่างรวดเร็ว เหล่าศิษย์รู้เรื่องคำถามของผู้อาวุโสฉือเยี่ยน ศิษย์บางคนตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ศิษย์บางคนรู้สึกสับสน
จั่วอี้แห่งยอดเขาปี้หู…คือใคร? ใต้ต้นสนมีเสียงพูดคุยซุบซิบดังขึ้นมาไม่ขาดสาย เมื่อมีศิษย์ในสำนักบางคนพูดย้ำเตือนขึ้นมา เหล่าศิษย์ถึงได้นึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาได้
ในอดีตยอดเขาปี้หูมีอาจารย์อาที่ชื่อจั่วอี้อยู่คนหนึ่ง บรรลุสภาวะขั้นมิประจักษ์ระดับสูง มีหวังที่จะบรรลุไปสู่ขั้นคเนจร จู่ๆ ในปีหนึ่งก็มาเสียชีวิตลง ศีรษะแยกออกจากศพ ถูกคนเอามาทิ้งเอาไว้ข้างลำธาร
เรื่องนี้เคยสร้างความตกตะลึงอย่างมากให้กับชิงซาน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าศิษย์ที่มุ่งมั่นอยู่กับการบำเพ็ญเพียรก็ค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องนี้ไป จนกระทั่งวันนี้จู่ๆ ก็ถูกคนพูดถึงอีกครั้ง
หลิ่วสือซุ่ยไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ศิษย์ชิงซานส่วนใหญ่ต่างรู้สึกว่าข้อกล่าวหานี้ช่างไร้สาระยิ่งนัก แต่ศิษย์หลายคนกลับครุ่นคิดอยู่ในใจ กระทั่งลั่วไหวหนานหลิ่วสือซุ่ยยังฆ่าได้เลย…ถึงแม้จะว่ากันว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง แม้แต่สำนักจงโจวก็ยังไม่ติดใจเอาความ แต่…นั่นมันลั่วไหวหนานเลยนะ!
หลังจากนั้นเหล่าศิษย์ถึงได้รู้ว่าคนที่กล่าวหาหลิ่วสือซุ่ยก็คือเจี่ยนหรูอวิ๋น จึงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก จากนั้นมองไปทางที่ี่ที่เหล่าศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างยืนอยู่
สีหน้าของกู้หานคร่ำเคร่งเป็นอย่างมาก หม่าหวาหรี่ตา รอยยิ้มที่มักจะพบเห็นได้บ่อยๆ บนใบพลันหายไป ให้ความรู้สึกเหมือนไม่อาจคาดเดาได้
ไม่ว่าจะเป็นกู้หานหรือว่าหม่าหวา ก็คล้ายกำลังจะบอกกลายๆ ว่าคำกล่าวหาของเจี่ยนหรูอวิ๋นนั้นมิได้ไร้สาระไปเสียทั้งหมด
หยวนฉวี่มองดูหม่าหวา ก่อนกล่าวอย่างไม่ค่อยสบายใจ “หรือว่าศิษย์พี่หม่ารู้อะไรมา?”
“รู้อะไรล่ะ แค่ฉลาดนิดหน่อยก็นึกว่าตัวเองรู้ไปเสียทุกเรื่อง คิดว่าตัวเองสามารถคาดเดาความคิดคนอื่นและความจริงได้ล่วงหน้า ช่างโง่เขลาจริงๆ”
กู้ชิงที่ปกติไม่กล่าวคำหยาบ ในเวลานี้กลับสบถคำหยาบออกมา
เขาไม่ชอบหม่าหวา
ในอดีตตอนที่เขาเป็นเด็กรับใช้กั้วหนานซานอยู่ในยอดเขาเหลี่ยงว่าง เขามักจะเห็นภาพหม่าหวาหรี่ตาอยู่บ่อยๆ ตอนนั้นเขารู้สึกว่ามันน่ารังเกียจ
……
……
ภายในตำหนัก
“ข้าไม่มั่นใจว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับการตายของอาจารย์อาจั่วอี้แห่งยอดเขาปี้หูอย่างไร แต่ข้าสามารถมั่นใจว่าในคืนที่อาจารย์อาจั่วอี้ตาย เขาไม่ได้อยู่ในถ้ำของตัวเอง”
บนใบหน้าของเจี่ยนหรูอวิ๋นไม่มีสีหน้าใดๆ เขากล่าวต่อว่า “กู้หานเองก็รู้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นอาจารย์อาต้วนก็เคยสืบสวนเรื่องนี้”
ต้วนเหลียนเถียนคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยถึงตนเองเร็วขนาดนี้ เมื่อคิดถึงทีท่าของกฎแห่งกระบี่ เขาจึงอดรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาไม่ได้ จึงกล่าวกับทุกคนว่า “ถูกต้อง ตอนนั้นศิษย์หลานหลิ่วก็ยอมรับในเรื่องนี้แล้ว เพียงแต่ว่า…นี่ไม่อาจอธิบายอะไรได้”
เจี่ยนหรูอวิ๋นมิได้สนใจท่าทีที่จะปัดเรื่องนี้ออกจากตัวที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากแต่ยังคงกล่าวต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “หลายวันก่อนเจี่ยนหรูซานน้องชายของข้าคอยสืบเรื่องการตายของอาจารย์อาจั่วอี้อยู่ ผลสุดท้ายเขาถูกมารเผ่าหมิงฆ่าตายที่นอกเมืองเจียนลี่ ข้าคิดว่าเขาถูกคนฆ่าปิดปาก”
ฉือเยี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าอยากจะถามอะไรก็ถามออกมา”
เจี่ยนหรูอวิ๋นหมุนตัวกลับมามองหลิ่วสือซุ่ย ก่อนกล่าวว่า “ในปีนั้นพวกเราถามเจ้าว่าคืนนั้นเจ้าไปทำอะไร เจ้าก็ไม่ยอมตอบ พวกเราเข้าใจว่าตอนนั้นเจ้าต้องพยายามทำผิดเพื่อที่จะได้เข้าไปยังปู้เหล่าหลิน อย่างนั้นตอนนี้ล่ะ? เจ้าน่าจะพูดได้แล้วใช่ไหม?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “การตายของศิษย์พี่เจี่ยนหรูซานไม่เกี่ยวกับข้า”
เจี่ยนหรูอวิ๋นไม่หวั่นไหวกับคำพูดของเขา หากแต่กล่าวต่อว่า “ที่ข้าถามคือในคืนที่อาจารย์อาจั่วอี้ตาย เจ้าไปที่ไหนมา”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ข้าไม่อยากตอบคำถามนี้”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ภายในตำหนักมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา
ฉือเยี่ยนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “หากไม่สะดวกที่จะพูดเรื่องความลับต่อหน้าทุกคน อย่างนั้นเจ้าไปพูดให้ข้าฟังในห้องก็ได้ หรือไม่ก็ไปพูดให้ท่านกฎกระบี่ฟังที่ยอดเขาซั่งเต๋อ ข้ารับรองว่าไม่มีทางแพร่งพรายไปให้คนอื่นล่วงรู้อย่างแน่นอน”
หลิ่วสือซุ่ย “ไม่ต้องขอรับ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนข้าก็ไม่อยากจะตอบคำถาม”
ฉือเยี่ยนจ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าวว่า “ข้าขอรู้เหตุผลหน่อยได้ไหม?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ข้าไม่อยากโกหกอีกแล้ว”
ในเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะในชิงซานหรือว่าปู้เหล่าหลิน เขาก็ล้วนแต่ใช้ชีวิตอยู่ในคำโกหกและการหลอกลวง
ไม่ง่ายเลยที่จะหลุดพ้นออกมาจากชีวิตแบบนั้นได้ เขาไม่อยากจะกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีก
บรรยากาศภายในตำหนักยิ่งรู้สึกแปลกขึ้นทุกขณะ
การที่หลิ่วสือซุ่ยไม่ยอมตอบคำถามนี้ตั้งแต่เริ่ม มันก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้เขาได้บอกออกมาแล้วว่าตัวเองไม่อยากจะโกหกอีกต่อไป
สายตาจำนวนมากต่างมองไปยังเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่ว โดยเฉพาะจิ๋งจิ่ว
แต่หลิ่วสือซุ่ยกลับไม่ได้มองดูจิ๋งจิ่วแม้แต่น้อย
หนังตาของเจ้าล่าเยวี่ยลู่ตกลงเล็กน้อย รอคอยให้จิ๋งจิ่วพูด
ความจริงแล้ว ทุกคนในตำหนักต่างรอให้เขาพูดอยู่
ผ่านไปครู่ใหญ่ จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไร
เจ้าล่าเยวี่ยอดเหลือบมองดูเขาไม่ได้ พบว่าสีหน้าเขายังคงเรียบเฉย จึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ทุกคนภายในตำหนักเองก็รู้สึกประหลาดใจ
หลายคนได้ลืมการตายของจั่วอี้แห่งยอดเขาปี้หูไปแล้ว แต่ไม่มีใครลืมงานชุมนุมทดสอบกระบี่ของชิงซานในปีนั้นว่าจิ๋งจิ่วเคยทำอะไรเอาไว้บ้าง
ฟางจิ่งเทียนมองดูจิ๋งจิ่วอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เรื่องของหลิ่วสือซุ่ยเป็นแค่เรื่องเล็ก
ต่อให้เขาสังหารจั่วอี้จริง ก็แค่หนึ่งชีวิตชดใช้หนึ่งชีวิตเท่านั้น
แต่ถ้าสามารถใช้หลิ่วสือซุ่ยในการโยนความผิดไปหาจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยได้ เช่นนั้นต่อให้เป็นเรื่องที่เล็กแค่ไหนก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้
เพราะพวกเขาคือยอดเขาเสินม่อ
เหล่าศิษย์หนุ่มสาวของชิงซานมิได้มีความอิจฉาริษยา มิได้หมายความว่าพวกคนแก่จะไม่มีความรู้สึกตามไปด้วย
ทุกอย่างสามารถย้อนกลับไปหาคำๆ นั้น ‘มีสิทธิ์อะไร?’
สำหรับเจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงและคนอื่นๆ แล้ว หากยอดเขาเสินม่อมีปัญหา อย่างนั้นมรดกของปรมาจารย์อาจิ่งหยางก็จะสามารถแบ่งสรรได้อีกใช่หรือเปล่า?
สำหรับนักพรตกว่างหยวนที่เก็บตัวอยู่และทุกคนในยอดเขาปี้หูแล้ว เรือนเป่าซู่และทรัพยากรต่างๆ ก็จะกลับมาอยู่ในมือของตัวเองใช่หรือเปล่า?
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไม่พูดอะไร จิ๋งจิ่วเองก็เช่นกัน
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งเสียงถอนใจออกมา แล้วก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมา “เช่นนั้นก็เอาอย่างนี้แล้วกัน”
“หากเจ้ายังยืนกรานไม่ยอมบอกว่าคืนนั้นเจ้าไปที่ไหน เช่นนั้นก็จะถือว่าไม่มีหลักฐาน ข้าเองก็ทำได้เพียงถือว่าเจ้าเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้”
ฉือเยี่ยนมองหลิ่วสือซุ่ยพลางกล่าว “ข้าจะเอาเจ้าไปขังไว้ที่คุกกระบี่ก่อน จนกว่าจะสอบสวนได้คำตอบออกมาหรือจนกว่าเจ้าจะยินดีตอบคำถามนี้ออกมาเอง เจ้ายอมรับไหม?”
ต้วนเหลียนเถียนมองดูเขาอย่างตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าหากนี่เป็นความคิดของกฎกระบี่ เช่นนั้นทำไมเจ้าต้องบังคับให้ข้ากลับมาจากเจียนลี่ด้วย?
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ตอนนั้นข้าเคยไปที่คุกกระบี่แล้ว ไม่ว่าอะไรก็ไม่ได้พูดออกมา ตอนนี้ก็เหมือนกัน ข้าคิดว่าพวกท่านทำแบบนี้มีแต่จะเสียเวลาเปล่าๆ”
เขาไม่ได้ตอบตรงๆ ว่ายอมรับหรือไม่
ความจริงแล้วมันก็คือการไม่ยอมรับ
ที่เขากลายมาเป็นหลิ่วสือซุ่ยในตอนนี้ ก็เป็นเพราะคำว่าไม่ยอมรับมิใช่หรือ?
ข่าวหลิ่วสือซุ่ยถูกส่งตัวเข้าคุกกระบี่แพร่กระจายออกไปนอกตำหนัก
ถึงแม้จะอยู่ในตำหนักก็ยังได้ยินเสียงดังวุ่นวายจากด้านนอก
หนานว่างเลิกคิ้วกล่าวว่า “โหวกเหวกโวยวายอะไรกัน ให้ทุกคนกลับไปให้หมด”
………………………..