ภาคที่ 4 ตอนที่ 18 หน้าดอกไม้ ใต้แสงดาว ซือโก่ว

มรรคาสู่สวรรค์

เพื่อจะขจัดความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นออกไป นางจึงถามคำถามต่อจากเรื่องที่กู้ชิงเล่ามาเมื่อครู่นี้

เหตุใดเจ้าล่าเยวี่ยถึงได้ให้ความสำคัญกับเหลาสุราแห่งนี้ขนาดนี้?

“ข้าเพียงแต่รู้ว่านี่เป็นสถานที่ที่อาจารย์อาเจ้าฆ่าคนเป็นครั้งแรก อย่างอื่นข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

กู้ชิงกล่าวว่า “คนที่นางฆ่าในตอนนั้นคือศิษย์ของเผ่าหมิงผู้หนึ่ง”

สีหน้าของเสี่ยวเหอพลันแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดขึ้นมาทันที

กู้ชิงส่ายศีรษะ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าอย่าคิดฟุ้งซ่าน พวกเราไม่ได้จะฆ่าเจ้า”

เสี่ยวเหอยังคงไม่กล้าวางใจ นางจ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าวว่า “ไม่ว่าใครต่างก็มองว่าข้าเป็นปัญหาของหลิ่วสือซุ่ย”

หากเรื่องของจั่วอี้แห่งยอดเขาปี้หูแก้ไขได้แล้ว อนาคตของหลิ่วสือซุ่ยก็จะสดใส

แต่ถ้าข้างกายเขายังคงมีปีศาจจิ้งจอกที่มีโทษหนักอยู่ เขาย่อมต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยนิสัยของหลิ่วสือซุ่ย เรื่องนี้ไม่มีทางแก้ไขได้ นอกเสียจากปีศาจจิ้งจอกตัวนั้นจะหายไป

มิน่าในตอนที่เสี่ยวเหอรู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่เจ้าล่าเยวี่ยฆ่าคนเป็นครั้งแรก นางถึงได้เกิดความรู้สึกระแวงและไม่สบายใจอย่างรุนแรงขึ้นมาขนาดนี้

“หลิ่วสือซุ่ยไม่ได้มองว่าเจ้าเป็นปัญหา ดังนั้นเจ้าก็มิใช่ปัญหาของเขา ในหลักเหตุผลเดียวกัน หลิ่วสือซุ่ยก็มิใช่ปัญหาของยอดเขาเสินม่อเช่นกัน”

กู้ชิงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “แต่ว่าตอนนี้ดูแล้ว เหมือนยอดเขาเสินม่อของข้าจะกลายเป็นปัญหาของชิงซานจริงๆ เสียแล้ว”

นั่นเป็นเพราะมีบางคนในชิงซานต้องการทำให้ยอดเขาเสินม่อกลายเป็นปัญหา

ในสายตาของเสี่ยวเหอ รอยยิ้มของกู้ชิงมิได้ดูน่ารังเกียจแบบเมื่อครู่อีก หากแต่มีความมั่นใจในตัวเองและดูน่ารักขึ้นมา

……

……

หลังจากนั้นเก้าวัน แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาตามปกติ

แสงอาทิตย์ของยอดเขาซั่งเต๋อดูคล้ายจะรีบจากไปเร็วกว่าที่อื่น หลังพระอาทิตย์ตกดิน อุณหภูมิบนยอดเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ต้นสนตรงบริเวณหน้าผาค่อยๆ มีน้ำค้างแข็งจับตัว

เนื่องเพราะไม่ได้มาเยือนเป็นเวลาหลายปีแล้ว หยวนฉวี่จึงรู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไรในตอนที่เดินย่ำไปบนหิมะบนทางขึ้นเขา แต่ว่าเส้นทางขึ้นเขาเหล่านั้นเขาจดจำได้อย่างแม่นยำ ใช้เวลาไม่นานเท่าไรก็มาถึงที่พักของศิษย์ยอดเขาซั่งเต๋อ เขาเรียกศิษย์น้องอวี้ซานออกมา ไม่มีใครสังเกตเห็น

ศิษย์น้องอวี้ซานปัดน้ำแข็งออกจากเสื้อผ้าของเขาอย่างรักใคร่เอ็นดู ทันใดนั้นพลันคิดถึงอะไรบางอย่าง จึงรีบดึงเขาไปหลบยังสถานที่ที่รกร้างอย่างมากแห่งหนึ่งตรงด้านหลังหน้าผา ก่อนกล่าวถามด้วยสีหน้าวิตกกังวล “ท่านแอบมาที่นี่ทำอะไร? ถ้าคิดจะช่วยคน ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกนะ”

หยวนฉวี่มองดูท่าทางที่ร้อนใจของนาง รู้สึกว่านางน่ารัก จึงจงใจพูดหยอกนางว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? ก็มีเจ้าคอยนำทางมิใช่หรือ?”

ศิษย์น้องอวี้ซานถลึงตาใส่เขาอย่างโมโหเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “คิดอะไรอยู่น่ะ? ทางไปยังคุกกระบี่มีแค่อุโมงค์ที่ลึกและน่ากลัวอยู่ทางเดียว กระทั่งถ้ำที่เป็นเขตหวงห้าม ข้ายังเข้าไปใกล้ไม่ได้ แล้วจะพาท่าน…ไม่สิ! ไม่สิ! ต่อให้เข้าไปได้ ข้าก็ไม่มีทางพาท่านเข้าไป ที่นั่นมันคือคุกกระบี่นะ!”

หยวนฉวี่คิดในใจ มันก็แค่บ่อน้ำบ่อหนึ่งมิใช่หรือ บรรยายเสียน่ากลัวอะไรขนาดนี้ จากนั้นเขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่ศิษย์น้องอวี้ซานรู้เรื่องถ้ำหวงห้าม อีกทั้งยังรู้เรื่องบ่อน้ำนั่นด้วย เพราะศิษย์ยอดเขาซั่งเต๋อทั่วๆ ไปแล้วไม่มีทางที่จะรู้เรื่องเหล่านี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางที่เพิ่งจะเข้ามายอดเขาซั่งเต๋อเพียงไม่กี่ปีเลย

เพราะเหตุผลต่างๆ ทำให้มีศิษย์ที่ยินยอมสืบทอดกระบี่ของยอดเขาซั่งเต๋อน้อยลงทุกที ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศิษย์ผู้หญิงเลย

ศิษย์น้องอวี้ซานเป็นศิษย์ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ยอดเขาซั่งเต๋อรับเข้ามาใหม่ในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา นางย่อมต้องเป็นที่รักใคร่อย่างมาก

หยวนฉวี่ไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาพบว่าชีวิตความเป็นอยู่ของศิษย์น้องอวี้ซานบนยอดเขาซั่งเต๋อนั้นไม่เลวทีเดียว เขารู้สึกดีใจอย่างมาก แต่ก็ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงมีความรู้สึกหึงหวงเล็กน้อยด้วย

ศิษย์น้องอวี้ซานไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของเขา นางกล่าวถามอย่างตื่นเต้นว่า “แล้วท่านมาทำอะไร?”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” หยวนฉวี่กล่าวอย่างสับสน “อาจารย์อาให้ข้ามาหาเจ้าที่นี่ ข้าก็เลยมา”

ศิษย์น้องอวี้ซานงุนงง กล่าวว่า “อาจารย์อาจิ๋งจิ่วหมายความว่าอย่างไร?”

หยวนฉวี่กล่าว “ไม่ต้องไปสนใจขนาดนั้น เรื่องที่พวกอาจารย์คิด พวกเราแค่ฟังแล้วทำตามก็พอแล้ว”

ศิษย์น้องอวี้ซานคิดในใจว่าเป็นจริงดั่งว่า เพียงแต่ศิษย์พี่ไม่สะดวกที่จะเข้าไปดื่มชาในถ้ำ อากาศหนาวเย็นเพียงนี้ หลังจากนี้พวกเราจะทำอะไรดี?

หยวนฉวี่พานางเดินไปยังอีกด้านหนึ่งของหน้าผา ทะลุป่าเล็กๆ แห่งหนึ่ง มาถึงบนหินสีดำก้อนหนึ่งที่โผล่พ้นหิมะขึ้นมา

หินสีดำชี้จึงขึ้นไปยังหมู่ดาวบนท้องฟ้า ด้านล่างมีดอกไม้ที่ทนทานต่อความหนาวเย็นเบ่งบานอยู่

ศิษย์น้องอวี้ซานกำลังนึกแปลกใจว่าเหตุใดศิษย์พี่ถึงได้รู้จักเส้นทางบนยอดเขาซั่งเต๋อดีขนาดนี้ แต่ทันใดนั้นนางพลันเห็นภาพทิวทัศน์ที่งดงามแห่งนี้ จึงลืมคำถามเหล่านั้นไปทันที

หน้าบุปผาใต้หมู่ดาว อย่างนั้นก็พูดคุยเรื่อยเปื่อยแล้วกัน

……

……

หยวนฉวี่คุ้นเคยกับยอดเขาซั่งเต๋อเป็นอย่างมาก แต่มีคนคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าเขาอยู่

จิ๋งจิ่วเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เป็นเวลายาวนาน หากคิดดูดีๆ แล้ว บางทีอาจจะยาวนานกว่าตอนที่เขาใช้ชีวิตอยู่บนยอดเขาเสินม่อในภายหลังเสียอีก

ในเวลานั้นอาจารย์ปู่และอาจารย์ยังอยู่ เพียงแต่เพื่อจะเตรียมบรรลุเป็นเซียน พวกเขาจึงเก็บตัวอยู่บ่อยครั้ง ส่วนศิษย์พี่ก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาอยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อ เขาจึงย่อมต้องบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่

ในเวลานั้นเขาอายุยังน้อย รู้สึกสนใจในเรื่องราวต่างๆ มากมายเหมือนอย่างหลิวอาต้า โดยเฉพาะเมื่อสภาวะของเขาก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว  ในช่วงเวลาสำคัญที่จำเป็นต้องใช้เวลา เขาจะต้องมีเวลาว่างมากอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงมักจะออกไปเดินบนยอดเขาซั่งเต๋อเป็นประจำ มองดูทิวทัศน์จนครบทั้งหมด แล้วก็สำรวจพบเส้นทางที่แอบซ่อนอยู่ในส่วนลึกจำนวนหลายเส้นทาง

กระทั่งศิษย์พี่หรือหยวนฉีจิงก็ไม่แน่ว่าจะรู้เรื่องเหล่านี้ดีเท่าเขา

เขายังคงไม่ชอบที่นี่อยู่ เพราะที่นี่หนาวเกินไป ไม่ว่าจะเป็นข้างในหรือข้างนอกก็ล้วนแต่เป็นน้ำแข็ง แถมยังค่อนข้างชื้นด้วย

สาเหตุที่ทำให้มีความรู้สึกหนาวเย็นจากภายนอกมาสู่ภายในเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะการมีอยู่ของคุกกระบี่

เขาคุ้นเคยกับคุกกระบี่เป็นอย่างมากเช่นกัน

แต่เขาไม่เคยคิดที่จะปิดบังทุกคนแล้วช่วยหลิ่วสือซุ่ยออกมาจากในคุกกระบี่

เพราะมีคนที่เขาปิดบังไม่ได้อยู่

ถึงแม้ตอนนี้เขาจะสามารถปิดบังใต้หล้าได้ แต่เขายังคงไม่สามารถปิดบังอีกฝ่ายได้

ไม่ว่าจะเข้าไปในคุกกระบี่จากเส้นทางไหนก็ล้วนแต่จะต้องถูกอีกฝ่ายพบเห็น ดังนั้นการออกไปจากคุกกระบี่ก็ย่อมต้องถูกมันพบเห็นเช่นเดียวกัน

ดังนั้นเขาจึงอยากรู้มาโดยตลอดว่าตอนที่ศิษย์พี่หนีออกไปจากคุกกระบี่เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน มันทำอะไรไปบ้างกันแน่

แสงดาวสายหนึ่งทอดยาวลงมาจากบนท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกล

เมื่อมองขึ้นไปจากด้านล่าง ตรงปากบ่อนั้นเป็นเหมือนจุดเล็กๆ จุดหนึ่ง

ด้านล่างบ่อคือถ้ำขนาดใหญ่ที่มีความกว้างขวางเป็นอย่างมาก ภายในถ้ำแห้งสนิท มีความหนาวเย็นเล็กน้อย

แสงดาวสาดส่องลงมาเหมือนเสาลำแสงแท่งหนึ่ง ส่องสว่างไปบนร่างของสุนัขสีดำที่ตัวใหญ่ราวภูเขา

ผู้พิทักษ์แห่งชิงซาน ซือโก่ว

จิ๋งจิ่วลงไปข้างล่างตามแสงดาว

เขาย่อมมิได้ลงมาจากปากบ่อ หากแต่มาจากอุโมงค์ลับเส้นหนึ่งที่อยู่ตรงบริเวณหน้าผา

เขาลอยลงมายังพื้นด้านล่าง แขนเสื้อห้อยตกลงเหมือนใบบัว มิได้ส่งเสียงใดๆ

เขาไม่ได้หายใจ คล้ายว่าหัวใจมิได้เต้นด้วยเช่นกัน ไม่มีไอพลังแผ่ออกมาจากร่างกาย กระทั่งความรู้สึกของการมีอยู่ก็ไม่มี เป็นเหมือนดั่งก้อนหินที่ไม่มีชีวิตก้อนหนึ่ง

ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญพรตขั้นแหวกทะเล ขอเพียงอีกฝ่ายปิดตาลง เขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางที่จะพบเห็นตัวเอง

แต่เขารู้ว่าซือโก่วจะต้องพบเห็นตัวเองแล้วอย่างแน่นอน

ซือโก่วเห็นคนตายมาแล้วมากมาย

ถึงแม้จะเป็นศพจริงๆ ที่ไม่มีอุณหภูมิร่างกายก็ยังไม่สามารถหลบหนีการรับรู้ของมันไปได้

ซือโก่วลืมตา สบตากับเขาอย่างเงียบๆ

แสงดาวตกกระทบไปบนร่างกายของพวกเขา

สายตาของซือโก่วสงบนิ่ง เหมือนมองไม่เห็นอารมณ์ใดๆ คล้ายกับบ่อน้ำเก่าที่ไม่มีระลอกน้ำกระเพื่อมเลยแม้แต่น้อย

มีเพียงจิ๋งจิ่วที่สามารถมองเห็นความรู้สึกอบอุ่นที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของสายตามัน

ความรู้สึกอบอุ่นนั้นมิได้มีให้เขา หากแต่เป็นสิ่งที่มันมีอยู่แล้วตั้งแต่เกิด

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าหน่อยนะ”

สายตาของซือโก่วยังคงเฉยชา

“เดิมข้านึกว่าเจ้าจะชอบเด็กนั่น แล้วก็ยอมสอนอะไรเขานิดหน่อย”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ข้าที่ช่างเพ้อฝันจริงๆ ถึงแม้จะเหมือนแค่ไหน แต่สุดท้ายเขาก็มิใช่ศิษย์พี่”

ซือโก่วมองไปทางอุโมงค์ที่ยาวเหยียดเส้นนั้น แสดงออกถึงความเห็นด้วยและ…ความคิดถึง

“ไม่มีใบไม้สองใบที่เหมือนกันทุกอย่าง แล้วก็ไม่มีคนที่จะเหมือนกันทุกอย่างเช่นกัน”

จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวต่อว่า “ศิษย์พี่พูดถูก พวกเราไม่มีทางที่จะย่ำลงไปในแม่น้ำสายเดิมได้”

ซือโก่วมองเขาอย่างเห็นใจ

มันรู้ว่าจิ๋งจิ่วยอมเสี่ยงที่จะถูกพบเห็นเพื่อมาพบตนเอง นอกจากเพื่อพาศิษย์คนนั้นไปแล้ว เขาย่อมต้องมีคำถามที่อยากจะถาม

“เจ้าเป็นคนปล่อยศิษย์พี่ไปใช่ไหม?” จิ๋งจิ่วถาม

ซือโก่วมองเขาอย่างเงียบๆ ก่อนจะใช้จิตจำแนกตอบคำถามออกไป

“ไม่ใช่”

“แต่ตอนเขาออกไป เจ้าก็ไม่ได้หยุดเขา”

“ตอนที่เจ้าจับเขามาขังไว้ที่นี่ ข้าก็ไม่ได้ห้ามเจ้าเช่นกัน”

………………………………..