ศิษย์ที่อยู่ด้านนอกตำหนักถูกขอให้ออกไป ภายในตำหนักเองก็แปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงบขึ้นมา
แต่ข่าวแพร่กระจายออกมาแล้ว ไม่สามารถทำอะไรได้อีก เรื่องที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือจัดการในเรื่องที่ควรจัดการ
สายตาหลายคู่มองไปทางฉือเยี่ยนอีกครั้ง จากนั้นมองตามสายของฉือเยี่ยนไปยังกระบี่สามฉื่อที่อยู่ด้านหน้าสุดเล่มนั้น
กระบี่สามฉื่อแผ่ไอเย็นเบาบางออกมา
กฎแห่งกระบี่หยวนฉีจิงคอยฟังการประชุมยอดเขาในวันนี้อยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อ
ฉือเยี่ยนดึงสายตากลับมา เขามองหลิ่วสือซุ่ย สายตาค่อนข้างสับสน
“หลิ่วสือซุ่ยละทิ้งการแก้ต่าง ให้จับไปขังคุกรอการสืบสวน ส่วนปีศาจจิ้งจอกตัวนั้น ให้ไล่ออกไปจากสำนัก”
ทุกคนต่างรู้ว่านี่เป็นการตัดสินใจของหยวนฉีจิง ต่างคนต่างนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ในนั้นมีอยู่หลายคนที่อดมองไปทางจิ๋งจิ่วอีกครั้งไม่ได้
จิ๋งจิ่วยังคงไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไร
เจ้าล่าเยวี่ยจ้องมองดวงตาของฉือเยี่ยนพลางกล่าว “เรื่องปีศาจจิ้งจอก ข้ามีความเห็นต่าง”
ก่อนที่จะพูดประโยคนี้ นางมิได้มองจิ๋งจิ่ว
นางทนไม่ไหวแล้ว
ฉือเยี่ยนสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวว่า “เชิญเจ้าแห่งยอดเขาเจ้าชี้แนะ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ต่อให้ชิงซานไม่สะดวกที่จะรับปีศาจจิ้งจอกไว้เป็นศิษย์ แต่เหตุใดจะต้องไล่ออกไปจากสำนักให้ได้? ยอดเขาเสินม่อยินดีรับนางไว้เป็นแขก”
ฉือเยี่ยนงุนงงเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไร”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “มีอะไรไม่เหมาะ? กู้ชิงที่เป็นศิษย์ของยอดเขาข้า ในอดีตก็เคยมาพักอยู่ที่ยอดเขาเสินม่อเป็นเวลาสองปี”
นี่เป็นเรื่องที่หลายคนต่างรู้
อดีตเด็กรับใช้ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง กลายมาเป็นแขกของยอดเขาเสินม่อ จากนั้นกลายเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของยอดเขา
“ไม่มีกฎแบบนี้ อย่างนั้นมิเท่ากับว่ายอดเขาไหนก็สามารถรับเอาพวกพรรคมารมาอยู่ในสำนักแล้วให้การปกป้องได้อย่างนั้นน่ะสิ?”
เสียงของฟางจิ่งเทียนดังขึ้นมา
เจ้าล่าเยวี่ยหมุนตัวมองเขาพลางกล่าว “ในอดีตนักพรตจิ่งหยางเคยสนทนาธรรมกับฉานจึบนยอดเขาเสินม่อร้อยวัน เช่นนั้นก็ถือว่าผิดกฎด้วยหรือเปล่า”
“ปัญหาอยู่ที่ว่าปีศาจจิ้งจอกตัวนั้นมิใช่ฉานจึ ส่วนเจ้า…”
สายตาฟางจิ่งเทียนเหลือบมองไปทางจิ๋งจิ่วเล็กน้อย ก่อนกล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยต่อว่า “….ก็มิใช่อาจารย์อาจิ่งหยาง”
เจ้าล่าเยวี่ยมองฟางจิ่งเทียน คิ้วสีดำของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย คล้ายกระบี่ที่กำลังจะพุ่งออกไป
“เช่นนั้นก็เอาอย่างนี้แล้วกัน”
จิ๋งจิ่วลุกขึ้นจากเก้าอี้
……
……
เขามองไปทางตำแหน่งของยอดเขาเทียนกวง พลางกล่าวถามว่า “เมื่อครู่ใครเป็นคนพูดประโยคนี้?”
ภายในตำหนักยิ่งเงียบสงัดขึ้นกว่าเดิม
จากนั้นครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าขึงขัง “ข้าเอง ทำไม?”
จิ๋งจิ่วมองเขา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปด้านนอกตำหนัก
ภาพเหตุการณ์นี้ตกอยู่ในสายตาของหลายๆ คน
ภาพที่เจ้าล่าเยวี่ยมองฟางจิ่งเทียนเมื่อครู่นี้ก็ถูกหลายๆ คนจดจำเอาไว้แล้ว
ฟางจิ่งเทียนและไป๋หรูจิ้งเป็นยอดคนขั้นแหวกทะเล แต่เหตุใดจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยกลับไม่มีทีท่าว่าจะถอยหนีเลย?
เจ้าล่าเยวี่ยเดินตามจิ๋งจิ่วออกไปด้านนอกตำหนัก ก่อนจะเดินผ่านตัวหลิ่วสือซุ่ยอย่างรวดเร็ว
หลิ่วสือซุ่ยมิได้กระวนกระวายใจแต่อย่างใด เขาเชื่อว่าต่อให้จิ๋งจิ่วยังคิดไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร แต่อีกฝ่ายจะต้องมีวิธีแก้ไขปัญหาทั้งหมดนี้อย่างแน่นอน
แต่เขายังคงเหลือบมองดูจิ๋งจิ่ว คล้ายมีคำพูดอยากจะพูดกับเขา
จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของเขา
ตัวเขานั้นจะเป็นอย่างไรก็ได้ แต่เสี่ยวเหอจะต้องมีชีวิตอยู่รอดต่อไป
ปู้เหล่าหลินล่มสลายไปแล้ว แต่ยังมีนักฆ่าที่รอดชีวิตอยู่อีกจำนวนมากที่แฝงตัวอยู่บนโลก
เสี่ยวเหอถูกขับออกจากชิงซานจะต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอย่างแน่นอน พวกเขาไม่มีทางปล่อยคนทรยศไปเด็ดขาด
พูดอีกอย่างก็คือนางจะต้องตายอย่างแน่นอนหากออกไปจากชิงซาน
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร ฝีเท้าเองก็มิได้หยุดชะงัก
หลิ่วสือซุ่ยเข้าใจความหมายของเขา จากนั้นดึงสายตากลับมา ในใจยิ่งรู้สึกสงบ
……
……
ในกระท่อมหลังเล็กภายในป่าของยอดเขาเสินม่อ เสี่ยวเหอกำลังเก็บข้าวของ
นางมาอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน ย่อมไม่มีสัมภาระอะไรมากมาย ไม่นานก็เก็บเสร็จเรียบร้อย นอกจากนี้นางยังล้างกาเหล็กใบนั้นจนสะอาดด้วย
“นั่นสิ ก็แค่ไม่กี่วัน ยิ่งไปกว่านั้นหลิ่วสือซุ่ยก็ไม่ได้อยู่ด้วย เหตุใดตนเองถึงรู้สึกไม่อยากจากไปนะ?”
เสี่ยวเหอเดินไปถึงปากประตู หมุนตัวกลับมามองภายในกระท่อมที่เรียบง่าย ในใจครุ่นคิดถึงปัญหานี้
เป็นเพราะเสียงวานรหรือว่าความเงียบ? แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ก็ล้วนแต่ทำให้นางรู้สึกปลอดภัย
ความหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุดที่นางมีต่อจิ๋งจิ่วก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้นางรู้สึกปลอดภัย ราวกับว่าขอเพียงจิ๋งจิ่วอยู่บนยอดเขา เขาก็จะสามารถปกป้องทุกชีวิตที่อยู่บนยอดเขาได้ รวมไปถึงนางด้วย
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? เจ้าเป็นเพียงปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่งเท่านั้น เทียบกับลิงเหล่านั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เสี่ยวเหอยิ้มเยาะตัวเอง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากกระท่อมไป
กู้ชิงรออยู่ด้านนอก เขารับเอาสัมภาระมาจากนาง จากนั้นกล่าวว่า “ประเดี๋ยวข้าไปส่งเจ้า”
……
……
ชิงซานมีทางที่เชื่อมต่อกับโลกภายนอกอยู่มากมาย แต่ส่วนใหญ่จะถูกข่ายพลังชิงซานปิดกั้นเอาไว้ เหลือเพียงประตูสำนักสี่ประตูเท่านั้น
เจ้าล่าเยวี่ย จิ๋งจิ่วและหลิ่วสือซุ่ยล้วนแต่เป็นศิษย์นอกสำนักของศาลาหนานซง ดังนั้นเวลายอดเขาเสินม่อจะออกไปข้างนอกจึงมักจะเดินออกไปจากที่นี่
เมืองที่อยู่ใกล้ศาลาหนานซงที่สุดก็คือเมืองอวิ๋นจี๋
ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง ป่าเขาค่อยๆ ถูกย้อมสี เมฆหมอกลอยล่องราวปุยนุ่น นี่คือช่วงเวลาที่เมืองอวิ๋นจี๋มีทิวทัศน์ที่งดงามที่สุด บนถนนเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว เดินไปมาขวักไขว่
กู้ชิงพาเสี่ยวเหอมาส่งยังถนนของเมืองอวิ๋นจี๋ ตามปกติแล้ว ในเวลานี้เสี่ยวเหอควรจะเดินไปข้างหน้า จากนั้นหายตัวไปในฝูงคน
เสี่ยวเหอมิได้เดินจากไป นางเงยหน้ามองกู้ชิง ในสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจและอ่อนแอ อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่ยอมพูดออกมา
กู้ชิงรู้ว่าครั้งนี้ถึงเวลาที่จะจากกันจริงๆ แล้ว เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน ข้ารับรองได้ว่าจะพาเจ้าไปส่งอย่างปลอดภัย”
เสี่ยวเหอครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วกล่าวว่า “ข้าอยู่ที่นี่ได้หรือไม่?”
กู้ชิงถาม “เพราะเหตุใด?”
เสี่ยวเหอกล่าว “เพราะที่นี่ยังอยู่ในเขตของชิงซาน น่าจะปลอดภัยหน่อย ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าอยากรอเขา”
กู้ชิงมองนางเงียบๆ เขากำลังครุ่นคิดว่าในคำพูดประโยคนี้ ส่วนไหนกันแน่ที่เป็นความจริง
เสี่ยวเหอกล่าวว่า “เจ้าอย่าเข้าใจผิด จะบอกว่าข้ามีความรู้สึกให้เขามันก็ไม่ใช่ ข้าเพียงแต่เคยชินกับการที่มีเขาอยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็รู้สึกหวาดกลัวจริงๆ”
กู้ชิงพลันยิ้มขึ้นมา ก่อนกล่าวว่า “ก็ได้ อย่างนั้นข้าจะรออยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้าสิบวัน”
เสี่ยวเหอรู้สึกตกใจ โดยเฉพาะเมื่อนางพบว่ารอยยิ้มของกู้ชิงมิใช่เป็นการยิ้มตามมารยาท หากแต่มีความจริงใจอยู่หลายส่วน
กู้ชิงพานางเดินไปอีกด้านของถนน ทะลุฝูงคนเข้าไป ก่อนจะเดินเข้าไปในเหลาสุราที่คึกคักอย่างมากแห่งหนึ่ง
เมื่อขึ้นไปบนเหลาสุรา ความคึกคักแปรเปลี่ยนเป็นความเงียบ ไม่มีเสียงดังวุ่นวายของผู้คนอีก
ภายในห้องจัดแต่งเอาไว้อย่างประณีตสวยงาม ทุกที่ที่สายมองไปจะมองไม่เห็นถึงความหรูหราใดๆ แต่ทุกที่กลับไม่ธรรมดา
เสี่ยวเหอเองก็มีเหลาสุราอยู่ที่เมืองไห่โจว นางย่อมต้องรู้ว่าห้องส่วนตัวแบบนี้ต้องใช้เงินเท่าไร จึงแอบรู้สึกตกใจ
“เหลาสุราแห่งนี้ตระกูลข้าซื้อเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน”
กู้ชิงส่งสายตาบอกให้นางนั่งลง ก่อนกล่าวว่า “เป็นคำสั่งของอาจารย์อาเจ้า”
เสี่ยวเหอคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่ตัวเองกินข้าวกับหลิ่วสือซุ่ยอยู่ในเหลาสุราเมืองไห่โจว ก้มหน้าไม่พูดอะไร
ปีศาจจิ้งจอกไม่เชื่อในความรัก
ถึงแม้ตอนที่อยู่ในยอดเขาเสินม่อตอนแรกจะเคยถูกกู้ชิงชี้แนะไปแล้ว แต่นางก็ยังไม่อาจยอมรับได้ นางยังคงไม่เข้าใจว่าพระสนมที่อยู่ในวังผู้นั้นทำได้อย่างไร
นางเพียงแต่รู้ว่าตอนที่อยู่กับหลิ่วสือซุ่ย ตัวเองรู้สึกสบายใจ ความรู้สึกแบบนั้นมันเรียกว่าพึ่งพาอย่างนั้นหรือ?
นางเงยหน้าขึ้นมา พบว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามตนเองมิใช่หลิ่วสือซุ่ย หากแต่เป็นกู้ชิง
กู้ชิงมองนาง ยิ้มๆ มิได้กล่าวกระไร
ไม่รู้เพราะเหตุใด ในสายตาของนาง รอยยิ้มของกู้ชิงพลันแปรเปลี่ยนเป็นน่ารังเกียจขึ้นมา
……………………………..